ประสาใจ
มวลน้ำ
ผมเขียนเรื่องนี้ระหว่างการเดินทางของมวลน้ำจากเหนือไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทย สร้างความเดือดร้อนสาหัสแก่เพื่อนร่วมแผ่นดินของผมเป็นที่ยิ่ง ไม่รวมความเสียหายมูลค่าเป็นแสนล้านบาทจากการจมบาดาลของนิคมอุตสาหกรรมสำคัญ ทั้ง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และกรุงเทพ ฯ
นับตั้งแต่ผมเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่ปี 2491 ผมมีประสบการณ์น้ำท่วมกรุงเทพ ฯ 2 ครั้ง ขณะมีบ้านพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร เสรี-รามคำแหง ในปี 2523 และปี 2526 น้ำท่วมปี 2523 เสมอแค่ตาตุ่ม และปี 2526 ท่วมแบบหาอนาคตไม่ได้
น้ำ กับผม เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมาตลอดเหมือนทุกคน ผมเป็นลูกแม่น้ำ ว่ายน้ำเป็นโดยอัตโนมัติ ขืนว่ายน้ำไม่ได้ ก็จมน้ำตายลูกเดียว รู้จักแม่น้ำเจ้าพระยามาแต่เล็ก เล่นกับน้ำเจ้าพระยา โดยไม่เกรงขาม
เคยว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแบบฟรีสไตล์ ว่ายเป็นเส้นตรงไปอีกฝั่งหนึ่ง เป็นเพียงคำอวดอ้าง ทุกครั้งจะต้องว่ายแบบฟรีสไตล์ อาศัยเรือโยงที่ผ่านมาบ้าง อาศัยกระแสน้ำขึ้น-ลง ไปจนถึงฝั่งตรงข้าม ซึ่งยามจะว่ายกลับมาก็ต้อง กระเดือกตัวเองทวนน้ำขึ้นไป จนคะเนได้ว่ากระแสน้ำจะพัดพาถึงฝั่งตรงข้ามตรงตามจุดหมาย
การกระโดดสูงลงไปหาน้ำ ไม่เคยวัดระยะ แต่ความรู้สึกจากหน้าท้องที่กระแทกมวลน้ำ ก็สามารถวัดระยะให้ได้ว่าสูงเกินไปหรือเปล่า สำหรับเอ็ง
ผมไม่เข้าใจว่าทำไม ผมต้องเล่นน้ำในตอนที่เป็นเด็กระดับประถมศึกษา และก็ไม่เคยศึกษาค้นคว้าว่าทำไม
ผมเล่นน้ำมาในยุคที่ผมเรียนชั้นประถม และมัธยมต้น อาศัยที่บิดาเป็นข้าราชการ ต้องย้ายสถานที่ราชการเรื่อยมาตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา จากจังหวัดหนึ่งไปอีกจังหวัดหนึ่ง ซึ่งแต่ละจังหวัดก็เป็นจังหวัดที่ติดริมแม่น้ำ ตั้งแต่ ชัยนาท ลงมาอ่างทอง จนถึงพระนครศรีอยุธยา ก่อนเข้านครปฐม
การย้ายสถานที่ทำงานของบิดา ก็ต้องอาศัยเรือพ่วง สรรพสิ่งของทั้งปวงในบ้านถูกบรรทุกลงเรือสำปั้น พ่วงกับเรือไอ ลากไปจนถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งแทบจะทุกครั้ง ผมก็จะใช้เวลาเกียจคร้านทำงาน หนีออกมากระโดดน้ำเล่นระหว่างเดินทางเป็นประจำ
การกระโดดน้ำที่สนุกสนานของผม ก็ง่ายมาก แค่ได้เหยียบแคมเรือสำปั้น ก็โดดน้ำได้แล้ว และผมก็ไม่เคยบันทึกว่า ความสนุกสนานในการโดดน้ำมีองศาเท่าไร
การศึกษาระดับมัธยมต้นของผม เริ่มที่นครปฐม ขณะนั้นเป็นปี 2485 สงครามมหาเอเชียบูรพาเพิ่งจะเริ่มต้นมาไม่ถึงปี มีรายงานว่ากรุงเทพ ฯ เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ โดยชาวกรุงเทพ ฯ พากันสวมหมวกพายเรือเล่นในลานพระบรมรูปด้วยความเพลิดเพลินอย่างสบายๆ
แต่จังหวัดนครปฐมไม่มีน้ำท่วมให้ผมเล่นน้ำ น้ำท่วมเล็กน้อยถึงโรงเรียนประจำจังหวัดชายที่ติดกันกับห้วยจระเข้ ซึ่งเป็นห้วยที่ผมมาเล่นน้ำเป็นประจำ
ครอบครัวของเราเดินทางจากอำเภอบางไทรเข้าอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐมด้วยทางเรือเหมือนทุกครั้ง ซึ่งสมัยนั้นเรือสามารถเดินเข้ามาถึงคลองหน้าองค์พระ ไม่มีการตื้นเขินในแต่ละลำคลองจากแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงอำเภอเมือง นครปฐม
โรงเรียนประจำจังหวัดชายของนครปฐม มีสระว่ายน้ำแบบบ้านนอก ซึ่งผมเคยมีประสบการณ์ลงว่ายน้ำแข่งขันเป็นบางโอกาส ซึ่งเท่าที่จำได้แพ้ทุกครั้ง ไม่เคยได้เหรียญรางวัล
เมื่อการศึกษาระดับมัธยมต้นสิ้นสุดลง ผมก็ถูกส่งมาเรียนมัธยม 7 และ 8 ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เชิงสะพานพุทธ ฯ เป็นศิษย์เก่าของสถาบันชมพู-ฟ้าตั้งแต่ปี 2491
ผมก็ใกล้ชิดกับแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้ง เพราะผมมีบ้านพักอยู่กับพี่ชายที่บ้านขมิ้น ถนนอรุณอมรินทร์ ติดกับโรงพยาบาลศิริราช มีคลองบ้านช่างหล่อไหลผ่านให้ผมเล่นน้ำทุกวัน
แม่น้ำเจ้าพระยากับผมในยุคนั้น ผมไม่เคยได้ลงไปว่ายน้ำเล่นเหมือนตอนเด็กๆ นอกจากได้อาศัยชมภาพเรือรบหลวงจอดกลางแม่น้ำแล้ว ผมก็ใช้เรือหัวเกี๊ยะข้ามฟากไปเรียนหนังสือจากท่าพรานนกไปท่าพระจันทร์บ้าง ท่าช้างวังหลังบ้าง เพื่อโดยสารรถรางไปลงที่เชิงสะพานพุทธ ฯ
ผมสัมผัสแม่น้ำเจ้าพระยาครั้งเดียว ด้วยความบังเอิญขณะจะข้ามฟากผมตกจากท่าเรือ แต่ก็อาศัยความเป็นลูกแม่น้ำขึ้นมาได้ โดยไม่มีคนช่วยเหลือ
ผมรู้สึกอับอาย สิ่งแรกที่ทำก็คือ ปลดตราประจำโรงเรียนที่หน้าอกออก แล้วก็เดินกลับบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะไปเรียนหนังสือ
กับน้ำในคลองบ้านช่างหล่อ ที่ผมอาศัยมวลน้ำซักผ้า เป็นความสะอาดที่เชิญชวนให้ผมลงเล่นน้ำอย่างทนไม่ไหว ผมก็เลยลงน้ำเล่นเป็นการอาบน้ำประจำวัน ซึ่งนอกจากจะใช้อาบเป็นประจำแล้ว ผมก็ยังเป็นเด็กหนุ่มเริ่มจะติดผู้หญิง ลงน้ำแล้วก็ว่ายข้ามคลองไปฝั่งตรงข้าม แช่น้ำคุยกับเด็กสาวคนหนึ่ง เป็นลูกมหาเศรษฐีของบ้านช่างหล่อ กิจกรรมแช่น้ำ สนทนาแบบเด็กๆ ระหว่างเพศเป็นประสบการณ์ที่ผมลืมไม่ได้
ดอกฟ้าของผมคงสนใจที่ผมเป็นศิษย์สวนกุหลาบวิทยาลัยมากกว่า คุยกันไปแล้วก็คงคิดได้ว่า ผมเป็นเพียงหมาวัด ไม่ช้าก็เป็น หมาน้อยธรรมดา ของผู้ใหญ่ลีในปี สองพันห้าร้อยสี่ นั่นแหละ
ต่อมาบิดากับมารดาของผมย้ายสถานที่ราชการอีกครั้ง คราวนี้ย้ายจากนครปฐมเข้ามาอยู่กรุงเทพ ฯ โชคดีที่ซื้อบ้านอาศัยได้ติดกับสี่แยกพรานนก เป็นห้วงเวลาที่ผมจบการศึกษาระดับเตรียมอุดมที่สวนกุหลาบวิทยาลัย และเริ่มเป็นนักศึกษาคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.)
ผมกับน้ำเจ้าพระยาก็ขาดกันไม่ได้ เพราะผมต้องข้ามเรือหัวเกี๊ยะมาท่าพระจันทร์ทุกวัน ความคิดถึงแม่น้ำ ความสนุกสนานด้วยการเล่นน้ำ ก็ชักจะถูกสิ่งแวดล้อมบิดเบือน
แม้ท่าพระจันทร์ขณะนั้นเป็นคอมเพลกซ์ใหม่ในชีวิต ทุกอย่างมีอยู่ที่ท่าพระจันทร์ ยกเว้นตำราเรียนบัญชีที่พิมพ์จากเมืองนอก แต่ผมมีเพื่อนมากจนลืมน้ำไปได้ มาประจัญหน้าอีกครั้งก็ปี 2526 ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ผมมีลูกเมียแล้ว
กรุงเทพ ฯ ประสบปัญหาน้ำท่วมขังในปี 2526 ค่อนข้างยาวนาน ผมอยู่หมู่บ้านเสรี รามคำแหง มีคลองกะจะเป็นหลัก ต้องนั่งเรือหางยาวออกจากบ้าน แล่นข้ามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มาขึ้นรถเมล์โดยสารที่บริเวณกลางถนนรามคำแหง หน้าโรงพักหัวหมาก ปากซอยรามคำแหง 26 เพื่อไปลงที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไปทำงานที่สำนักพิมพ์เดลินิวส์ ริมถนนวิภาวดีรังสิต
ภาวะน้ำท่วมใหญ่ปีนั้น ผมมีพื้นที่ต้องกู้ประมาณ 200 กว่าตารางวา ต้องซื้อเครื่องสูบน้ำที่เรียกกันว่า พญานาค มาสูบน้ำออกจากบ้านพัก และต้องยกรถยนต์ในบ้านขึ้น ใช้ซีเมนท์บลอครองรับหลายชั้น
ผมออกจากบ้านวันใดก็เห็นแต่มวลน้ำเต็ม 360 องศา บ้านหลายหลังในหมู่บ้านเสรีรามคำแหงเวลานั้น ประกาศขายกันเอิกเกริก
หลังน้ำลดแล้ว มีการตัดถนนพระรามเก้าใหม่ ติดพื้นที่หมู่บ้าน บ้านที่ขายไปได้ระหว่างน้ำท่วมก็น่าจะเสียดาย เพราะราคาที่ดินหลังมีถนนพระรามเก้าตัดใหม่เรียบร้อยแล้ว มีราคาสูงขึ้นกว่าอัตราเดิมเป็นจำนวนมาก
น้ำขวด เข้ามาในชีวิตผม เมื่อผมริอ่านเที่ยวผู้หญิง เริ่มทำความรู้จักซ่อง ซื้อบริการจากผู้หญิง ซึ่งบริการทุกครั้งในแต่ละสถาบันมี น้ำขวด กับ กระโถน เป็นปัจจัยสำคัญประจำห้องกีฬาในร่มของผู้ชายอย่างผม
ปัจจุบัน ผมมีสระว่ายน้ำประจำหมู่บ้านจัดสรร แต่ก็ต้องซื้อเวลาเล่นน้ำเป็นรายชั่วโมง อารมณ์การเล่นน้ำสมัยเด็กหายไป เมื่อการเติบใหญ่ของผมเข้ามาแทนที่
มวลน้ำปีเถาะมาจากเหนือเป็นปริมาณมหาศาล และไม่ได้สร้างความสนุกสนานให้กับราษฎรไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดที่ประสบปัญหา หมู่บ้านจัดสรรของผมอยู่เขตบางเขน ถนนวัชรพล แขวงท่าแร้ง มวลน้ำใช้เวลาเดินทางกว่าจะมาถึงหน้าหมู่บ้านผมก็หลายสัปดาห์ แต่ก็ทำให้ครอบครัวของผมกลายเป็นผู้อพยพตามคำแนะนำของรัฐบาล
ผมอพยพออกจากกรุงเทพ ฯ ไปอาศัยบ้านพรรคพวกกันที่เขาใหญ่ อากาศเย็นสบายดี ชีวิตเป็นแรมสัปดาห์เวลานั้น เหมือนกับว่ามาฮอลิเดย์ในต่างจังหวัด สินค้าขาดแคลนเป็นปกติของประเทศที่เผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติ
นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกว่า มนุษย์ต้องอยู่กับน้ำ ตัดขาดจากกันไม่ได้เลย ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องเป็นห่วง หรือมีวิตกจริตจนเกินเหตุ เป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะต้องปรับตัวเราเองให้เข้ากับธรรมชาติให้ได้ ไม่ว่าเราจะเป็นลูกแม่น้ำหรือไม่ก็ตาม
สิ่งที่ผมวิตกและเป็นทุกข์เกี่ยวกับเรื่องน้ำก็มีเรื่องเดียว เป็นเรื่องส่วนตัวที่ผมได้ยินเมียสะอื้นในบางคืนก่อนจะปรารภกับผมเบาๆ ว่า... "น้ำคุณหายไปไหนหมด"...!?!
ABOUT THE AUTHOR
ข
ข้าวเปลือก
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ประสาใจ