หลังจากงาน MOTOR EXPO 2023 ประสบความสำเร็จอย่างสูง หลายคนแอบกระซิบถามผมถึงเคล็ดลับว่า ทำอย่างไรงานของผมถึงแรงดีไม่มีตกแบบนี้ ขณะที่งานแสดงยานยนต์ยักษ์ใหญ่ทั่วโลกออกอาการน่าเป็นห่วงแทบทุกรายการ
เอาจริงๆ ก็ไม่มีเคล็ดอะไรลึกลับหรอกครับ ผมแค่ยึดแนวทางการจัดงานแบบ B2C หรือ BUSINESS TO CUSTOMER บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ผู้บริโภคบ้านเรามีความต้องการไม่เหมือนใครในโลก
ความเชื่ออันสำคัญนี้ เกิดขึ้นจากการจัดงานครั้งแรกๆ ซึ่งมีรถแนวคิดมาแสดงด้วย
ตอนนั้น เสี่ยคนหนึ่งถามผมถึงรถแนวคิดในงานว่า
“รถคันนี้ขายเท่าไร”
ผมอธิบายว่า รถคันนี้เป็นรถแนวคิดที่เขาใช้เงินพัฒนาเป็นร้อยๆ ล้านบาท และสร้างขึ้นเพียงคันเดียวเพื่อจัดแสดงทั่วโลก ซึ่งถ้าได้รับความสนใจมาก เขาก็อาจจะทำออกขาย แต่คันที่เป็นแนวคิดนี่ เขาไม่ขาย
เสี่ยฟังแล้วสวนกลับทันที
“คุณช่วยไปบอกเขานะ ถ้าไม่ขาย ไม่ต้องเอามาแสดง”
เท่านั้นแหละ ผมคลิคเลย อ๋อ…นี่คือความต้องการของคนไทย
อยากซื้อต้องซื้อได้ และได้ซื้อ !
ผมเลยยึดหลักนี้มาตลอดว่า งานของเราจะต้องเป็นแบบ B2C ที่เปิดโอกาสให้ผู้ขายกับผู้ซื้อได้พบกันเท่านั้น
เมื่อก่อนเคยมีฝรั่งมาปรารภกับผมว่า งานของยูเป็นงานขายของทั่วๆ ไป ต่างจากงานในประเทศของไอ ที่จัดยิ่งใหญ่แบบ BUSINESS TO BUSINESS หรือ B2B นั่นคือ ผู้ผลิตเอารถแนวคิด รถต้นแบบ รวมถึงเทคโนโลยีล่าสุดมาจัดแสดง ส่วนผู้บริโภคก็มาชม แต่ซื้อไม่ได้ ถ้าอยากซื้อ ต้องกลับไปรอให้ตัวแทนจำหน่ายในเมืองตัวเองสั่งมาขาย
ฝรั่งจัดงานลักษณะนี้มาตลอด จนระยะหลังเริ่มไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยหลายเหตุผล เขาก็เลยต้องปรับตัว อย่างงานที่มิวนิค ประเทศเยอรมนี ล่าสุดเขาแบ่งงานเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งจัดในฮอลล์เดิม แต่อีกส่วนจัดกลางเมือง เพราะประมาณเดือนตุลาคม ที่นั่นจะมีเทศกาลเบียร์ ซึ่งคนจะเริ่มไปเที่ยวตั้งแต่ประมาณกลางเดือนกันยายน เขาเลยถือโอกาสเอา 2 งานมาผนวกกัน
จากที่ผมได้ไปเห็น แม้เขาจะยังมีงานแบบ B2B อยู่ แต่ลดขนาดลงเยอะ คือ มีการแสดงในอาคารเพียง 3 ฮอลล์ จากทั้งหมด 18 ฮอลล์ หรือแค่ 1 ใน 6 เท่านั้น
เพื่อจัดสัมมนา และให้บริษัทที่ต้องการหาพาร์ทเนอร์ หรือผู้ร่วมลงทุน มาออกงาน ส่วนพวกผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ไปจัดบูธกระจายอยู่ตามสถานที่สำคัญในเมือง
เพราะฉะนั้น พูดได้เลยว่า เขายังไม่เลิก B2B นะครับ แต่น้อยลงอย่างชัดเจน แล้วเสริมด้วย B2C ที่รองรับทั้งชาวเมือง และนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล
นี่เป็นการเริ่มต้นของเขาในธุรกิจ B2C ขณะที่ของเราทำมา 40 ปีแล้ว แต่ก็ขอชมว่า
ทำได้น่ารักทีเดียว และประสบความสำเร็จมากๆ ด้วย เพราะแม้ฝรั่งจะไม่ถึงขนาด ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ผมเชื่อว่า อย่างน้อยในความเป็นมนุษย์ปุถุชน เขาก็คงชอบใกล้ชิด จับต้องลูบคลำสินค้าที่สนใจไม่ต่างจากพวกเรา แถมเผลอๆ เจองาน B2C บ่อยๆ เข้า อาจติดใจจน “กลายพันธุ์” มาเป็นพวก “อยากซื้อ ต้องได้ซื้อ” แบบพี่ไทยก็ได้ คอยดูไปก็แล้วกัน !
บทความแนะนำ