มาตรวัดตลาดรถ
โตแบบไม่เกรงใจ
[table]
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนสิงหาคม ปี 54 กับ 53
ตลาดโดยรวม, + 20.3 % รถยนต์นั่ง, + 27.8 % กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ, + 13.9 % กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ ,+ 1.3 % รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) ,+ 22.6 % รถอเนกประสงค์ (MPV), - 3.8 % อื่นๆ, + 28.2 %เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือน มกราคม-สิงหาคม ปี 54 กับ 53
ตลาดโดยรวม ,+ 19.6 % รถยนต์นั่ง, + 25.4 % กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ, + 19.2 % กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ, - 4.2 % รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV), + 6.6 % รถอเนกประสงค์ (MPV), - 0.5 % อื่นๆ ,+ 13.6 % [/table] ตลาดรถยนต์บ้านเราเป็นอย่างที่พาดหัวเอาไว้จริงๆ นะครับ เติบโตกันแบบไม่เกรงใจ ไม่กลัวว่าใครจะมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ไม่เกรงว่าน้ำมันเบนซิน หรือดีเซล จะลดราคาลงมาอีก แต่โตกันแบบก้าวตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ที่เติบโตอย่างมั่นคง ไม่ต้องอิงกับการเมืองใดๆ ที่กล่าวอ้างอย่างนั้น เพราะสถิติการขายรถยนต์เดือนสิงหาคม 2554 มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 79,043 คัน เพิ่มขึ้น 20.3 % แต่เมื่อรวมยอดทั้ง 8 เดือนที่ผ่านมา มีทั้งสิ้น 583,957 คัน เพิ่มขึ้น 19.6 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน แบ่งเป็น รถยนต์นั่ง มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 25.4 % ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 13.6 % นั่นก็คือ รถยนต์นั่งรุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะบรรดารถเล็กทั้งหลาย ได้รับความนิยมแบบโตขึ้นทุกวัน รวมทั้งมีรถที่ค้างจอง เพราะชิ้นส่วนขาดแคลนอยู่ช่วงหนึ่ง แต่พอเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก็ต้องรีบผลิตเพื่อการส่งมอบเพิ่มขึ้น ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ที่อยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนได้จากราคาสินค้าเกษตร ที่ยังคงขยายตัว โดยเฉพาะในช่วงกินเจด้วยแหละ รวมทั้งอัตราการว่างงาน ที่อยู่ในระดับต่ำ และการขยายตัวของสินเชื่อ ทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ หรือพูดให้ถูกว่า สินเชื่อทะเบียนรถยนต์ ที่เอามาหมุนอีกหน โตกันไม่ต้องบันยะบันยังเชียว มาคุยกันเรื่องรอบตัวดีกว่า เรื่องแรก รัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านการขนส่ง 21 เขตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศเอเปค ที่ลงนามว่า จะร่วมกันส่งเสริมการเติบโตสีเขียว และนวัตกรรมการขนส่ง ที่มุ่งเน้นด้านการขนส่งที่ปลอดภัย มั่นคง ไร้รอยต่อ และยั่งยืน โดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในระบบขนส่ง เพื่อลดปริมาณการปล่อยแกส และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้พลังงานในการขนส่ง อย่างมีประสิทธิภาพ เรื่องแรกเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่เรื่องของรูปธรรม ท่านก็ลงนามกันเอาไว้ว่า จะสนับสนุนความร่วมมือด้านกฎระเบียบ เพื่อลดอุปสรรคด้านการค้าและการลงทุน และให้ความสำคัญกับบทบาท องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่กำหนดมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้ประเทศสมาชิกถือปฏิบัติ นั่นเป็นเรื่องระหว่างประเทศ มาคุยเรื่องในประเทศกันบ้าง หลวงเพิ่งจะประกาศลดภาษีเชื้อเพลิง และการจ่ายคืนภาษีรถคันแรก ที่มีต่อปัญหาโลกร้อน สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ก็ออกมาบอกว่า ส่งผลให้พฤติกรรมในการใช้น้ำมันมากขึ้น คิดเป็นภาพรวมทั้งสิ้น 71.23 ล้านลิตร/วัน หรือประมาณ 3 % โดยกลุ่มน้ำมันเบนซินทั้ง 91 และ 95 มีตัวเลขสูงขึ้นจากเดิม 7.20 ลิตร/วัน เพิ่มเป็น 10 ล้านลิตร/วัน หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มถึง 2.80 ล้านลิตร/วัน หรือ 39 % แต่สัดส่วนของการใช้แกสโซฮอล กลับลดลงจากเดิม 12.53 ล้านลิตร/วัน ลดลงเหลือ 11.93 ล้านลิตร/วัน หรือราว 5 % ขณะที่อัตราน้ำมันดีเซลเกือบคงที่ กล่าวคือ 49.10 ล้านลิตร/วัน สัดส่วนนี้น่าเป็นห่วง เนื่องจากกลุ่มของน้ำมันเบนซินนั้น ส่งผลให้กลุ่มแกสคาร์บอนไดออกไซด์ หรือแกสเรือนกระจก สูงกว่าแกสโซฮอล ลิตรต่อลิตรแต่คำแถลงที่ประทับใจ จนต้องเอามาขยายเห็นจะเป็นเรื่อง มาตรการจ่ายคืนภาษีรถคันแรกของรัฐบาล ตั้งเป้าจะให้โควทา 500,000 คัน ก็เท่ากับจะทำให้แกสเรือนกระจกสูง 1,212,165 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี หรือราว 3,221 ตัน/วัน ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มสัดส่วนการปล่อยแกสเรือนกระจก ที่เกินความจำเป็นมาก ที่สำคัญยังสวนทางกับทิศทางของสังคมโลก ที่พยายามลดโลกร้อน ถ้าเป็นไปได้อยากให้นโยบายรถคันแรกและลดภาษีเชื้อเพลิง เป็นแค่นโยบายระยะสั้นแค่ 6 เดือนถึง 1 ปีเท่านั้น เพราะถ้ายิ่งนาน ไทยก็จะกลายเป็นชาติที่ปล่อยแกสโลกร้อนสูงขึ้น จนอาจถูกประณามจากสังคมโลก และอาจถูกใช้มาตรการกีดกันทางการค้า นี่ลอกเอามาตรงๆ เลยนะครับ กลัวโดนฟ้องเหมือนกะท่าน บก. เหมีอนกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า กลับมาเรื่องมาตรวัดของเราดีกว่า เดือนสิงหาคมนี่ ยอดการขายรถยนต์ทั้งตลาดทำได้ 79,043 คัน เพิ่มขึ้น 20.3 % โดยยอดรวม 8 เดือน ขายกันได้ 583,957 คัน เพิ่มขึ้น 19.6 % ตำแหน่งแชมพ์ยอดรวม ยังคงเดิม โตโยตา ขายได้ 32,072 คัน เพิ่มขึ้น 18.9 % ส่วนแบ่งตลาด 40.6 % อันดับสอง อีซูซุ ขายได้ 13,104 คัน โต 13.0 % ส่วนแบ่ง 16.6 % อันดับสาม ฮอนดา ขาย 7,359 คัน ลดลง 26.4 % ส่วนแบ่ง 9.3 % อันดับสี่ มิตซูบิชิ ขาย 6,639 คัน เพิ่มเยอะ 104.4 % ส่วนแบ่ง 8.4 % และอันดับห้า นิสสัน ขาย 6,005 คัน เพิ่ม 18.9 % ส่วนแบ่ง 7.6 % แยกประเภทเป็นรถยนต์นั่ง ขายกันได้ 34,383 คัน เพิ่มขึ้น 27.8 % รวม 8 เดือน ขายได้ 252,456 คัน เพิ่มขึ้น 25.4 % ตำแหน่งแชมพ์ โตโยตา ขาย 14,935 คัน เพิ่ม 43.2 % ส่วนแบ่ง 43.4 % ที่สอง ฮอนดา ขาย 6,961 คัน ลดลง 21.8 % ส่วนแบ่ง 20.2 % ที่สาม นิสสัน ขาย 4,254 คัน เพิ่มขึ้น 62.4 % ส่วนแบ่ง 12.4 % ที่สี่ มาซดา ขาย 2,949 คัน เพิ่มขึ้น 30.4 % ส่วนแบ่ง 8.6 % และที่ห้า ฟอร์ด ขายได้ 1,817 คัน เพิ่มมากมาย 526.6 % ส่วนแบ่ง 5.3 % อันดับผู้เสียภาษีสูงสุด โพร์เช ขาย 7 คัน แจกวาร์ ขาย 6 คัน ลัมโบร์กินี ขาย 5 คัน โลทัส มิตซูโอกะ เบนท์ลีย์ และมาเซราตี เจ้าละ 1 คัน แยกเป็นประเภทรถเพื่อการพาณิชย์ ขายดีสุด โตโยตา 2,003 คัน เพิ่มขึ้น 57.5 % ส่วนแบ่ง 45.2 % ที่สอง อีซูซุ 910 คัน เพิ่มนิดนึง 0.3 % ส่วนแบ่ง 20.5 % ที่สาม ฮีโน ขาย 868 คัน น้อยลง 1.9 % ส่วนแบ่ง 19.6 % และที่สี่ ฮันเด 385 คัน เพิ่ม 67.4 % ส่วนแบ่ง 8.7 % ที่ห้า มิตซูบิชิ 59 คัน เพิ่มขึ้น 118.5 % ส่วนแบ่ง 1.3 % รถอเนกประสงค์ หรือเอมพีวี ขายเดือนเดียว 1,154 คัน ลดลง 3.8 % ยอดรวม 8 เดือน ขายได้ 8,846 คัน ลดลง 0.5 % แต่ขายดีกันอยู่เจ้าเดียว โตโยตา ขายได้ 5,562 คัน เพิ่มขึ้น 56.7 % ส่วนแบ่ง 62.9 % เรื่องของยอดการขายเดือนที่ผ่านมาก็เติบโตกันไป เพียงแต่ว่า นโยบายของภาครัฐ ที่ออกมาจนเวียนหัวไปหมด มันค่อนข้างจะวุ่นวายนะครับ พณหัวเจ้าท่านจะประกาศอะไรออกมา คุยกันให้เรียบร้อยภายในพรรคก่อน ก็น่าจะดีนะครับ อย่าให้ระดับบริหารของค่ายรถยนต์ ต้องออกมาโวยวายผ่านสื่อมวลชน ว่าทำอะไรไม่ปรึกษา ไม่อยากจะบอกว่าเรื่องอะไร เพราะน่าจะรู้กันดีอยู่ เป็นข้าราชการน่ะ ทำอะไร ดูเหนือดูใต้กันบ้างก็ได้นะครับ ไม่ใช่นายสั่งอะไรออกมา ก็รีบติดต่อลงมือทันที ประเทศนี้เป็นประเทศเสรีนะครับ ไม่ใช่สังคมนิยม...กราบเรียนมาเพื่อทราบABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ