แปดสิบพรรษามหามงคล: ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท วโรกาสเฉลิมพระชนม์ดลดิถี แห่งสมเด็จพระบรมราชินี รัตนนารีศรีชาติไทย นับแต่ทรงราชาภิเษกสมรส พระองค์คือเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ เคียงคู่พระนวมินทร์ถิ่นใกล้ไกล ทั้งนอกในทั่วประเทศเขตโลกา พระเสริมส่งโครงการราชดำริ ทุกมิตินิรมิตกิติก้องหล้า ปลุกนิเวศทุกเขตขัณฑ์อรัญวา น้ำรักป่า-ป่ารักน้ำ เลิศล้ำคุณ พระพลิกฟื้นภูมิปัญญาบรรพไทย เชิดชูไว้เป็นสมบัติชาตินำหนุน พระเมตตาปรานีที่การุญ เป็นต้นทุนเลี้ยงชีวาประชาไทย หกสิบสองปีทองครองคู่ราช ธเป็นปราชญ์จริยวัตรนิรัติศัย จึ่งองค์กรนานาชาติประกาศไกร ถวายชัยเหรียญ เซเรส เป็นสัญญา ทรงตั้งคลังปัญญาธนาคารสมอง คลังอาหารเสนอสนองผองโลกหล้า เพื่อครัวไทย ไปกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงโลกา ผองนรานิรทุกข์ทุพภิกขภัย แม้พันธุ์ไม้ทรงคุณค่าเริ่มหายาก ทรงบั่นบากพิทักษ์พันธุ์กันให้ได้ โดยเฉพาะราชินีศรีแห่งไพร กล้วยไม้ไทย นานาพันธุ์พลันคืนคง ภูมิปัญญาศิลปศาสตร์ปราชญ์ชาวบ้าน ให้ค้นคว้ามาสืบสานจนสูงส่ง หลากงานศิลป์ท้องถิ่นไทยให้ยืนยง เป็นอาชีพเด่นดำรงคงคู่ไทย ฯลฯ ลุแปดสิบมงคลพระชนมพรรษา ไทยทั่วหล้าน้อมมนัสนิรัติศัย พระสยามเทวราชรัตนตรัย ถวายชัยเกษมสันต์กตัญชลี ขอพระองค์ธำรงรัฐเป็นฉัตรแก้ว ประภัสแพร้วนิรทุกข์เปี่ยมสุขศรี เคียงคู่พระภูบดินทร์ปิ่นจักรี ทุกทิวาราตรีนิรันดร์เทอญ ฯ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมเดือนนี้เป็นเดือนสิงหาคม เรื่องที่เราคุยได้ไม่รู้เบื่อ คือ เรื่องเกี่ยวกับแม่ เพราะความจริงแล้ว แม่มีบุญคุณแก่มนุษย์ทุกรูปทุกนาม สำหรับประเทศไทยนั้น ปีนี้เป็นปีที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา ขณะเดียวกันเป็นปีที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร ทรงเจริญพระชนม์ 60 พรรษา จึงนับเป็นปีมหามงคล ควรแก่การรำลึกพระมหากรุณาธิคุณเป็นอเนกประการ ตั้งแต่เติบโตมารู้เดียงสา ได้ยินได้ฟังเพลงที่รำพันถึงบุญคุณของแม่มามากมายหลายเพลง แทบทุกเพลงก็ให้ความซึ้งใจมากบ้างน้อยบ้าง แต่ไม่เคยมีเพลงใดเรียกน้ำตาด้วยความรำลึกถึงคุณูปการอันมหาศาลของแม่ได้เท่าเพลงนี้ เพลงที่ผู้ประพันธ์และนักร้องเก่าผู้ล่วงลับ แต่ทั้งสองท่านได้ถอดวิญญาณไว้ในเพลงที่ชื่อ ค่าน้ำนม ซึ่งครูเพลงผู้อาภัพนาม ไพบูลย์ บุตรขัน ร้อยกรองออกมาจากส่วนลึกของสามัญสำนึก แล้วให้ครูชาญ เย็นแข ครวญเสียงสะอื้นจากอกออกมา เป็นลำนำอมตะ เรียกเสียงสะอื้นจากผู้ฟังทุกครั้งที่ได้ยิน... แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง แม่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเหไปจนไกล แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดแต่รักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม ควรคิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม โอ้ว่าแม่จ๋าลูกคิดถึงค่าน้ำนม เลือดในอกผสมกลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน ค่าน้ำนมครวญชวนให้ลูกหวัง แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้า หนักกว่าแผ่นดิน บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น .หยดหนึ่งน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย ได้ฟังครั้งใด ต่อให้อายุเท่าไหน ยังอดน้ำตาซึมและรื้นสะอื้นตื้นตันอกมิได้ ครั้นถึงยุคต่อมา เพลงไทยสากลเฟื่อง ก็มีเพลงที่ชวนสำนึกพระคุณแม่ แต่ค่อนค้างสนุกสนานน่ารัก พร้อมเพรียกเรียกยิ้มด้วยความวาบหวามในอารมณ์ หากเป็นการยิ้มทั้งน้ำตา คงไม่พ้นเพลง ใครหนอ ที่ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน (ทั้งเนื้อร้องและทำนอง) จากฝีมือการประพันธ์ของครูสุรพล โทณะวณิก ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้ประพันธ์เพลงไทยสากล) ปี 2540 อัจฉริยบุคคลผู้หัดอ่านและเรียนหนังสือจากชีวิตอันยากแค้นแสนเข็ญ โดยไม่มีโอกาสเรียนในโรงเรียนเลย จากเพลงอมตะด้วยเสียงอันสดใสไม่เปลี่ยนตามวัยของศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ขับร้องเพลงไทยสากล) ปี 2532 สวลี ผกาพันธุ์ ในวรรคทองหลายวรรคที่ทั้งเด็กผู้ใหญ่พอใจร้อง... ใครหนอ รักเราเท่าชีวี ใครหนอ ปรานีไม่มีเสื่อมคลาย ใครหนอ รักเราใช่เพียงรูปกาย รักเขาไม่หน่าย. มิคิดทำลาย ใครหนา ใครหนอ รักเราเท่าทรวงใน ใครหนอ เอาใจต่อเราเรื่อยมา ใครหนอ รักเราดังดวงแก้วตา รักเขากว้างกว่าพื้นพสุธา นภากาศ จะเอาโลกมาทำปากกา แล้วเอานภามาแทนกระดาษ เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณไม่พอ ใครหนอ รักเราเท่าชีวัน ใครหนอ ใครกันให้เราขี่คอ (คุณพ่อคุณแม่) ใครหนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ เป็นการใช้คำง่ายๆ แต่เป็นคำที่คัดกรองอย่างลึกซึ้งและดูยิ่งใหญ่ไพศาลในจินตนากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวรรคที่ 3 ใครที่ยังมีพ่อแม่อยู่เคียงข้างนับว่ามีบุญยิ่งใหญ่ โปรดรีบปฏิบัติท่านให้ชื่นใจ ด้วยความสำนึกในพระคุณด้วยความกตัญญู ในขณะที่ยังมีโอกาสได้กราบแทบตักท่าน ไม่ใช่รอตักบาตรส่งส่วนบุญในตอนสายเสียแล้ว แต่สำหรับเด็กกำพร้าคนหนึ่งซึ่งพ่อจากไปเมื่อเขา 7 ขวบและแม่จากไปเมื่อเขาอายุ 16 ปี นั้น ได้แต่มีความรู้สึกอย่างนี้ทุกที ฉันฝันว่าเดินทางไกลกลับไปบ้าน ที่จากนานไปห้าสิบปีกว่า เห็นดอกจานแดงสล้างบานกลางนา ยินเสียงโหวดแว่วฟ้ามาแต่ไกล พอเดินผ่านร่มประดู่หน้าหมู่บ้าน แว่วกังวานเพลงหวานอันแจ่มใส สำเนียงคล้ายใครคนหนึ่งเคยซึ้งใจ ฝังลึกในความฝันอันนานปี ลีลาเศร้าเร้าให้หัวใจหาย เหมือนฝันร้ายทลายหวังลงริบหรี่ เหมือนชีวิตปลิดวิญญาณอันเคยมี ดั่งชีวีที่พลัดพรากจากวิญญาณ ฉันใจหายรีบวิ่งผ่านเยี่ยงวันเยาว์ แล้วเหมือนลอยตัวเบาเข้าในบ้าน ไม่เห็นใครสักคนบนนอกชาน หรือเสียงหวานเคยทักว่า ลูกมาแล้ว ? เหมือนบ้านร้างไร้ผู้อยู่อาศัย กระทั่งไก่ก็ไม่ขันลั่นเจื้อยแจ้ว ไร้สำเนียงเพียงสัญญาทั้งหมาแมว ยินแต่ลมพรมแผ่วแว่วบางเบา ฉันร้องเรียกเพรียกหาใครไม่ขานรับ โสตสดับแว่วสำเนียงเสียงเพลงเศร้า โอ้ความหลังฝังใจคล้ายดั่งเงา ฝันคราใดได้ภาพเก่าบ้านเศร้าโทรม ความจริงในภาพสดใสไม่แปรเปลี่ยน ดั่งแสงเทียนเผาไหม้ไร้เปลวโหม ขาดเพียงคนในภาพฝันไม่บรรโลม หากน้อมโน้มโทมนัสกัดกร่อนใจ ทั้งพ่อแม่พี่จากไปในโลกอื่น เคยฝันตื่นน้ำตาแต้มแก้มหมองไหม้ หลายสิบปีที่ท่านพรากจากฉันไป ฝันครั้งใดไม่พบเห็นใครเช่นเคย... หรือมิฉะนั้น ก็มักจะเป็นดั่งนี้ ร่างบางเบาเพียงจะลิ่วปลิวลมหอบ แขนลีบตอบมือซีดเซียวนิ้วเรียวผอม มีเพียงตาแววประกายไม่เคยยอม กับเสียงนุ่มที่โน้มน้อมกล่อมกรุ่นใจ เธอยืนอยู่สู้โลกเพื่อความรัก พร้อมเพื่อกวักความฝันวันสดใส วันอับโชคโลกนี้ไม่มีใคร เธอร่วมเรียงเคียงไหล่เทียบชายชาญ เธอยอมทิ้งชีวิตเมืองอันเฟื่องฟุ้ง จากน้ำปรุงอบร่ำว่อนคำหวาน ยอมสละกล้าประจัญความกันดาร กับชายกร้านบ้านทุ่งลูกชาวนา จากตระกูลพูนฤทธิ์อิทธิศักดิ์ มาทำไร่ปลูกผักรักชาวป่า นอนกลางดินกินกลางทรายไร้มายา ด้วยความกล้าจะแผ้วถางทางนิมิต แม้เมื่อวันชายผู้กล้าชีวาพราก เธอก็พร้อมยอมลำบากตระหนักจิต กับลูกน้อยกำพร้าห้าชีวิต เธอพิชิตชีวิตได้ไม่ท้อแท้" ห้าสิบเก้าปี" ที่พรากจากไปลับ ยินเพลงขับลำนำ ค่าน้ำนมแม่ ชูชีวิตลูกมิให้ยอมพ่ายแพ้ เพียงนึกแค่ ภาพพริ้ง หญิงคนนั้น (แด่..ผู้หญิงคนนั้น โดย ราตรี ประดับดาว).
บทความแนะนำ