รอบรู้เรื่องรถ
เรื่องแปลกก่อนสงกรานต์
ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้ถนนสุขุมวิท 55 และสุขุมวิท 38 ซึ่งอยู่เยื้องกันเป็นประจำ สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้ตัวเลขเรียกชื่อซอยดั้งเดิมของถนนสุขุมวิท สุขุมวิท 55 ก็คือ ซอยทองหล่อ ที่กลายเป็นถนนเชื่อมถนนสุขุมวิทกับถนนเพชรบุรีไปแล้ว
ผมยังคงขอใช้คำว่าซอยที่คุ้นเคยเหมือนเดิมนะครับ ปากซอยทั้งสองซอยนี้ วุ่นวายมานานนับสิบปีแล้ว ซอยทองหล่อเป็นเพราะมีรถผ่านเป็นจำนวนมาก ส่วนซอย...เป็นเพราะมีการตั้งโต๊ะขายอาหารของบรรดาร้านอาหาร และที่เป็นประเภทรถเข็นด้วย ล่วงล้ำลงมาถึงถนนซึ่งเป็นพื้นผิวจราจร โดยเฉพาะเวลากลางคืน เป็นที่รู้จักของบรรดานักเที่ยวกลางคืนยามหิว
ปากซอยทองหล่อ แม้จะมีป้ายทั้งห้ามหยุดและห้ามจอด รวมทั้งสีแดงขาวที่ขอบทางเท้า แต่ก็มีการฝ่าฝืนจอดรถกันอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่มีป้อมตำรวจอยู่ตรงปากซอย สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ขับรถที่ใช้เป็นทางผ่านเสมอมาเป็นเวลานานปีแล้ว จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว จู่ๆ ปากซอยทั้งสองก็เปลี่ยนไปสู่สภาพที่มันควรจะเป็นมานานแล้ว นั่นคือไม่มีรถจอดอยู่ในย่านที่ห้ามหยุดและห้ามจอด ผมเฝ้าดูอยู่หลายวันให้แน่ใจ ว่ามันไม่ใช่กรณีพิเศษที่ทำให้เราดีใจเก้อ แล้วจึงพยายามหาคำตอบ โดยการถามคนขายของบริเวณนั้น ได้ความว่า ช่วงนี้ตำรวจจราจรทำงานจริงจังขึ้นมาหน่อย เพราะว่าเปลี่ยนอธิบดีคนใหม่ ซึ่งชื่ออย่างเป็นทางการของตำแหน่งนี้ในปัจจุบันก็คือรักษาการผู้ว่าการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใครฝ่าฝืนจอดบริเวณนี้ จะถูกลอคล้อโดยไม่มีข้อยกเว้น
น่าสังเวชไหมครับ ? กฎจราจรธรรมดาแท้ๆ ที่ตำรวจจราจรมีหน้าที่ดูแลให้มีการปฏิบัติตาม กลับปล่อยปละละเลยกันจนผู้ฝ่าฝืนได้ใจและชินชา ต้องรอว่าผู้บริหารระดับสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะ "เป็นใคร" และมีนโยบายจริงจังหรือสร้างภาพอย่างไร ผมไม่ทราบว่าความเคร่งครัดในการรักษากฎหมายแบบไฟไหม้ฟางนี้ จะเกิดขึ้นที่ใดบ้างของกทม. และมีความเปลี่ยนแปลงประเภทนี้ในเมืองใหญ่อื่นๆ หรือไม่
ตั้งใจไว้หลายวันแล้วว่าจะนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันครับ แต่ก็ยังไม่ทัน เพราะเมื่อคืนวานนี้เอง ที่ผมผ่านปากซอยทองหล่ออีก จะพูดว่าแปลกใจก็ได้ หรือจะบอกว่าไม่แปลกใจเลย ก็ได้อีกเหมือนกันเพราะทุกอย่างเปลี่ยนกลับไปเหมือนเดิม คือ เขตห้ามหยุดและจอด ไม่ได้มีความหมายอะไร มีรถจอดกีดขวางเต็มไปหมด และผมก็ยังไม่ได้ยินข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนตัว "หัว" ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือว่าช่วงเวลาที่ฟางไหม้มันถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ผมเองเป็นผู้ใช้รถคนหนึ่ง ไม่ได้เข้าข้างผู้ใช้รถด้วยกัน แต่ก็เชื่อว่าการละเมิดกฎจราจรของผู้ใช้รถชาวไทยนั้น มีสาเหตุมาจากการดูดาย ปล่อยปละละเลยของตำรวจจราจร มันมีสถานการณ์ที่ทำให้เราต้องการจอดรถในที่ห้ามจอดชั่วครู่ เพราะหาที่จอดบริเวณใกล้เคียงไม่ได้จริงๆ แต่เราจะกระทำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเชื่อว่าโอกาสที่จะถูกลงโทษนั้นมีมากหรือน้อยเพียงใด
มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้ว และเราเห็นว่าเขารักษาระเบียบกันอย่างเคร่งครัด เพราะตำรวจของเขาขยันและ "เอาจริง" ครับ ตำรวจจราจรของไทยทุกวันนี้ขี้เกียจและไร้ศักดิ์ศรีกันถึงขั้นปล่อยให้คนที่ฝ่าฝืนกฎหมายหนีไปซึ่งๆ หน้าได้ ถ้าไม่เชื่อเจอด่านตรวจรถที่ชอบรวมฝูงตั้งกันริมถนนเมื่อใด ลองหาที่จอดถูกต้อง แล้วเฝ้าดูตำรวจพวกนี้ทำงานได้เลยครับ ใครที่ขี่จักรยานยนต์โดยไม่สวมหมวกนิรภัยผ่านมาแค่ทำท่าจะหยุด แล้วเร่งเครื่องหนีหยามกันซึ่งๆ หน้า ตำรวจพวกนี้ก็ไม่รู้สึกรู้สาหรอกครับ ความขี้เกียจมันท่วมท้น ทั้งๆที่มีรถจักรยานยนต์ที่จะไล่ตาม พร้อมด้วยวิทยุสื่อสารที่จะให้ตำรวจที่แยกหน้าดัก แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นเด็ดขาด
ในเมื่อมีการแบ่งค่าปรับให้ถึงร้อยละ 60 แล้ว ผมก็อยากให้เคร่งครัดต่อการปรับผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการหยุดหรือจอดในที่ห้าม เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า "ใบสั่ง" อย่างเดียว ไม่สามารถทำให้ผู้ฝ่าฝืนเกรงกลัวได้ ข้อนี้ตำรวจจราจรทราบดี และจะใช้อุปกรณ์ลอคล้อด้วยเสมอ
ผมเสนอให้เบิกงบประมาณผลิตหรือซื้ออุปกรณ์ลอคล้อให้มากพอ สำหรับใช้งานทั่ว กทม.และเมืองใหญ่ ปฏิบัติอย่างจริงจัง และอย่าลืมว่าเมื่อมีการกระทำผิดแล้ว ไม่ต้องสนใจว่าผู้ขับจะมาถึงรถระหว่างที่ทำการลอคล้อหรือไม่ มันไม่มีผลอะไรเลย โดยเฉพาะพวกที่ฝ่าฝืนจอดในที่ๆ กีดขวางการจราจรอย่างหนัก ต้องลอคล้อแล้วเรียกรถมายกไป ไม่ว่าผู้ขับจะมาถึงรถก่อน "รถยก" หรือไม่
กว่านิตยสารฉบับนี้จะออก งานแสดงรถยนต์ครั้งล่าสุดก็ผ่านไปแล้ว เพราะฉะนั้นเนื้อหาของเรื่องนี้ก็ไม่กระทบต่อผู้จัด และบริษัทจำหน่ายรถที่เข้าร่วมงานแต่อย่างใด และผมไม่เคยสนใจว่าใครเป็นผู้จัด อยู่ค่ายไหน ฝ่ายไหน ถ้าจะกระทบ ก็ขอให้เป็นแบบสร้างสรรค์ มีประโยชน์ต่องานแสดงรถในอนาคต เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ผมรู้สึกเสียดายเวลา ความเหนื่อยและค่าเชื้อเพลิง ที่ต้องเสียไปกับการเดินทางไปชม เพราะไม่มีอะไรที่พอจะเรียกว่านวัตกรรมของวงการรถยนต์ได้เลย ไม่มีรถต้นแบบที่น่าสนใจ ให้ความรู้ใหม่
ที่กล่าวมานี้ผมไม่ได้ตั้งความคาดหวังไว้สูงนะครับ ผมสมมติให้ตัวเองเป็นแค่คนชอบรถคนหนึ่งเท่านั้น และความรู้สึกนี้ก็ได้รับการยืนยันจากเพื่อนที่ไปด้วย เมื่อผิดหวังจากสิ่งทั้งสองที่กล่าวมาแล้ว ผมพยายามปลอบใจตนเอง ว่าอย่างน้อยผมอาจได้ดูรถที่ชอบ แต่หาโอกาสได้เห็นยาก ไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จะเป็นเจ้าของ ก็ไม่มีครับ ถ้าได้ชมรถจำพวกที่ว่านี้ แม้เพียงคันเดียว เช่น รถสปอร์ทสมรรถนะสูง ผมก็ถือว่าพอคุ้มแล้ว ที่เสียแรงเสียเวลาเดินทางไปชมสอบถามผู้รู้จักมักคุ้นของบริษัทรถยนต์บางแห่งที่มาปฏิบัติงาน และเพื่อนสื่อมวลชนด้านรถยนต์พอจับใจความได้ว่า มีความขัดแย้งกัน ใช้ภาษาง่ายๆ ให้เข้าใจก็คือทะเลาะกันนั่นแหละครับ
พวกเราที่ชื่นชอบรถประเภทนี้ ก็เลยเป็นผู้รับเคราะห์ ปัญหาทำนองนี้ผมได้ยินมานานแล้ว ไม่เฉพาะในวงการรถยนต์แต่ทุกวงการ เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย ที่ฐานะทางการเงินดีทั้งคู่ ดูเหมือนว่าโอกาสที่จะมีการปรับความเข้าใจกัน แทบจะไม่มีวันเกิดขึ้น ด้วยทิฐิว่าแต่ละฝ่ายสามารถ "อยู่ได้" โดยไม่ต้องพึ่งอีกฝ่าย
เป็นวิธีคิดแบบไทยที่ไม่สร้างสรรค์อย่างยิ่ง แทนที่จะหวนกลับมาพิจารณาหาสาเหตุแบบไม่เข้าข้างตนเอง แล้วถ้ารู้สึกว่าผิด หรือ "ผิดกว่า" หรือ ถูกน้อยกว่า ก็ไม่เห็นจะเสียศักดิ์ศรีอะไร ถ้ามีการขอโทษ หรือขอปรับความเข้าใจ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจแล้ว ยิ่งไม่น่ารีรอครับ พวกคนชอบรถเป็นชีวิตจิตใจอย่างผม ก็จะได้อานิสงส์ไปด้วย
ใครที่อยู่ในวัยเดียวกับผมหรือใกล้กันจะสังเกตได้ว่า จำนวนเด็กที่สนใจรถจริงจังหรือคลั่งไคล้นั้นลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบตามสัดส่วนกับจำนวนผู้ใหญ่ในงานแสดงรถยนต์ ความชอบและความสนใจรถยนต์ของเด็ก ถูกช่วงชิงไปโดยกิจกรรมอื่น เช่น การเล่นเกมกับคอมพิวเตอร์ ความสนใจรถอย่างจริงจัง ไม่ให้โทษแก่เด็กนะครับ ต่างกับอย่างอื่นในสมัยนี้ ที่ผมคงไม่เสียเวลาและเนื้อที่ชี้แจง ถ้าลูกหลานสนใจรถยนต์และเทคนิครถยนต์อย่างจริงจัง รีบให้การสนับสนุนได้เลยครับ มีแต่ข้อดี ไม่ว่าจะเป็นแบบสมัครเล่น งานอดิเรก หรือหวังเป็นอาชีพก็ตาม
ABOUT THE AUTHOR
เ
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ