รู้ลึกเรื่องรถ
ขุมพลัง วี 12 สูบ ที่โลกไม่มีโอกาสได้สัมผัส
เมื่อพูดถึงขุมพลังแบบ วี 12 สูบ เราจะนึกถึงบแรนด์ซูเพอร์คาร์อย่าง FERRARI (แฟร์รารี), LAMBORGHINI (ลัมโบร์กินี), ASTON MARTIN (แอสตัน มาร์ทิน) กับอีกหลายบแรนด์ที่เน้นสมรรถนะ และใช้ประจำการในตัวถังรถซีดาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่ายยุโรป อาทิ AUDI (เอาดี), BENTLEY (เบนท์ลีย์), BMW (บีเอมดับเบิลยู), JAGUAR (แจกวาร์), MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์), ROLLS-ROYCE (โรลล์ส-รอยศ์), VOLKSWAGEN (โฟล์คสวาเกน) ขณะที่ฝั่งค่ายญี่ปุ่นมีเพียง TOYOTA CENTURY (โตโยตา เซนทูรี) แต่ TOYOTA ก็ปิดสายพานการผลิตรถรุ่นเครื่องยนต์ วี 12 สูบ ไปหลายปีแล้ว หันไปใช้เครื่องยนต์ วี 8 สูบ ไฮบริดแทน
อย่างไรก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่า ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 เราเกือบมีรถซีดานหรูจากญี่ปุ่นที่ใช้ขุมพลัง วี 12 สูบอีกรุ่นหนึ่ง ภายใต้ชื่อบแรนด์ AMATI (อมาติ)
อย่าแปลกใจว่ามีบแรนด์นี้ในโลกด้วยหรือ เพราะมันคือ “บแรนด์ที่ล้มไปตั้งแต่ยังไม่ลุก” โดยบริษัทแม่ของบแรนด์ คือ MAZDA (มาซดา) แห่งเมืองฮิโรชิมา
พโรเจคท์ AMATI เริ่มขึ้นจากการได้เห็นความสำเร็จของบแรนด์ LEXUS (เลกซัส) จาก TOYOTA, INFINITI (อินฟินิที) จาก NISSAN (นิสสัน) และ ACURA (อคูรา) จาก HONDA (ฮอนดา) ที่เกิดขึ้นในตลาดสหรัฐอเมริกา ทำให้ MAZDA ซึ่งเป็นผู้ผลิตขนาดใหญ่ลำดับที่ 4 ของญี่ปุ่น บรรลุแนวคิดว่า พวกเขาควรจะบุกเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาด้วยรถหรูคุณภาพสูงเช่นกัน
พูดเรื่องนี้ในปัจจุบันอาจฟังดูบ้าบิ่น แต่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 มีการปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลเยนของญี่ปุ่น จากข้อตกลง PLAZA ACCORD ในปี 1985 โดยมีการลดค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเงินเยน และเงินดอยท์ช์มาร์ค (DEUTSCH MARK) ของเยอรมนีตะวันตก เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้สินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ มีราคาถูกลงในสายตาของประเทศอื่น ทำให้สามารถส่งออกไปขายเพิ่มขึ้น
สำหรับประเทศไทยในตอนนั้น เราผูกค่าเงินบาทของเรากับเงินเหรียญสหรัฐฯ ค่าเงินเยนเลยแข็งโป๊กเหมือนกินไวอกราทั้งกล่อง ผมยังจำได้ว่า ช่วงก่อนหน้านั้น เงิน 100 เยน แลกได้ 10 บาท แต่จู่ๆ ก็กระโดดเป็น 100 เยน แลกได้ถึง 30 บาท ส่งผลให้ผู้ผลิตรถสัญชาติญี่ปุ่นทั้งหลายอู้ฟู่ไปตามๆ กัน มีเงินเหรียญสหรัฐฯ ในกระเป๋าเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในเวลาเพียงข้ามคืน เลยคิดการใหญ่ขึ้นมากมาย อาทิ ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่อิงอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งประเทศไทย คือ หนึ่งในนั้น รวมถึงพโรเจคท์สร้างรถบแรนด์หรูที่โฟคัสไปที่ตลาดสหรัฐอเมริกา
“PROJECT PEGASUS” คือ โครงการที่กำเนิดขึ้นจากความอู้ฟู่ของพวกเขาในตอนนั้น ซึ่งต่อมาได้นำไปสู่การกำเนิดบแรนด์ AMATI โดยคำว่า “AMATI” มาจากผู้ผลิตไวโอลิน และเชลโล ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของประเทศอิตาลี ช่วงศตวรรษที่ 16-17 ในฐานะผู้กำหนดรูปลักษณ์ และสัดส่วนของไวโอลินให้เป็นอย่างที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ ดังนั้นชื่อ “AMATI” ที่ MAZDA เลือกใช้จึงหมายถึง การเป็นผู้กำหนดนิยามใหม่ของยนตรกรรมชั้นสูง
ผลจากเงินในกระเป๋าที่จู่ๆ ก็ฟูขึ้นแบบปุบปับ ทำให้พวกเขาย่ามใจแตกบแรนด์ออกมาอีกหลายบแรนด์ โดยโฟคัสไปที่ไลฟ์สไตล์ของคนที่แตกต่างกัน อาทิ IFINI (อินฟินี) ที่โฟคัสไปที่รถหรูแบบขับเอง, EUNOS (ยูโนส) บแรนด์ของผู้รักการขับขี่ที่สนุกสนาน โดยรถที่โด่งดัง คือ EUNOS ROADSTER (โรดสเตอร์) หรือ MAZDA MX-5 (เอมเอกซ์-5) และอีกคันคือ EUNOS COSMO (คอสโม) รถหรูสไตล์คูเปที่รุ่นทอพใช้ขุมพลังโรตารี 3 โรเตอร์ และอีกบแรนด์ที่เน้นลูกค้าที่ชอบรถเล็ก นั่นคือ AUTOZAM (ออโทแซม) โดยรถเด่นของบแรนด์นี้ นอกจากเหล่ารถทรงกล่องขนาดจิ๋วที่คุ้นตากันในญี่ปุ่น ก็คือ AUTOZAM AZ-1 (เอเซด-1) รถคูเปคันเล็กประตูปีกนกเครื่องวางกลางลำ
สิ่งที่ค่าย MAZDA ทำ ไม่ต่างจากที่ค่ายอื่นของญี่ปุ่นทำในเวลานั้นแม้แต่น้อย เวลาคนมีเงินเต็มกระเป๋ามักจะใช้กันอย่างมือเติบ และที่สุดฟองสบู่เศรษฐกิจก็แตกในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน
กลับมาที่แผนการเปิดตัวบแรนด์ AMATI กันต่อ ตอนนั้น MAZDA ตั้งเป้าจะเปิดตัวรถบแรนด์นี้ออกมา 3 ซีรีส์ ได้แก่ AMATI 300 ซึ่งจะประจัญกับ BMW 3 SERIES (ซีรีส์ 3) ต่อมา คือ AMATI 500 ซีดานหรูขนาดกลางที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยี อาทิ เครื่องยนต์มิลเลอร์-ไซเคิล (MILLER-CYCLE ENGINE) รวมถึงระบบเลี้ยว 4 ล้อ สุดท้าย คือ AMATI 1000 รถระดับเรือธงที่จะวัดรอยเท้ากับ LEXUS LS (แอลเอส) และ BMW 7 SERIES (ซีรีส์ 7) โดยจุดขาย คือ เครื่องยนต์ วี 12 สูบ ที่ค่าย MAZDA พัฒนาขึ้นเอง
การจะเปิดตัวรถรุ่นใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์ วี 12 สูบ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันไม่ใช่วิสัยที่ควรจะทำ พวกเขาจึงคิดแผนการที่แยบยลในการส่งสัญญาณว่า MAZDA กำลังจะสร้างรถยนต์ชั้นสูงที่ใช้เครื่องยนต์ วี 12 สูบ เพื่อมาต่อกรกับบแรนด์หรูอื่นๆ ด้วยการเปิดตัวเครื่องยนต์แบบ W12 สูบ ความจุ 4.0 ลิตร ในงานมหกรรมยานยนต์โตเกียว ปี 1989
ถูกต้อง...คุณอ่านไม่ผิด MAZDA ไม่ได้เปิดตัวเครื่องยนต์ วี 12 สูบ แต่กลับเปิดตัวเครื่องยนต์ W12 สูบ ที่มีกระบอกสูบ (CYLINDER BANK) 3 แถว (แตกต่างจากเครื่องยนต์ W12 สูบ ของค่าย VOLKSWAGEN ใช้เครื่องยนต์ วี 6 สูบ 2 เครื่องมาประกบกัน) พวกเขาเคลมว่า ด้วยความจุ 4.0 ลิตร เครื่องยนต์ของพวกเขาสามารถผลิตกำลังออกมาได้ 206 กิโลวัตต์/280 แรงม้า (ตามข้อตกลงขณะนั้นของค่ายรถญี่ปุ่นที่ทำกันไว้ว่า จะไม่ผลิตแรงม้ามากกว่า 280 แรงม้า) เรียกว่า การเปิดตัวเครื่องยนต์ W12 สูบ เป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้ผลิตรายอื่นว่า ระวังตัวให้ดี MAZDA กำลังจะมาแล้ว !
ทำไมถึงเลือกทำเครื่องยนต์ W12 สูบ เหตุผลเพราะเครื่องยนต์แบบนี้มันมีความซับซ้อนมาก โดยเฉพาะเรื่องการระบายไอเสีย และเพื่อไม่ให้อุณหภูมิที่ร้อนจัดของไอเสียส่งผลกระทบกับอุณหภูมิที่ควรจะต่ำที่สุดของระบบไอดี แถมยังมีความกว้างของเครื่องยนต์มากกว่าเครื่องยนต์แบบสูบวีอีกด้วย โดยคำตอบของ MAZDA ที่มาเผยในภายหลัง คือ การกระทำนั้นเป็นการ “สับขาหลอก” เพราะเครื่องยนต์ W12 สูบ ที่ตั้งโชว์อยู่มันเป็นแค่ “แบบจำลอง” ไม่ใช่ของจริง
งานนี้หลายคนถึงกับเอามือตบหน้าผาก เพราะเสียรู้ให้แก่กลยุทธ์สับขาหลอกของ MAZDA ส่วนพโรเจคท์พัฒนาเครื่องยนต์ วี 12 สูบ พวกเขาได้นำเอาเครื่องตระกูล K ที่เป็นเครื่องช่วงชักสั้นแบบ วี 6 สูบ มุม 60 องศา DOHC 24 วาล์ว ความจุ 1.8 ลิตร ที่พวกเขามีอยู่มาวางต่อกันแบบแถวตอนเรียงหนึ่ง จนได้เครื่องยนต์ วี 12 สูบ ความจุ 3.6 ลิตร ซึ่งถ้าคุณอ่านแล้วรู้สึกว่าเครื่องยนต์ วี 6 สูบ ความจุ 1.8 ลิตร ฟังดูคุ้นๆ...
ใช่แล้ว มันคือเครื่องยนต์ที่ถูกขยายความจุ และประจำการใน MAZDA LANTIS (แลนทิส) และ CRONOS (คโรโนส) V6 2.0 ลิตร ที่จำหน่ายในบ้านเราช่วงยุค 90
เครื่องยนต์ตระกูล K แบบ วี 6 สูบ ที่พวกเขามีอยู่นี้รองรับการขยายความจุไปได้ถึง 2.5 ลิตร ดังนั้น จึงหมายความว่า เครื่องยนต์ วี 12 สูบ บลอคนี้สามารถขยายความจุได้ถึง 5.0 ลิตร แต่พวกเขาตัดสินใจว่า เบื้องต้นจะพัฒนาให้มีความจุ 4.6 ลิตร ซึ่งเพียงพอสำหรับตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา ว่ากันว่า AMATI 1000 เครื่องยนต์ วี 12 สูบ ความจุ 4.6 ลิตร ให้กำลังพอกับเครื่องยนต์ วี 8 สูบ (1UZ-FE) ของ LEXUS แต่มีเสียงหวานเหมือนกับเครื่องยนต์ วี 12 สูบ ของ FERRARI
เครื่องยนต์ที่โดดเด่นพร้อมแล้ว เหลือเพียงแค่ตัวรถ MAZDA เลือก PETER BIRTWHISTLE ชาวอังกฤษ อดีตนักออกแบบของ PORSCHE (โพร์เช) มาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ โดยจุดเริ่มต้นงานออกแบบ คือ การสร้างรถที่ไม่เหมือนใครในเวลานั้น ด้วยรูปทรงที่เพรียว และโค้งมน ซึ่งได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจาก PORSCHE 928 โดยเฉพาะส่วนหัวรถจะมีความลู่ลม และล้อหลังจะซ่อนไว้ใต้แผงตัวถัง เพื่อให้ลู่ลมที่สุด ตัวรถมีความยาวถึง 5 เมตร (ยุคนั้นรถที่มีความยาวระดับ 5 เมตร แทบจะไม่มีใครทำ แตกต่างกับยุคปัจจุบัน)
แม้จะดูล้ำสมัย แต่ผู้บริหารของ MAZDA เชื่อว่ามันล้ำเกินไป มันเลยได้รับการจัดเส้นสายเสียใหม่ให้มีความอนุรักษนิยม แต่ก็ยังคงรักษาความโค้งมนไหลลื่นไว้ ซึ่งบุคลิกของเส้นสายยังคงพบเห็นได้ในรถหรูอย่าง MAZDA 929 และ MAZDA SENTIA (เซนเทีย) ท้ายที่สุด AMATI 1000 มีเส้นสายที่ไม่หวือหวา แต่ดูแล้วสุขุม เรียกว่า วัดรอยเท้ากับ LEXUS LS ได้พอดี
แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ฟองสบู่ทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นมันแตกเร็วกว่าที่คาด โดยหลังจากที่คนญี่ปุ่นรวยขึ้นในเวลาข้ามคืน ช่วงปี 1986 ราคาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็พุ่งทะยาน ทำให้ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นเข้ามาควบคุมไม่ให้ราคาพุ่งทะยานจนเกินเหตุในปี 1990 ส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานถึง 20 ปี ที่เรียกกันว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” และผลของเศรษฐกิจชะลอตัวแรงครั้งนั้น กระทบกับการเงินของค่าย MAZDA รวมถึงแผนการเปิดตัวรถหรูอย่าง AMATI 1000 แบบเต็มๆ
แม้ MAZDA จะทุ่มเททั้งเงิน ทรัพยากร บุคลากร และอื่นๆ เพื่อพัฒนาบแรนด์สินค้าไปถึง 5 หมื่นล้านเยนแล้วก็ตาม สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจยุบ PROJECT PEGASUS ไปในปี 1992 หลังจากอู้ฟู่อยู่เพียงไม่กี่ปี และในที่สุดหุ้นของ MAZDA ก็โดน FORD (ฟอร์ด) ซื้อเพิ่มไป จากเดิมที่เคยถืออยู่แค่ 24 % พวกเขาซื้อไปอีก 12 % ในปี 1995 และส่งผลให้สิทธิ์ในการบริหารตกไปอยู่ในมือของ FORD ในเวลาต่อมา
สำหรับชะตากรรมของเครื่องยนต์ วี 12 สูบ ทีมงานของ MAZDA พยายามขายเครื่องยนต์ วี 12 สูบที่พัฒนาเสร็จแล้วให้ FORD นำไปประจำการใน JAGUAR แต่ข้อเสนอถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า “รถยนต์ JAGUAR จะไม่ใช้เครื่องยนต์ของญี่ปุ่น”
ส่วนมรดกทางการออกแบบของ PETER BIRTWHISTLE ก็ถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่โดยทีมออกแบบของ MAZDA แห่งสหรัฐอเมริกา ในปี 1994 ในชื่อ PROJECT A007 ซีดานหรูทรงลู่ลมเครื่องยนต์ วี 12 สูบ แต่น่าเสียดาย แม้จะมีรูปทรงสวยงาม แต่ไม่ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นพโรดัคชันคาร์จวบจนทุกวันนี้
ปัจจุบัน ท่านสามารถชมเครื่องยนต์ วี 12 สูบ ความจุ 4.0 ลิตร ที่โชคชะตากลั่นแกล้งของ MAZDA ได้ที่พิพิธภัณฑ์ของ MAZDA ในเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ใครมีโอกาสแวะเวียนไป อย่าลืมถ่ายภาพมาอวดกันบ้างนะครับ







