เล่นท้ายเล่ม
กรุงเทพ ฯ
ด้วยอายุ 72 ปี ผมรู้สึกเห็นด้วยกับใครบางคนที่เคยพูดว่า มีชีวิตอยู่นานจนได้เห็นเรื่องแปลก และใหม่ๆ ล้วนเป็นเรื่องไม่คาดคิด เหลือเชื่อทั้งๆ ที่ไม่เคยลบหลู่บ้านที่ผมเกิดเรียกง่ายๆ ว่า "บ้านนอก"ในเขตอำเภอสรรพยา ขึ้นกับจังหวัดชัยนาท อยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นลูกชายคนเล็กของบิดาที่เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงการคลัง และท่านได้ย้ายเขตทำราชการของท่านไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงกรุงเทพ ฯคำว่า "สรรพยา" ได้ชื่อมาเพราะมีเขาและบึง ชื่อนี้ เล่ากันว่า แต่เดิมเขาสรรพยามีต้นไม้ที่ใช้เป็นเครื่องยาได้มากมีนิยายว่า เมื่ออินทรชิตแผลงศรพรหมาสตร์ถูกพระลักษณ์กับพวกพลสลบไปนั้น หนุมานได้มาแบกเอาเขาสรรพยานีไปรักษาและหินก้อนหนึ่งได้ไปตกลงในเขตจังหวัดลพบุรี จึงเกิดเป็นเขาสมอคอนขึ้น
พ่อย้ายไปหลายอำเภอ สรรพยาเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองไกลปืนเที่ยง คือเป็นเมืองที่ห่างจากกรุงเทพ ฯ ไกลโข
การศึกษาของผมจึงเวียนว่ายอยู่กับโรงเรียนในเขตอำเภอ จากสรรพยามาบางไทรและจากบางไทรเข้าจังหวัดนครปฐม
ผมมาถึงจังหวัดนครปฐมพร้อมๆ กับ สงครามมหาเอเซียบูรพา กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพขอผ่านเมืองไทยเพื่อจะไปตีอินเดียผ่านทางพม่าที่นี่ ผมเริ่มเรียนระดับมัธยมต้นและมัธยมปลาย ตั้งแต่มัธยมปีที่ 1 ถึง มัธยมปีที่ 6จังหวัดนครปฐม เป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้พระนครถ้าไม่นับธนบุรีเสียแล้วก็เป็นเมืองเพื่อนบ้านของกรุงเทพ ฯ ค่อนข้างมีความเจริญ สามารถใช้รถยนต์ยี่ห้ออะไรก็ได้เดินทางไปมาอย่างสะดวกหรืออาจเป็นทางน้ำ ซึ่งสามารถเดินเรือเข้าไปถึงหน้าเมือง หน้าองค์พระปฐมเจดีย์ อย่างสบายๆ
สมัยนั้นทางบกโดยถนนเพชรเกษมมีระยะทาง 58 กิโลเมตร ทางรถไฟจากสถานีบางกอกน้อย 49กิโลเมตร ส่วนทางน้ำมี 2 เส้นทาง คือทางคลองบางกอกใหญ่ เข้าคลองภาษีเจริญ ออกแม่น้ำนครชัยศรีที่ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร แล้วเข้าไปทางคลองเจดีย์บูชา
อีกเส้นทางหนึ่งไปตามคลองบางกอกน้อย เข้าคลองมหาสวัสดิ์ที่วัดชัยพฤกษมาลา ไปออกแม่น้ำนครชัยศรี ที่ตำบลงิ้วราย อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม แล้วเข้าคลองเจดีย์บูชา
นครปฐมมีสถานที่สำคัญๆ เช่น พระปฐมเจดีย์ พระประโทน สระน้ำจันทร์ และพระราชวังสนามจันทร์ซึ่งเป็นที่ตั้งศาลากลาง
บ้านพักของพ่อเป็นบ้านพักข้าราชการ เลขที่ 430 ถนนเทศา อันเป็นถนนเชื่อมกับถนนเพชรเกษมที่ห้วยจระเข้ ก่อนถึงองค์พระประโทนหน้าบ้านเป็นโรงเจ ถึงเวลากินเจร้านค้าก็จะมาเปิดค้าขายอยู่หน้าบ้าน ถอดรั้วออกพิงไว้เพื่อสร้างเป็นโรงร้านค้าผมมีความสุขกับเทศกาลกินเจ เพราะโรงเรียนที่ผมเรียนอาศัยโรงเจเป็นที่เรียนหนังสือ เมื่อถึงเทศกาลกินเจ ก็จำเป็นต้องหยุดเรียน
ผมได้ดูละครจีนที่เรียกว่า งิ้ว ก็ตรงนี้ มีงิ้วเล่นทุกปี และทุกคืนผมก็อยู่กับบ้านฟังเสียงโรงงิ้วเมื่อไรที่ปี่กังวานผมก็จะอยู่กับบ้าน เมื่อไรที่กลองเริ่มตีกระทุ้งแสดงว่าเขาจะรบกันแล้วผมก็จะรีบออกจากบ้าน เข้าไปในโรงเจดูหน้าเขียวรบกับหน้าแดงหรือหน้าดำ ร้องเพลงโหยหวนเมื่อไรผมก็กลับบ้าน เป็นแบบนี้ทุกครั้ง
โรงเรียนที่ผมเรียนเริ่มจากโรงเรียนวรรณวิทย์ ย้ายไปโรงเรียนสมานวิทยาลัย และย้ายตามโรงเรียนไปหลายสถานที่จนถึงมาปักหลักอยู่ใกล้ๆ โรงเรียนราชินี อันเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด
ส่วนโรงเรียนประจำจังหวัดสำหรับชายนั้น อยู่ไปทางห้วยจระเข้ เลยซอย 6 ของถนนเทศา
ในปี 2485 อันเป็นปีน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ ฯ น้ำท่วมมาถึงแค่โรงเรียนชายประจำจังหวัดนี้เท่านั้นหาได้เข้ามาถึงตัวเมืองนครปฐมไม่
เมื่อเกิดสงคราม เราก็ต้องมีหลุมหลบภัยในบ้าน เมื่อไรที่ได้ยินเสียงหวอกังวานในตอนกลางคืนเราก็จะออกจากตัวบ้านลงไปอยู่ในหลุมหลบภัย ได้ยินเสียงเครื่องบินบินผ่านเราเข้าไปหาเมืองหลวงและหลังจากนั้นก็ได้ยินทั้งเสียงปืนต่อสู้อากาศยาน และลูกระเบิดครืนๆ
ผมเป็นเด็กเหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไป หากมีใครพูดถึงกรุงเทพ ฯ ก็จะเงี่ยหูฟังด้วยความตื่นเต้นและเกิดความอยากจะไป มีความรู้สึกเหมือนกรุงเทพ ฯ เป็นเมืองสวรรค์สำหรับทุกคน และผมค่อนข้างโชคดีเพราะในขณะเวลานั้น พี่ชายคนโตของผมอยู่ที่กรุงเทพ ฯ เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) ที่ท่าพระจันทร์
กรุงเทพ ฯ กับผมในระยะเวลานั้นไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไร ผมเคยนั่งเรือติดมากับน้าชายซึ่งเดินเรือกลไฟโยงเรือจากตอนเหนือมาท่าเตียนครั้นมาอยู่นครปฐมผมก็เดินทางโดยทางรถไฟ นั่งรถไฟมาหาพี่ชาย เที่ยวกรุงเทพ ฯ แล้วก็กลับทางรถไฟขึ้นรถที่สถานีบางกอกน้อย สมัยนั้นเรียกว่าสถานีธนบุรี
เมื่อเรียนหนังสือระดับมัธยมนั้น ผมต้องทำกิจกรรมพิเศษคือทำสวนครัว ศิลปหัตถกรรมของผมคือสานพัดจากไม้ไผ่จักตอกเป็นเส้น
ย้อมเป็นสีต่างๆ แล้วนำมาสานเป็นพัด ปากกาที่ใช้เป็นปากกาคอแร้ง จุ่มหมึก ซับด้วยกระดาษซับเพื่อให้หมึกแห้ง
ในฐานะที่ผมเป็นบุตรคนที่ 5 ผมจึงมีพี่ชายและพี่สาว 4 คนโดยมีน้องสาวอีก 1 คน ด้วยฐานะอันนี้ผมค่อนข้างมีชีวิตสบายกว่าคนที่เป็นพี่อย่างพี่สาวผมนั้น เธอต้องขายข้าวแกงหาบคอนไปขายที่อำเภอซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ส่วนในตอนกลางคืนก็ไปนั่งขายขนมถาดอยู่ที่แยกเข้าองค์พระปฐมเจดีย์ใกล้กับโรงหนังและโรงลิเก ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าองค์พระ ฯ
ผมเป็นผู้ช่วยพี่สาวทั้งในตอนกลางวันและตอนกลางคืน ชีวิตตอนกลางคืนสนุกกว่าตอนกลางวันเพราะผมมีเวลาพอที่จะแวะไปดูหนังก่อนจะกลับบ้านในเวลาประมาณสองยาม
ความสามารถพิเศษของผม คือ วาดเขียน ซึ่งผมชอบมาแต่ยังเล็กๆ และมีความสนใจในภาษาอังกฤษหากมีโอกาสวาดภาพการ์ตูนหรือวาดเป็นคนพูดจากันผมก็จะเขียนคำพูดของตัวละครเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่เป็นตัวและไม่สามารถแปลได้
การเดินทางระหว่างอำเภอของจังหวัดนครปฐม ต้องใช้ทั้งทางบกและทางน้ำ สุดแต่ว่าจะไปอำเภอใดพ่อผมเป็นข้าราชการกรมสรรพากรมีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยสรรพากรจังหวัด สมัยนั้นเรียกว่า "ศุภมาตรา" และพ่อจำเป็นต้องเดินทางไปตามอำเภอเพื่อตรวจงานสรรพากร
ผมจำได้ว่า พ่อต้องนั่งเรือจากบ้านเพื่อไปอำเภอสามพราน ซึ่งสมัยนี้ง่ายสบายมากถ้าใช้รถยนต์และไม่จำเป็นต้องเป็นโฟร์วีลหรือกระบะ รถเก๋งธรรมดาก็วิ่งได้และวิ่งอย่างปลอดภัยไร้กังวล
แม่ผมทำงานหนัก เพราะลำพังเงินเดือนพ่อคงเลี้ยงดูลูกให้การศึกษากับลูก 6 คนไม่ได้จึงต้องทำข้าวแกงใส่หาบให้ลูกไปขายบ้าง ทำขนมห่อ ให้พี่ชายแบกไปร้องขายไปตามละแวกเรือนเคียง ตกกลางคืนยังทำขนมถาดเป็นขนมไทยๆ เช่น หม้อแกง สังขยา ข้าวเหนียวตัด ฝอยทอง และทองหยิบ ตลอดจนขนมชั้น ฯลฯ
ในขณะเกิดภาวะสงคราม แม่ยังมวนยาขาย เป็นบุหรี่มวนเล็กๆ โดยมีผมร่วมทำด้วยอีกคนหนึ่งกระดาษที่นำมามวนเป็นบุหรี่มีกลิ่นหอมและบางเบา มวนแล้วก็ใช้กาวทาเพื่อให้ติดเป็นมวน
ถนนเทศายามนั้น มีต้นมะขามขึ้นสองข้างทาง ติดกับโรงเจเป็นที่ทำการไปรษณีย์ของจังหวัดฝนตกทีไรผมก็ต้องไปรองน้ำฝนจากที่ทำการไปรษณีย์หิ้วมาเทใส่ตุ่มที่บ้าน
ผมเริ่มถีบจักรยานเป็นที่นี่ แต่การไปโรงเรียนของผมไม่เคยใช้จักรยาน เดินเท้าเปล่าทุกวันจักรยานในขณะนั้นเป็นของราคาแพงมาก แพงกว่าก๋วยเตี๋ยวหรือขนมถาด ไม่ค่อยจะมีคนใช้นอกจากคนที่มีเงินอาจมีจักรยานชั้นดียี่ห้อดัง ราเล่ห์ มีทั้งเบรคและดวงไฟหน้ารถ
กีฬาในโรงเรียน ผมเป็นดาวดวงหนึ่งของโรงเรียนคือวิ่งเร็ว เมื่อสมัยเรียนระดับประถมผมเคยเป็นเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับมาวิ่งแข่ง เรียกว่า "วิ่งวัว" ใช้เด็กชายสองคนมายืนที่เส้นสตาร์ทเอาเชือกปอ หรือเชือกกล้วยมาผูกเป็นหาง จับหางทั้งสองคนไว้และปล่อยวิ่งโดยใช้การตัดหางตัดฉับก็วิ่งได้เลย จนไปถึงปลายทางและคว้าธงสีแดงได้ถือเป็นผู้ชนะ
พ่อเป็นข้าราชการประจำที่นี่ถึง 8 ปีจึงได้ย้ายเข้ากรุงเทพ ฯ แต่ผมเรียนจบหกก่อน และได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ตีนสะพานพุทธ ในปี 2491 เลขทะเบียน 10108เป็นแผนกอักษรศาสตร์ ร่วมชั้นเรียนกับคนที่มีชื่อเสียงหลายคน รวมทั้ง "พนมเทียน" ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ และอดีตเอกอัครราชทูตอย่าง เชย ซื่อตรง
ยังไม่ถึงกรุงเทพ ฯ เลยครับ เห็นทีต้องต่อไปเดือนหน้า...!
ABOUT THE AUTHOR
บ
บรรเจิด ทวี
ภาพโดย : -นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : เล่นท้ายเล่ม