ช่วงฤดูฝนมักมาพร้อมกับน้ำท่วมเฉียบพลัน ซึ่งการขับรถลุยน้ำเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่รู้หรือไม่ว่า รถแต่ละประเภทมีขีดจำกัดในการลุยน้ำที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นรถน้ำมัน หรือรถไฟฟ้า รวมถึงการเข้าใจเรื่อง IP RATING ก็ช่วยให้เรารู้ขีดจำกัดของรถเมื่อต้องเผชิญกับน้ำท่วม
รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือที่เราเรียกกันว่ารถน้ำมัน (รวมถึงเบนซิน และดีเซล) มีขีดจำกัดในการลุยน้ำค่อนข้างชัดเจน โดยทั่วไปแล้วสามารถลุยน้ำได้สูงประมาณ ครึ่งล้อ หรือระดับใต้ประตู (ประมาณ 30-40 ซม.) เท่านั้น
หากน้ำสูงกว่านี้ มีความเสี่ยงที่น้ำจะเข้าท่อไอดี (AIR INTAKE) ซึ่งเป็นช่องทางอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ หากน้ำเข้าไปแทนอากาศ เครื่องจะดูดน้ำเข้าแทน ? ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า HYDROLOCK หรือ “เครื่องดูดน้ำเข้าแทนเชื้อเพลิง” ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์พังทันที นอกจากนี้ กล่องควบคุมไฟฟ้า (ECU) และอุปกรณ์อีเลคทรอนิคต่างๆ ก็สามารถได้รับความเสียหายจากน้ำได้เช่นกัน
รถไฟฟ้า (EV) ไม่มีท่อไอดี หรือท่อไอเสียเหมือนรถน้ำมัน และระบบขับเคลื่อนเป็นระบบไฟฟ้าทั้งหมด หลายคนจึงสงสัยว่ารถไฟฟ้าจะสามารถลุยน้ำได้ดีกว่าหรือไม่ ?
รถไฟฟ้าสามารถลุยน้ำได้ในระดับเดียวกับรถน้ำมัน หรือมากกว่าเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้ผลิต โดยเฉพาะในส่วนของ ระบบซีล (SEAL) กันน้ำของแบทเตอรี และมอเตอร์ ซึ่งในรถรุ่นใหม่ๆ มักได้รับการออกแบบมาให้ทนทานต่อน้ำระดับหนึ่ง
บางรุ่น เช่น TESLA (เทสลา), BYD (บีวายดี) หรือ MG (เอมจี) อาจโฆษณาว่ามอเตอร์ หรือแบทเตอรีมี IP RATING ระดับสูง เช่น IP67 หรือ IP68 ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์เหล่านั้นสามารถแช่น้ำได้โดยไม่เสียหาย อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าทั้ง “ตัวรถ” สามารถลุยน้ำระดับสูง หรือน้ำไหลเชี่ยวได้อย่างปลอดภัย
IP RATING (INGRESS PROTECTION RATING) เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ระบุระดับการป้องกันฝุ่น และน้ำของอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยมีรูปแบบดังนี้ :
ค่า Y (กันน้ำ)
หากรถมีอุปกรณ์ที่ได้ IP67 หรือ IP68 เช่น แบทเตอรีของรถไฟฟ้า ก็สามารถทนต่อน้ำได้ในระดับที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่การนำรถทั้งคันไปลุยน้ำลึก หรือจอดแช่น้ำเป็นเวลานานๆ อาจทำให้มีความเสี่ยงอยู่ดี
รถน้ำมัน
รถไฟฟ้า
บทความแนะนำ