ประสาใจ
คัมภีร์กามสูตร
ผมเป็นสมาชิกสูงวัย จะคิดอะไรสักเรื่องก็จะเป็นเรื่องในโบราณสมัยมากกว่า "ไอโฟน 4 เอส" และก็จะหาเรื่องวนเวียนอยู่กับเรื่องของเซกซ์ เพราะเชื่อว่าเซกซ์เป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่งที่สมาชิกสูงวัยอย่างผม ยินดีเสพเป็นประจำ
เซกซ์ของมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกตั้งแต่โบราณสมัย ซึ่ง อดัม และ อีวา ในสวนของพระเจ้า จะมีเซกซ์กันอย่างไร ไม่ปรากฏหลักฐานทางวรรณคดี ไม่เหมือนกับวรรณคดีทางโลกตะวันออก เริ่มรจนาคัมภีร์เกี่ยวกับเซกซ์กันตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
วรรณคดีที่ดังที่สุด ได้รับการยอมรับแปลเป็นภาษาต่างประเทศเป็นการรจนาโดย กูรูอินตะระเดียชื่อ "วาตสยายน" (วาต-สะยา-ยะ-นะ) ชื่อ "กามสูตร"
ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้สนใจเซกซ์ มักจะเคยเห็น รูปปั้นชายหญิงมากมาย หลายท่าทาง ที่เรียกกันว่าเป็น "กามาสถาปัตย์" นั่นไม่ใช่จินตนาการของสถาปนิกรุ่นไหนๆ แต่เป็นผลพวงจากคัมภีร์อมตะของ วาตสยายน คนนี้คนเดียว
ข้อสังเกตที่น่าสนใจ วรรณคดีทางเรื่องราวของเซกซ์มนุษย์ ปรากฏทางกลุ่มประเทศด้านตะวันออกมากกว่าตะวันตก นี่ก็ยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า กลุ่มประเทศตะวันออกก้าวหน้ากว่าโลกตะวันตก หรือจะเป็นเพราะตะวันตกมัวแต่สร้างตุ๊กตายาง แต่ตะวันออกเล่น "ชายจริง-หญิงแท้" ก็แล้วแต่จะบริหารความคิดกันเองครับ ผู้เขียนไม่เกี่ยว
คัมภีร์กามสูตรของอินเดีย ไม่ใช่เล่มแรกของโลก เพราะเล่มแรกของโลกน่าจะเป็นของเมืองจีนที่เกิดมากว่า 3,000 ปี ขณะที่ของอินเดียเกิดมาประมาณ 1,300 กว่าปี อายุแก่กว่ากันเยอะเลย
กามศาสตร์ของเมืองจีนพุ่งชนสุขภาพของมนุษย์เป็นหลัก ยาจีนแต่ละขนาน มักได้รับความไว้วางใจจากผู้ต้องการสุขภาพพลานามัยมากกว่าประเทศอื่น
ศาสตร์เกี่ยวกับเซกซ์ที่เมืองจีนคิดค้น เล่ากันว่าเป็นเพราะประสบการณ์ของจักรพรรดิเหลืองกับสนมเอก มีรายละเอียดอยู่ในหนังสือ "เต๋าแห่งความรักและกามารมณ์" หรือ "บัณฑิตหลังเที่ยงคืน" เล่มใดเล่มหนึ่ง
มนุษย์ยอมรับว่า บริบทแห่งกามารมณ์จากกำแพงเมืองจีน เป็นตำราเล่มแรกของโลก ทรงคุณค่าทั้งการอ่านและการปฏิบัติ
ผมยังไม่ได้อ่านวรรณคดีเมืองจีน เลยไม่รู้ว่า การค้นคว้าและการวิจัยของจักรพรรดิเหลืองกับสนมเอก มียุทธการอย่างไร เกี่ยวกับสุขภาพได้ในท่าไหนบ้าง
"กามสูตร" ของอินเดียที่ เซอร์ริชาร์ด ฟรานซิส เบอร์ทัน แปลเป็นภาษาอังกฤษไว้ตั้งแต่ปี 1883 หนักไปทางผลงานของนักวิชาการ ว่าด้วยเพศศึกษา หรือจะเรียกเข้าใจง่ายๆ ว่า พฤติกรรมทางเพศของมวลมนุษย์ก็ได้
ผู้รจนาคัมภีร์นี้ ไม่ทราบว่า ศึกษา ค้นคว้า วิจัย มาจากประสบการณ์ตนเอง หรือ "ครูพักลักจำ" มาจากที่ใด แต่วางมาดในคัมภีร์มุ่งไปทางการครองเรือน การครองคู่ และการเลือกคู่ เป็นหลักสำคัญของคัมภีร์
แต่โลกสมัยโบราณ ก็คงไม่มีแต่ ตรรกศิลาวิทยาลัยอย่างเดียว วิถีชีวิตคงไม่พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บไปได้ เพราะฉะนั้น "กามสูตร" จึงเลี่ยงบริบทว่าด้วยแพทยศาสตร์ไปไม่ได้ โศลกแต่ละบทในจำนวนทั้งหมด 1,250 โศลกแยกแยะออกไปหลายด้านของสังคมมนุษย์
"วาตสยายน" รจนาคัมภีร์ มีทั้งภาคแห่งความรัก แยกประเภทของผู้หญิง มีทั้งบทพรรณาว่าด้วยการจุมพิต การเล้าโลม และแมทช์ในเกม
36 บทของคัมภีร์ ยังพูดถึง การเลือกหาเมีย การเกี้ยวพาราสี การแต่งงาน ข้อควรประพฤติของผู้ที่เป็นเมีย การแอบนอกใจไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน ตามหลักแห่งศีลธรรม บทที่ว่าด้วยเรื่องราวแห่งหญิงโสเภณี หรือนางคณิกา และบทที่ว่าด้วย การสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง
ภาคที่เกี่ยวกับการจุมพิต การอุ่นเครื่อง และการลงมือ ประกอบด้วยบทต่างๆ มากที่สุด คือ 10 บท รองลงมา 6 บท มี 2 เรื่อง คือ เรื่องการปีนต้นงิ้ว และเรื่องหญิงคณิกา รองลงไป 5 บท ก็มี 2 เรื่อง คือ เรื่องความรัก และเรื่องการเลือกหาผู้หญิงเป็นศรีภรรยา
ที่เหลืออีก 4 บทนั้น 2 บทเป็นเรื่องการประพฤติตนอย่างเหมาะสมของผู้เป็นภรรยา และอีก 2 บทเป็นเรื่อง วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับตัวเอง
เซียนที่รจนาคัมภีร์ อ้างว่า การร่วมเพศไม่ใช่สิ่งผิดปกติของมนุษยชาติ แต่การกระทำที่ผิดศีลธรรมต่างหากเป็นบาปกรรม
อ้างเรียบร้อยแล้ว จึงรจนาท่าร่วมรักไว้ในคัมภีร์มากมายถึง 64 ท่า ซึ่งอาจารย์วาตสยายน บอกว่า เป็นการแสดงความรักในท่าของการร่วมรักที่จะให้ความสุขสูงสุดแก่กันและกัน เป็นท่าซึ่งขับเคลื่อนอารมณ์ความรู้สึกทางเพศ การตอบสนองทางเพศของชายและหญิงที่ได้ผล เป็นทั้งศาสตร์และศิลปะแห่งการครองเรือน การครองรักที่ยั่งยืน
อารมณ์จึงเป็นพระเอกของเรื่อง การเดินทางถึงซึ่งอารมณ์แห่งความสุขเป็นการเดินทางเพื่อบรรลุถึงสายใยแห่งความผูกพัน ลึกซึ้งเกินคำพูดใดๆ เมื่อความสุขบังเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำว่า "รัก"
นั่น...ว่ากันถึงขนาดนั้น...อันนี้จะตำหนิศาสตร์ของมหาภารตะวาตสยายน ก็ไม่บังควร เพราะท่านเห็นของท่านว่า ศิลปะแห่งการร่วมรัก 64 ท่านั้น คือ บริบทของ "ธรรมะ"
อ้างว่าเป็นหลักธรรมที่จะมีผลทำให้ การครองเรือนเป็นไปอย่างราบรื่น มีความสุข ตามความเข้าใจขั้นพื้นฐานที่ว่า การเรียนรู้ซึ่งกันและกันอะไรก็สู้ไม่ได้
แถมยังบอกว่า เป็นบันไดแห่งการเข้าใจของกันและกัน และเมื่อชายกับหญิงเข้าใจกันและกันแล้ว หรือมี "ธรรมะ" แห่งการครองคู่แล้ว การขึ้นบันไดไปหา การก่อร่างสร้างครอบครัว การทำงานหาเลี้ยงชีพ การแบ่งหน้าที่การงานในเรือน การออมทรัพย์ และการดูแลบุตรหลานก็เป็นเรื่องไม่ยาก
บริบทการร่วมรักของอินตะระเดีย แจกแจงมากับคำว่า "TATRA SEX" เซกซ์แบบตันตระที่ วาตสยายน แจ้งสาวกทั้งหลายให้รู้ว่า มันคือ ศาสตร์และศิลป์ของการร่วมความรัก สอนให้ชายกับหญิงประสานสอดคล้อง หลอมร่างกายเป็นร่างเดียวกัน ซึมซาบลึก ดื่มด่ำไปกับการถ่ายทอดพลังแห่งความรัก ผ่านการประสานร่างกายเข้าหากันอย่างแนบแน่น
มหาภารตะ วาตสยายน ยังสอนด้วยว่า จุดซ่อนเร้นของหญิงเหมือนวิหารแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่จะเดินทางเข้าไป จะต้องให้ความเคารพต่อสถานที่
ความเคารพที่ว่าของท่านก็คือ ต้องเปิดประตูหัวใจของหญิง เปิดด้วยความเต็มใจ สมัครใจ และยินดี พร้อมการตอบสนองอย่างหมดหัวใจ
พูดถึงคณาจารย์ในอดีต ที่สั่งสอนเรื่องเซกซ์นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือก่อนญี่ปุ่นจะยกทัพผ่านประเทศไทยไปพม่า อินเดียนั้น ผมคุ้นเคยกับอาจารย์ใหญ่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ชาวออสเตรีย มากกว่าคนอื่น
ออสเตรียมีเมืองเวียนนาที่คนทั้งโลกคุ้นเคยความเป็นเมืองแห่งดนตรีเอก บทเพลงอมตะเกิดขึ้นที่นี่มากกว่าที่อื่น ผมก็เลยคล้อยตามการอบรมสั่งสอนของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เพราะคิดว่า ลีลาคงพลิ้วตามบทเพลงซิมโฟนี ยังไง-ยังงั้น
ฟรอยด์ เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ปี 1856 เสียชีวิตที่กรุงลอนดอน เมืองผู้ดี เมื่อ 23 กันยายน ปี 1939 อายุ 83 ปี เขาเป็นคนที่กล่าวว่า
"ผมมีความรักอันยั่งยืนกับแม่ และผมอิจฉาพ่อมากที่สุด"
และเชื่อว่า ความรู้สึกนี้เป็นสากลของโลก เชื่อว่าทุกคนทุกเผ่าพันธุ์ก็คงต้องรู้สึกเหมือนที่เขารู้สึก เป็นเบื้องต้นที่เขาร่ายทฤษฎีความรักออกมาอย่างตื่นเต้น เพราะกล้าหาญชาญศักดาว่าด้วย กระบวนการแสดงความรักของชายและหญิง อย่างละเอียดและเปิดเผยยิ่งกว่า ขวานผ่าซาก ทั้งธรรมดาและไม่ธรรมดา
ORAL STAGE และ ANALl STAGE คือ ทฤษฎีเริ่มแรก ตามด้วย PHALLIC STAGE, LATENCY STAGE และ GENITAL l STAGE เป็นเพศศาสตร์จากศาสตราจารย์ ฟรอยด์ ของผม
ยิ่งกว่านี้ ท่านฟรอยด์ ยังไม่เกรงใจหนวดเคราของท่าน ยังระบุว่า การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นการกระทำของความโง่เขลา แต่ไม่เป็นอันตราย ฟรอยด์ ประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เพราะเห็นว่าเป็นพฤติกรรมนำไปสู่โรคประสาทที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางอารมณ์
ฟรอยด์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ศพของเขาฝังไว้ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ปรมาจารย์ทั้งหลายก็ดูจะเยอะขึ้น จนในที่สุดสถาบันหลายแห่งก็ให้ความสนใจในเรื่องกามสูตร ต้องการให้ผู้คนเรียนรู้ว่าด้วยเพศศาสตร์ มีข้อโต้แย้งกันในหลายสถาบันว่า สมควรหรือไม่ที่จะมีการเรียนการสอนว่าด้วยเรื่องเซกซ์
โลกในปัจจุบันเท่าที่ผมค้นพบ มีมหาวิทยาลัยเดียวในโลกที่มีคณะเพศศาสตร์ และมีการมอบปริญญาบัตรให้เมื่อศึกษาตามหลักสูตรและผ่านการสอบประจำปี (ไม่ทราบว่ามีภาคทดลองงานด้วยหรือไม่) อยู่ที่เมืองมอนทรีออล ของแคนาดา ชื่อ UNIVERSITE DU QUEBEC A MONTREAL
อยากรู้เหมือนกันนะเนี่ย...มีนักศึกษาชาวไทยคนไหนไปเล่าเรียนศึกษา ได้รับปริญญาติดตัวกันบ้าง แล้วก็ไปใช้คุณวุฒินี้กับตำแหน่งใด ในหน้าที่การงานใดของโลกวันนี้...!?!
ABOUT THE AUTHOR
ข
ข้าวเปลือก
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : ประสาใจ