ชีวิตอิสระ
น้ำตกผาสวรรค์ สวรรค์ชั้น 7 หลังปราการโคลนนรก
บ้านเรามีน้ำตกมากมายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค มีความสวยงามแตกต่างกันไป การชมความงามของน้ำตกแบบเต็มม่าน ควรไปเที่ยวช่วงที่มีน้ำมาก ซึ่งก็คือ ฤดูฝน และปลายฝนต้นหนาว แต่อุปสรรคของการท่องเที่ยวในช่วงนี้ คือ อุปสรรคของสภาพเส้นทาง ที่ยากจะคาดเดาได้ ซึ่งเปรียบเสมือนปราการกั้นกลางระหว่างสังคมเมืองกับธรรมชาติที่น่าหลงใหล กว่าจะได้ชมความงดงามราวสวนแห่งสวรรค์ ก็ต้องฟันฝ่ากับอุปสรรคที่เปรียบดั่งนรกมิปาน
การเดินทางในทริพนี้ เป็นการเดินทางเข้าไปชมความงามของ "น้ำตกผาสวรรค์" ซึ่งเป็นน้ำตกที่เปิด
ตัวมาได้ไม่กี่ปี ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ทางเข้าน้ำตกมีอยู่หลายเส้นทาง แต่
ทางที่สะดวกที่สุด คือ เข้าทางหมู่บ้านสหกรณ์นิคม ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจน์ ฯ ประมาณ 150
กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323 มุ่งหน้าสู่อำเภอทองผาภูมิ
ทางเข้าไปตัวน้ำตกนั้นเป็นถนนลูกรังประมาณ 13 กิโลเมตร หากว่าเป็นช่วงฤดูร้อนรถขับเคลื่อน
2 ล้อ ก็สามารถไปได้ แต่ความสวยงามก็จะลดน้อยลงตามปริมาณน้ำ แต่ถ้าอยากจะชมความงดงาม
อย่างเต็มที่ของตัวน้ำตกแล้วละก็ คงต้องเป็นช่วงฤดูฝน หรือปลายฝนต้นหนาว ช่วงระหว่างเดือน
มิถุนายน-มกราคม แต่คงต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือเดินเท้า ซึ่งสภาพเส้นทางส่วนใหญ่จะเป็น
ดินมันปู และดินป่าไผ่ และจะกลายสภาพเป็นปลักโคลนทันที เมื่อฤดูฝนมาเยือน
สำหรับตัวน้ำตกเป็นแบบหินปูน ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบได้ทั่วไปในเมืองกาญจน์ ฯ ชั้นน้ำตกมีอยู่ด้วยกัน 7 ชั้น และมีความสวยงามของแต่ละชั้นแตกต่างกันไป ชั้นที่สูงที่สุด คือ ชั้น 7 ซึ่งมีความสูงประมาณ 80 เมตร และมีความสวยงามมาก หลายๆ คนที่ได้ไปเที่ยวแล้วมักจะพูดตรงกันว่า ที่นี่มีความสวยงามดั่ง "สวรรค์ชั้น 7"
มุ่งสู่น้ำพุร้อนหินดาด
จุดรวมพล คืนแรก
หลังเสร็จจากงานประจำที่ออฟฟิศในเย็นวันศุกร์ ผมรีบรุดกลับบ้านเพื่อเก็บเสื้อผ้า และอุปกรณ์
กู้รถที่จำเป็น รวมทั้งเสบียงกรัง เมื่อทุกอย่างได้ถูกจัดวางอยู่หลังรถอย่างเป็นระเบียบแล้ว เวลา
ประมาณเที่ยงคืน จึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองกาญจน์ ฯ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323
จุดหมายอยู่ที่บ่อน้ำพุร้อนหินดาด ซึ่งอยู่ห่างจากปากทางเข้าหมู่บ้านสหกรณ์นิคม ประมาณ 5
กิโลเมตร เป็นจุดนัดรวมพลของขบวนรถเราในทริพนี้
มาถึงที่นัดหมายเวลาประมาณตี 3 เศษ สมาชิกที่มาถึงก่อนหน้านี้ได้แยกย้ายกันนอนหมดแล้ว ส่วน
ตัวผมที่เดินทางมาเป็นคันสุดท้าย ตระหนักว่าคงเป็นการเสียเวลาเปล่า หากจะเอาเทนท์ออกมากาง
เพราะอีกไม่กี่อึดใจฟ้าก็สางแล้ว คงต้องอาศัยนอนในรถ เอาแรงไว้ก่อน แม้จะไม่สะดวกสบายนัก
แต่ก็เป็นความเคยชินเสียแล้ว บางครั้งเมื่อเดินทางไปถึงที่หมายปลายทางในเวลาดึกดื่น ก็มีรถคู่ใจ
นี่แหละที่ใช้เป็นทั้งพาหนะ และที่ซุกหัวนอน
เมื่อความมืดแห่งราตรีเริ่มจางหาย สมาชิกในกลุ่มต่างทยอยออกจากที่นอนของแต่ละคน บ้างก็ออก
มาจากเทนท์ บ้างก็มีเพียงฟลายชีทที่ใช้รองพื้นนอนกับถุงนอนที่ใช้ห่อตัวพอกันน้ำค้าง บ้างก็ออกมา
จากรถเช่นเดียวกับตัวผม ข้าวต้มกับกาแฟ ยังคงเป็นอาหารหลักมื้อเช้าเช่นเดียวกับการออกทริพ
หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา โดยไม่เคยคิดที่จะเบื่อหน่ายกับรสชาติของมันเลยสักนิด
เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมง ถ้วย ช้อน และหม้อ ก็ถูกนำไปล้างทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อย พร้อม
แพคเก็บไว้หลังรถเช่นเดิม ขบวนรถเริ่มทยอยออกทีละคัน คันไหนที่น้ำมันเหลือน้อย ก็แวะเติม
ที่ปั๊ม ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ส่วนคันไหนที่เติมไว้แล้วตั้งแต่ขามาก็รุดหน้าไปรอที่ปากทางเข้า
ตัวน้ำตก ซึ่งเมื่อออกจากที่พัก วิ่งตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323 มุ่งหน้าสู่อำเภอทองผาภูมิ
มาเลี้ยวขวาเข้าปากทางหมู่บ้านสหกรณ์นิคม บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 108 แล้วขับไปอีกประมาณ
15 กิโลเมตร ตามถนนราดยาง ก็จะเจอแยกขวามือ เป็นถนนลูกรัง พร้อมป้ายบอกทางเข้าน้ำตก
ผาสวรรค์ 13 กิโลเมตร
ลุยโคลน กระโจนเลน
ก่อนถึงสวรรค์บนดิน
ท้องฟ้าวันนี้ดูสดใสไร้เค้าลางของเมฆฝน ในความคิดหากไม่มีฝนตกซ้ำลงมาอีก การเดินทางคงใช้
เวลาไม่มากนัก เพราะดูสภาพทางแล้ว ฝนคงไม่ตกมาประมาณ 2 วันแล้ว เมื่อจัดตำแหน่งของรถ
ในขบวนทั้ง 9 คันเสร็จ ฟรีลอคถูกปรับมาในตำแหน่งลอค เกียร์ 4H ได้ใช้งานอีกครั้ง
เพียงแต่เริ่มเข้าอาณาเขตได้ไม่ถึง 2 กิโลเมตร ภาพที่คิดไว้ว่าพื้นดินคงแห้งก็ถูกลบเลือนหาย
ไปทันที ภาพเบื้องหน้าที่เป็นปลักโคลนยาว แถมร่องลึก ที่คงผ่านการชำแรกด้วยยางไซซ์
33-35 นิ้ว มาเป็นแน่แท้ ที่สำคัญเจ้ามดดำพาหนะคู่ใจของผมมีขนาดไซซ์ยางเพียง 31 นิ้วเท่านั้น
งานนี้คงสะบักสะบอมแน่นอน ขณะขับรถไปก็บ่นพึมพำกับตัวเองไปด้วย "นี่เพียงแค่ปากทาง
เท่านั้น ร่องยังลึกขนาดนี้ แล้วข้างในที่เป็นดินป่าไผ่ จะเละขนาดไหน งานเข้าอีกแล้ว..."
ขณะที่บ่นพึมพำอยู่นั้น รถก็เคลื่อนผ่านบ่อโคลนไปทีละบ่อสองบ่อ เสียงวิทยุสื่อสารแจ้งสภาพ
เส้นทางจากรถคันหน้า ดังมาเป็นระยะๆ แข่งกับเสียงกิ่งไผ่ที่ขูดกับตัวถังรถตลอดสองข้างทาง
ช่างเป็นเสียงที่บาดหูกว่าเสียงใดๆ ที่เคยได้ยินมา
ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆ ก็เดินทางมาถึงหน่วยอนุรักษ์ต้นน้ำย่อยห้วยกุยมั่ง หลังจากนี้จะต้อง
ข้ามลำห้วย แต่เนื่องจากสะพานไม้ที่เคยใช้งาน ถูกน้ำซัดจนพังหมดแล้ว ขบวนของเราจึงตัดสินใจ
เบี่ยงขวา ไปตามเส้นทางเก่า ซึ่งจะมีที่ข้ามห้วย เป็นจุดที่ลงตลิ่งได้ง่าย แต่ขาขึ้นจากตลิ่งที่มีความชัน
ประมาณ 60 องศา ต้องอาศัยวินช์อย่างเดียว ถึงจะขึ้นได้ ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของทุกคน
รถทุกคันจึงสามารถผ่านพ้นไปด้วยดี
เมื่อขึ้นจากตลิ่งทุกคันแล้ว เราจึงเดินทางต่อ โดยเส้นทางจะลัดเลาะไปตามป่าไผ่ ซึ่งตอนนี้ดินป่าไผ่
ได้กลายเป็นโคลนเลนตลอดเส้นทาง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายหากจะผ่านไปได้ แต่ทริพนี้สมาชิกส่วนใหญ่
ต่างมีประสบการณ์มามากพอ จึงผ่านพ้นไปด้วยดี เมื่อหลุดจากป่าไผ่ เราก็มาบรรจบกับเส้นทางหลัก
อีกครั้ง จากที่เคยเป็นถนนลูกรังสีแดง ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นดินมันปู บางจุดหากเป็นที่แข็งหน่อย
ก็จะกลายเป็นดินหนังหมู ซึ่งจะมีความเหนียวและลื่นเป็นอย่างมาก เรียกว่าถ้าขับมา จับจังหวะไม่ดี
ก็มีโอกาสติดแน่นอน โดยเฉพาะเนินชันที่ต้องอาศัยการเทค ฯ ซึ่งสภาพดินที่มีความลื่นอยู่แล้ว
ทำเอาเจ้ามดดำของผมต้องสิ้นฤทธิ์ หมดสิทธิ์ที่จะขึ้นได้ ต้องให้รถในขบวนลากขึ้น
บ่อโคลนด่านสุดท้ายที่เราจะต้องเจอก่อนถึงจุดกางเทนท์ เป็นบ่อขนาดใหญ่ และมีความยาวประมาณ
30 เมตร มีไลน์ให้ลองผิดลองถูกอยู่ 3-4 ไลน์ แรกๆ ก็ติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง แต่พอเจอไลน์ที่ไปได้ รถ
ทุกคันก็ผ่านได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก เมื่อถึงที่กางเทนท์ ดูเวลาประมาณบ่าย 2 โมง นับจากตอนเข้า
มาเวลาประมาณ 9 โมงกว่าๆ เราใช้เวลาเดินทางเกือบ 5 ชั่วโมงทีเดียว กับระยะทาง 13 กิโลเมตร
และตอนนี้ท้องไส้ของทุกคนก็หิว จนแทบจะกินช้างได้ทั้งตัว
ยังไม่ทันได้ตระเตรียมสถานที่กางเทนท์ พ่อครัวประจำทริพก็จุดเตาแกสขึ้นพร้อมกันถึง 2 เตา
หม้อหุงข้าวใบใหญ่ถูกยกขึ้นตั้งบนเตาทันที ผัดผักแบบง่ายๆ ตามลงกระทะบนเตาแกส และเมนู
ที่จะขาดเสียไม่ได้ คือ ไข่เจียวหอมกรุ่น ที่ส่งกลิ่นไปทั่วป่า ตบท้ายด้วยแกงจืดอีกหม้อ
เพื่อให้คล่องคอยิ่งขึ้น
ย่ำเท้า 2 กิโลเมตร
มุ่งสู่สวรรค์ชั้น 7
หลังจัดการกับอาหารมื้อกลางวันเสร็จ ผมจึงหาวิธีย่อยอาหารด้วยการเดินขึ้นไปชมน้ำตก สาวเท้า
จากจุดกางเทนท์มาได้ประมาณ 20 นาที ก็พบกับน้ำตกชั้นที่ 1 ชื่อ "ธารสวรรค์" ซึ่งยังมีความสูง
ไม่มากนัก เมื่อย่ำเท้าต่อไปอีกประมาณ 5 นาที ก็มาถึงชั้นที่ 2 ชื่อ "อ่างหินกินรี" บริเวณนี้จะมี
เวิ้งน้ำที่มีกระแสน้ำไหลลดหลั่นลงมา แล้วทิ้งตัวลงอ่างหินขนาดใหญ่ ประหนึ่งสระน้ำของกินรี
สัตว์ในวรรณคดี
"อ่างถ้ำแก้ว" คือ ชื่อของน้ำตกชั้นที่ 3 ซึ่งมีลักษณะเป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่ สีเขียวใส ยั่วยวนให้ลง
ไปดำผุดดำว่ายยิ่งนัก ผมต้องฝืนกลั่นใจแล้วหันหลังเดินมุ่งหน้าสู่น้ำตกชั้นที่ 4 มีชื่อว่า "ผาคนธรรม์"
ชั้นนี้ตัวน้ำตกมีความสูงมากขึ้นกว่า 3 ชั้นที่ผ่านมา เท้าทั้ง 2 ข้างของผมยังไม่ยอมหยุด เพียงไม่ถึง
5 นาที น้ำตกชั้นที่ 5 "ผาเทพบุตร" ก็ตั้งขวางอยู่ข้างหน้า ตัวน้ำตกจะแบ่งระดับเป็น 2 ชั้น มีความ
สวยงามเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่พอ เพราะเสียงที่เล่าลือกันว่า ชั้น 7 สวยกว่านี้ และสวยที่สุด
ผมแทบอดใจไม่ไหวที่จะรีบสาวเท้าไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา
ใบไม้สีน้ำตาลที่ร่วงหล่นทับถมบนพื้น ถูกเท้าทั้ง 2 ข้างของผมเหยียบข้ามไปก้าวแล้วก้าวเล่า
โขดหินสีน้ำตาล ซึ่งเป็นหินทรายที่มีลักษณะเด่น คือ ไม่ลื่น ยิ่งช่วยให้ก้าวเท้าได้อย่างมั่นใจ
เมื่อแวะถ่ายภาพน้ำตกชั้น 6 ชื่อว่า "ผาพิรุณ" เสร็จ ผมก็ออกเดินทางต่อทันที ช่วงนี้แม้จะมีความสูงชัน
อยู่บ้าง แต่เจ้าหน้าที่ได้ทำบันไดไม้ไว้อำนวยความสะดวก จึงไม่ทุลักทุเลมากนัก
เมื่อเดินมาได้ประมาณ 40 นาที ก็หลุดพ้นจากร่มเงาของใบไม้ ใบหน้ารู้สึกเย็นเฉียบด้วยละอองน้ำ
ที่กระจายอยู่ทั่วไป เสียงน้ำที่ทิ้งตัวลงมาจากความสูงประมาณ 80 เมตร เมื่อตกกระทบกับโขดหิน
ทำให้เสียงกึกก้องดังไปทั่วบริเวณหน้าผาสูงชัน ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสายน้ำแซมด้วยสีเขียวขจี
ของแมกไม้ ช่างมีความสวยงามยิ่งนัก คงไม่เกินจริงหรอกที่ชื่อของน้ำตกชั้นนี้จะถูกเรียกว่า
"ผาสวรรค์" หรือ สวรรค์ชั้น 7 อย่างที่กล่าวขานกัน
คงเป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก หากสถานที่แห่งนี้ จะถูกทำลายลงด้วยความเจริญ เมื่อถนนราดยาง
เข้ามาถึง นักท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศ จะหลั่งไหลเข้ามาปู้ยี้ปู้ยำธรรมชาติ เหมือนที่เคยพบเห็นกัน
ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ความสวยงาม แม้จะไม่อยู่คงทน นั่นคือ สัจธรรม แต่การมีจิตสำนึกที่ดี
ต่อสิ่งแวดล้อม และการช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงอยู่ ควรเป็นสิ่งที่คำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ
สำหรับนักท่องเที่ยวทุกๆ คน เพื่อช่วยให้ความงามเหล่านั้นให้คงอยู่กับโลก และเรา ได้นานที่สุด
ตัวอักษร แม้จะไม่สามารถบรรยายถึงความงามเหล่านี้ได้ และที่ทำได้เพียงแค่เก็บไว้ในลิ้นชัก
ความทรงจำ แต่มิตรภาพระหว่างการเดินทาง ยังคงประทับใจมิรู้ลืม...
ขอบคุณ ชมรมเจ้าพระยาออฟโรด ๔๖ ทำหน้าที่เป็นทริพลีเดอร์ชั้นยอด
การเดินทาง
น้ำตกผาสวรรค์ อยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ 150 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข
323 กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ บริเวณกิโลเมตรที่ 110 ผ่านบ้านสหกรณ์นิคมเข้าไปประมาณ 15 กิโลเมตร
และเลี้ยวขวาบริเวณทางแยกดินลูกรังอีก 13 กิโลเมตร หรือใช้เส้นทางเชื่อมต่อจากน้ำตกผาตาดแล้ว
เดินเท้าต่ออีก 40 นาที จึงจะถึงตัวน้ำตก หรือใช้เส้นทางจากน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ผ่านเหมืองเนินสวรรค์
หมู่บ้านสะพานลาว ระยะทางประมาณ 44 กิโลเมตร ถ้าเดินทางในฤดูฝนใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น
สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง
น้ำตกผาตาด เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามมาก
แห่งหนึ่งในเขตอำเภอทองผาภูมิ ทางเข้าบริเวณริมทางหลวงหมายเลข 323 บริเวณน้ำตกมีความ
ร่มรื่นของพันธุ์ไม้นานาชนิด มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น
น้ำพุร้อนหินดาด อยู่ห่างจากน้ำตกผาตาด ประมาณ 6 กิโลเมตร เดิมเรียกว่า น้ำพุร้อนกุยมั่ง ถูกค้นพบ
โดยบังเอิญจากทหารญี่ปุ่นที่เกณฑ์เชลยศึกให้สร้างทางรถไฟสายมรณะ ในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2
เชื่อกันว่าน้ำแร่จากบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ มีสรรพคุณ รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้หลายอย่าง เช่น โรคเหน็บชา
โรคไขข้ออักเสบ จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปชม และอาบน้ำแร่กันเป็นจำนวนมาก
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เป็นน้ำตกที่มีชั้นสวยงามมากถึง 7 ชั้น ลักษณะเป็นน้ำตกหินปูนขนาดกลาง
มีลีลาอ่อนช้อย น้ำไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ น้ำใสสะอาด และด้วยลักษณะของหินปูน จึงไม่ค่อย
มีตะไคร่น้ำจับที่พื้น สามารถเดินได้ไม่ลื่น ชั้นที่สวยและใหญ่ที่สุด คือ ชั้นที่ 4 หรือชั้นฉัตรแก้ว
อุทยาน ฯ ได้ทำทางเดินเท้าเพื่อให้เข้าชมชั้นต่างๆ ของน้ำตกได้โดยสะดวก
ABOUT THE AUTHOR
ข
ขุนเดช
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)