ประกันภัย
ทำอย่างไรให้เบี้ยประกันปีต่ออายุไม่แพง ?
ฉบับนี้เป็นเรื่องต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว ซึ่งเราได้คุยกันไปในหัวข้อ "จะใช้ประกันอย่างไรจึงจะคุ้ม" โดยได้ให้แนะนำถึงความคุ้มค่าที่ควรได้รับ เมื่อเราได้ซื้อรถมาใช้งานหนึ่งคัน มันก็ควรจะได้ใช้ให้ได้ทุกวันเรียกว่าครบ 365 วันในหนึ่งปี ไม่ใช่ใช้ได้เพียง 9 หรือ 10 เดือน ในหนึ่งปี เพราะต้องไปจอดซ่อมในอู่ซ่อมเสียเวลา 1 หรือ 2 เดือน บางทีก็จอดถึง 3 เดือน ถ้าต้องจอดซ่อมไม่ได้ใช้อย่างนี้เรียกว่าใช้รถได้ไม่คุ้มค่า จริงไหมครับ
ถ้าคิดเชิงบัญชี สมมติรถยนต์ราคา 500,000 บาท ใช้งานได้ 5 ปี เฉลี่ยต้นทุนราคาปีละ 100,000 บาท หรือวันละ 273.97 บาท (คิดเฉพาะต้นทุนราคาไม่รวมค่าน้ำมันค่าซ่อมบำรุง) ถ้าเราไม่สามารถใช้ได้เพราะต้องไปจอดซ่อมปีละ 1 เดือน หรือ 30 วัน เราก็จะสูญเสียต้นทุนไปเท่ากับ 273.97X30 = 8,219.10 บาท ถ้าจอดซ่อมปีละ 90 วัน หรือ 3 เดือน ก็จะสูญเสียถึง 24.657.30 ( 273.97X90 )
อันนี้ยังไม่ได้นับรวมต้นทุนโอกาสในการหารายได้หรือการใช้รถทำให้เกิดเงินได้ ซึ่งหมายถึงใช้ในการติดต่อการค้า ใช้ขนส่งสินค้า หรือใช้ขับไปทำงาน ซึ่งถ้าคิดตามหลักการเช่ารถ ค่าเช่าขั้นต่ำ วันละประมาณ 1,000 บาท หรือเดือนละ 30,000 บาท ถ้าเราได้ใช้รถทุกวันเราก็สามารถนำเอาค่าเช่ารถมาคำนวณเป็นรายได้ขั้นต่ำได้ว่า เราจะมีรายได้เดือนละ 30,000 บาท หรือ คิดในทางตรงกันข้ามถ้าเราไม่ได้ใช้รถเราก็จะสูญเสียรายได้เดือนละ 30,000 บาท
หากเรานำรายการต้นทุนทั้ง 2 รายการมารวมกัน คือต้นทุนราคารถ กับต้นทุนโอกาสการใช้รถ ต้นทุนรวมต่อเดือนจะเท่ากับ 38,219.10 บาท หรือ วันละ 1,273.97 บาท แสดงว่าถ้ารถคันนั้นเราไม่ได้ใช้รถเพราะรถไปจอดซ่อมอยู่ 1 เดือนเราจะสูญเสียไปเท่ากับ 38,219.10 บาท หากต้องจอดซ่อม 3 เดือนในหนึ่ง ก็เท่ากับสูญเสียถึง 114,657.20 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขไม่น้อยเลยนะครับ
นอกจากนี้เรายังมีต้นทุนที่ต้องนำมาคำนวณอีก 2 รายการ คือ ต้นทุนค่าเสื่อมราคา และต้นทุนค่าเบี้ยประกันภัย ในส่วนของค่าเสื่อมราคาถ้าคิดตามหลักทางบัญชีก็จะคิดปีละ 20 % ของราคาซื้อ ถ้าราคารถเท่ากับ 500,000 บาท ตามตัวอย่างข้างต้นค่าเสื่อมทางบัญชีก็คือปีละ 100,000 บาท ถ้าคิดค่าเสื่อมตามราคาตลาดก็อาจะแตกต่างกันในรถแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ ซึ่งก็จะไม่เท่ากัน โดยเฉลี่ยปีแรกลดลง 25 % ปีที่สองถึงปีที่ห้า จะลดลงปีละ 5 % ถึง 10 % นั่นก็หมายความว่า ราคารถในท้องตลาดซื้อขายสำหรับรถอายุ 5 ปี จะอยู่ที่ 55 % ถึง 35 % ของราคารถใหม่ที่ขายครั้งแรก ตามตัวอย่างนี้รถที่ขายเมื่อใช้ไป 5 ปีแล้ว ราคาอาจจะอยู่ที่ 175,000 บาท ถึง 275,000 บาท ทั้งนี้แล้วแต่รุ่นแล้วแต่ละยี่ห้อ และความนิยมของตลาด ตลอดจนสภาพรถมีการดูแลรักษาอย่างไร ถ้ารถที่ดูแลดีราคาก็จะดี ถ้ารถที่ดูแลรักษาไม่ดีเฉี่ยวชนมากราคาก็จะตกกว่าราคาท้องตลาดมาก
ในส่วนของต้นทุนค่าเบี้ยประกันนั้นจะมีหลักการคำนวณที่แตกต่างไปจากส่วนอื่นเล็กน้อย เฉพาะเบี้ยประกันภัยประเภท 1 ที่อัตราเบี้ยประกันภัยจะเป็นขั้นบันได ดังนี้
อายุรถ 1 ปี อัตราเบี้ยเท่ากับ 100 %
อายุรถ 2 ปี อัตราเบี้ยเท่ากับ 105 %
อายุรถ 3 ปี อัตราเบี้ยเท่ากับ 108 %
อายุรถ 4-5 ปี อัตราเบี้ยเท่ากับ 110 %
อายุรถ 6 ปี อัตราเบี้ยเท่ากับ 108 %
อายุรถ 7 ปี อัตราเบี้ยเท่ากับ 105 %
อายุรถ 8 ปี อัตราเบี้ยเท่ากับ 104 %
อายุรถ 9 ปี อัตราเบี้ยเท่ากับ 102 %
อายุรถ 10 ปี อัตราเบี้ยเท่ากับ 98 %
อายุรถเกิน 10 ปี อัตราเบี้ยเท่ากับ 95 %
*** โดยทั่วไปบริษัทประกันภัยจะรับประกันรถประเภท 1 เฉพาะรถไม่เกิน 7 ปีเท่านั้น ถ้าเกิน 7 ปี มักจะให้ไปทำประกันประเภท 3 หรือ ถ้าจะรับเป็นประเภท 1 ก็ต้องเพิ่มเงื่อนไขเข้าไป เช่น มีค่าความเสียหายส่วนแรก (DEDUCTIBLE) ทั้งนี้เพราะเราเก่าจะมีค่าซ่อมที่แพงกว่า อะไหล่และตัวถังใช้งานมานานเมื่อเกิดความเสียหายจะมีมากกว่ารถใหม่
ตามหลักเกณฑ์พิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยจะเห็นได้ว่าเบี้ยประกันภัยจะแพงขึ้นทุกปีตั้งแต่ปีที่ 1 ถึงปีที่ 5 และจะลดลงในปีที่ 6 ถึงปีที่ 10 ในลักษณะขั้นบันได ในขณะเดียวกันการคำนวณทุนประกันของราคาตัวรถประกันก็จะลดลงทุกปีโดยปีแรกจะคำนวณที่ 80-90 % ของราคารถ ปีต่อไปจะลดลงจาดทุนของปีที่ผ่านมา 10 %
เช่น ตัวอย่างรถราคา 500,000 ทุนประกันปีแรกจะอยู่ที่ 400,000-450,000 และปีที่ 2 จะอยู่ที่ 360,000-400,000 ปีที่ 3 จะอยู่ที่ 330,000-360,000 เป็นต้น
นอกจากนี้ในแต่ละปีถ้าผู้ขับขี่ขับรถดีไม่เกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายในลักษณะที่ผู้ขับขี่เป็นฝ่ายประมาท เรียกว่า มีประวัติการขับรถดีตลอดปี บริษัทก็จะให้รางวัลหรือโบนัส เป็นส่วนลดให้ดังนี้
ปีที่ 1 ไม่มีอุบัติเหตุ ในการต่ออายุกรมธรรม์ปีที่ 2 จะได้รับส่วนลด 20 % จากเบี้ยประกันปกติ
ปีที่ 2 ไม่มีอุบัติเหตุติดต่อกัน ในการต่ออายุกรมธรรม์ปีที่ 3 จะได้รับส่วนลดเป็น 30 % จากเบี้ยประกันปกติ
ปีที่ 3 ไม่มีอุบัติเหตุติดต่อกัน ในการต่ออายุกรมธรรม์ปีที่ 4 จะได้รับส่วนลดเป็น 40 %จากเบี้ยประกันปกติ
ปีที่ 4 ไม่มีอุบัติเหตุติดต่อกัน ในการต่ออายุกรมธรรม์ปีที่ 5 จะได้รับส่วนลดเป็น 50 % จากเบี้ยประกันปกติ
ในทำนองเดียวกันถ้าในแต่ละปีผู้ขับขี่มีประวัติมีอุบัติเหตุการเฉี่ยวชนมาก มีการเคลมค่าเสียหายเกินกว่า 200 % ของค่าเบี้ยประกันภัยสุทธิ(ไม่รวม พรบ.) ก็จะถูกปรับเพิ่มเบี้ยประกันในลักษณะเดียวกันกับการได้รับโบนัส ดังนี้
ปีที่ 1 มีอุบัติเหตุมาก ในการต่ออายุกรมธรรม์ปีที่ 2 จะถูกปรับเบี้ยเพิ่ม 20 % จากเบี้ยประกันปกติ
ปีที่ 2 มีอุบัติเหตุติดต่อกัน ในการต่ออายุกรมธรรม์ปีที่ 3 จะถูกปรับเบี้ยเพิ่มเป็น 30 % จากเบี้ยประกันปกติ
ปีที่ 3 มีอุบัติเหตุติดต่อกัน ในการต่ออายุกรมธรรม์ปีที่ 4 จะถูกปรับเบี้ยเพิ่มเป็น 40 % จากเบี้ยประกันปกติ
ปีที่ 4 มีอุบัติเหตุติดต่อกัน ในการต่ออายุกรมธรรม์ปีที่ 5 จะถูกปรับเบี้ยเพิ่มเป็น 50 % จากเบี้ยประกันปกติ
ซึ่งโดยทั่วไปคนที่ขับรถมีอุบัติเหตุบ่อยมากหรือมีประวัติการขับรถไม่ดี นอกจากบริษัทจะปรับเพิ่มเบี้ยประกันแล้วก็จะตั้งเงื่อนไขความเสียหายส่วนแรก (DEDUCTIBLE) ด้วยเพื่อให้มีส่วนรับผิดชอบมากขึ้น มีความระมัดระวังมากขึ้น
จะเห็นได้ว่ามากคำนวณต้นทุนค่าเบี้ยประกันภัยจะมีความซับซ้อนบ้างเพราะมีเงื่อนไขทั้งเพิ่มเบี้ยและลดเบี้ยแต่ให้ใช้วิธีคำนวณในค่าเบี้ยปีแรกเป็นเกณฑ์ เช่น ปีแรกค่าเบี้ยเท่ากับ 30,000 บาท ก็ใช้ 30,000 เป็นตัวตั้งทุกปี หรือเดือนละ 2,500 บาท หากไม่ได้ใช้รถจำนวนกี่เดือนก็คำนวณในวิธีเดียวกับต้นทุนต่างๆ ข้างต้น ซึ่งเมื่อรวมต้นทุนทั้งหมดแล้ว ก็จะเห็นว่าในแต่ละปีต้นทุนในรถยนต์คันหนึ่งๆ มีมากเอาการเลยทีเดียว
วิธีการบริหารต้นทุนในรถแต่ละคันแต่ละปีจะทำอย่างไรให้เกิดการประหยัด หรือ จะได้รับประโยชน์คุ้มค่าที่สุด คงต้องอาศัยหลักการความรู้ความเข้าใจพอสมควร ซึ่งในเรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครเคยบอกหรือแนะนำให้เราได้ฉุกคิดสักเท่าไรนัก ส่วนใหญ่เราก็จะตะบี้ตะบันใช้กันอย่างไม่บันยับบันยัง ไม่มีการคำนวณตุ้นทุนอะไรทั้งนั้น ผลที่ออกมาแทนที่จะใช้ได้มากหรือคุ้มค่า มันกลับกลายเป็นว่าเสียหายมากกว่า ต้องจ่ายทั้งค่าซ่อม ค่าเสื่อม ค่าเสียเวลา ค่าเช่ารถจากที่อื่น ค่าเบี้ยประกันภัยที่แพงขึ้น นอกจากค่าเสียหายอื่นๆ อีกจิปาถะ
ฉบับหน้ามาคุยกันต่อถึงวิธีที่จะทำให้เบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุของเราไม่แพงต้องทำอย่างไร อย่าลืมติดตามนะครับ
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52147