มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า THE NORTH AMERICAN INTERNATIONAL AUTO SHOW หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า NAIAS เป็นหนึ่งในบรรดางานแสดงรถยนต์อันยิ่งใหญ่รวม 5 รายการ ที่ ORGANISATION INTERNATIONALE DES CONSTRUCTEURS D'AUTOMOBILES หรือ องค์การระหว่างชาติของผู้ผลิตรถยนต์ ระบุไว้ในปฏิทินงานมหกรรมรถยนต์ประจำปีว่าเป็น MOST IMPORTANT INTERNATIONAL MOTOR SHOWS ที่น่าจะแปลตรงตัวเป็นภาษาไทยได้ว่า "งานแสดงรถยนต์ระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุด" อีก 4 งานที่เหลือ คือ มหกรรมยานยนต์เจนีวาในเมืองนาฬิกา มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทในเมืองเบียร์ มหกรรมยานยนต์ปารีสในเมืองน้ำหอม และมหกรรมยานยนต์โตเกียวในเมืองปลาดิบ
มหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ในเมืองมะกัน เป็นงานแสดงรถยนต์ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1907 และจัดต่อเนื่องกันมาเป็นประจำทุกๆ ปีไม่เคยขาด ยกเว้นช่วงปี 1943-1952 ซึ่งคงไม่มีใครมีกะจิตกะใจอยากดูรถแบบใหม่ๆ เพราะเป็นภาวะสงคราม ช่วงเวลาการจัดงานที่กระทำกันในยุคปัจจุบันและยาวนาน 2 สัปดาห์เต็ม เป็นเวลาที่ผู้คนเพิ่งฟื้นตัวจากการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ คือ เปิดงานตอนกลางเดือนมกราคม และปิดงานปลายเดือนเดียวกัน
ทีมงานของ "ฟอร์มูลา" เดินทางไปเยือนมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2007 เป็นวาระที่งานแสดงรถยนต์รายการนี้มีอายุยืนยาวครบรอบ 100 ปีพอดิบพอดี โปรดอย่าถามว่าเดินทางไปยังไง ? อยู่กันคนละด้านของลูกโลกใบโตอย่างนี้ มีทางเลือกอย่างอื่นอีกหรือ หากไม่เดินทางโดยบินไปกับนกเหล็ก ? แล้วก็โปรดอย่าถามด้วยว่าเลือกใช้นกเหล็กของสายการบินไหน ? เพราะเป็นนโยบายของนายใหญ่ "สื่อสากล" อยู่แล้วว่า หากไม่มีเหตุขัดข้องหมองใจประการใดพึงเลือกใช้บริการของสายการบินไทย แม้ว่าต้องจ่ายค่าโดยสารแพงกว่านั่งสายการบินอื่นๆ
เคยบอกไปครั้งหนึ่งแล้วตอนรายงานข่าวมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ปีงูใหญ่ ว่าเมื่อ 5-6 ปีก่อนการเดินทางไปเยือนเมกาของอุตสาหกรรมรถยนต์เมืองลุงแซมด้วยบริการของสายการบินแห่งชาติมีทางเลือกที่สมควรเลือกอยู่ 2 ทาง ทางเลือกแรก คือ ขี่นกเหล็กติดโลโก "เจ้าจำปี" ไปลงที่สนามบิน JFK ของมหานครนิวยอร์ค แล้วเดินทางอีกทอดหนึ่งด้วยเที่ยวบินภายในประเทศไปยังจุดหมายปลายทางซึ่งอยู่ในรัฐมิชิแกน ทางเลือกที่ 2 คือ บินจากกรุงเทพเมืองฟ้าอมรของไทยไปลงที่นครลอสแองเจลิสเมืองฟ้าอมรของอเมริกัน แล้วบินอีกทอดหนึ่งไปยังจุดหมายปลายทางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศเหมือนทางเลือกแรก ข้อเสีย คือ ทางเลือกหลังนี้จะใช้เวลามากกว่าทางเลือกแรกประมาณ 3-4 ชั่วโมง
เป็นอย่างที่ว่าอยู่ไม่กี่ปี ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ หรือด้วยสาเหตุใดไม่แจ้ง จู่ๆ สายการบินอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา ก็ประกาศยกเลิกเที่ยวบินไปนิวยอร์คเอาดื้อๆ เป็นอันว่าหมดทางเลือกที่เคยมีให้เลือก 2 ทาง ปีหลังๆ นี่เมื่อเดินทางไปดีทรอยท์ จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดที่จะดีไปกว่า บินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสนามบิน LAX ของนครลอสแองเจลิส แล้วต่อด้วยเครื่องของสายการบิน DELTA ไปยังดีทรอยท์ ซึ่งรวมแล้วต้องใช้เวลา 1 วันเต็มไม่มีขาดไม่มีเกิน
หนักเข้าไปอีก คือ ปีนี้และอาจจะรวมทั้งปีหน้าปีถัดจากปีหน้าและปีโน้นโน้นโน้นโน้น เพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกแล้วกับเที่ยวบินของสายการบิน "เจ้าจำปี" ที่เดินทางไปสหรัฐอเมริกา เที่ยวบินจากสุวรรณภูมิไปยังลอสแองเจลิส เปลี่ยนสภาพจาก "เที่ยวบินตรง" คือ บินรวดเดียวไม่แวะเติมน้ำมันที่ไหน เป็นต้องแวะจุดหนึ่งที่สนามบินอินชอนของเกาหลีใต้ ก็ไม่เป็นไร แวะก็แวะวะ ! ศักดิ์ทนได้ แม้ว่าต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย ที่ต้องบ่นเพราะไม่คิดว่าน่าจะต้องทน ก็คือสิ่งที่ต้องประสบพบพานเมื่อเที่ยวบิน TG692 แวะจอดที่สนามบินอินชอนของกรุงโซล
ที่ต้องลงจากเครื่องบิน แล้วไปนั่งพักในอาคารสนามบินอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ การที่ต้องขนสัมภาระทั้งหมดที่หิ้วขึ้นเครื่องบินอย่างที่เรียกกันว่า CARRYING BAGGAGE ติดตัวลงไปด้วย ก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้แม้ว่าเข้าใจยากหน่อย แต่ที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดเพราะหาเหตุผลอธิบายให้เข้าใจไม่ได้เลย ก็คือ การที่ต้องตรวจค้นร่างกายและข้าวของทุกชิ้นอย่างละเอียดลออ ทั้งขาลงจากเครื่องบิน และตอนเดินกลับขึ้นเครื่องบินอีกครั้งหนึ่ง
เป็นเรื่องเดียวจริงๆ ที่ขอบ่นในการเดินทางไปเยือนมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์เป็นครั้งที่ 7 ด้วยนกเหล็กของสายการบิน "เจ้าจำปี" ที่เหลือมีแต่คำชม ไม่ว่าจะเป็นบริการที่ทำได้ดีอย่างไร้ที่ติของพนักงานประจำเครื่องบินทั้งหญิงและชาย ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงเก้าอี้ที่นั่งของผู้โดยสารชั้นธุรกิจที่ทำได้เยี่ยมมาก นั่งสบายและปรับเอนราบได้เหมือนเตียงนอนนั่นเลย
การเยือนมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งนี้ ทีมงานของเราพ่วงงาน CES หรือ CONSUMER ELECTRONIC SHOW ไว้ด้วย ผู้ที่อยู่ในวงการเครื่องเสียงรถยนต์และสินค้าอีเลคทรอนิคย่อมทราบกันดี ว่านี่คืองานใหญ่ระดับ "อินเตอร์" ที่จัดกันเป็นประจำในเดือนมกราคมของทุกๆ ปี ที่เมืองลาสเวกัสในรัฐเนวาดา เมืองที่นักเสี่ยงโชคทั่วทุกมุมโลกน่าจะได้ยินชื่อกันอยู่บ่อยๆ ปีนี้มีผลงานและสินค้าอะไรที่น่าสนใจบ้าง อยากรู้ก็สามารถติดตามอ่านได้ในนิตยสารร่วมเครือของเรา คือ "คาร์ สเตริโอ"
แต่ถ้าอยากรู้ว่ามีรถอะไรบ้างที่น่าสนใจ ? ในงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งล่าสุด ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันจันทร์ที่ 14 จนถึงวันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2013 ณ ศูนย์นิทรรศการติดป้ายชื่อ โคโบ เซนเตอร์ (COBO CENTER) ของเมืองดีทรอยท์ ก็ไม่ต้องไปหาที่ไหนให้เมื่อย เพราะเราจัดเต็มไว้ให้แล้วใน 18 หน้าถัดจากนี้
เชฟโรเลต์ คอร์เวทท์ สติงเรย์
ในรอบปีงูใหญ่ ค่าย จีเอม ซึ่งปัจจุบันผลิตรถขายในเมืองแม่เพียง 4 ยี่ห้อ คือ บิวอิค (BUICK) แคดิลแลค (CADILLAC) เชฟโรเลต์ (CHEVROLET) และ จีเอมซี (GMC) อาการกระเตื้องขึ้นนิดหน่อยเพราะสามารถขายรถในเมืองมะกันได้มากกว่าปีกระต่ายร้อยละ 3.7 คือ เพิ่มจาก 2,503,820 เป็น 2,595,717 คัน แต่ที่งานนี้ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกันดูเหงาๆ พิกล เพราะมีผลงานใหม่ให้เห็นเพียงไม่กี่คัน และก็แน่นอนว่าคันที่เรียกความใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานได้มากที่สุดจะเป็นคันไหนไปไม่ได้หากไม่ใช่ เชฟโรเลต์ คอร์เวทท์ สติงเรย์ (CHEVROLET CORVETTE STINGRAY) ซึ่งอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถรุ่นที่ 7 และเป็นรุ่นแรกนับแต่ปี 1976 ที่นำชื่อรอง STINGRAY ซึ่งแปลว่าปลากระเบนกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง ตัวถังยาวและกว้างกว่ารถรุ่นเดิมนิดหน่อย แต่น้ำหนักตัวกลับเบาลงถึง 45 กก. เพราะโครงสร้างตัวถังทำจากอลูมิเนียมล้วน และชิ้นส่วนตัวถังอีกหลายชิ้น เช่น ฝากระโปรง และแผงหลังคาที่ถอดออกได้ ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์
เชฟโรเลต์ อิมพาลา
รถใหม่อีกแบบหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกันนำออกอวดตัวในงานนี้ คือ เชฟโรเลต์ อิมพาลา (CHEVROLET IMPALA) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 10 มีกำหนดออกโชว์รูมตอนกลางปีในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2014 โดยมีรถให้เลือก 3 โมเดล คือ IMPALA LS-IMPALA LT-IMPALA LTZ เป็นรถเก๋งซีดานขนาดใหญ่อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า FULL-SIZE CAR และเป็นรถเก๋งขนาดใหญ่ที่สุดในสายการผลิตของค่ายนี้ ตัวถังยาว 5.113 ม. กว้าง 1.854 ม. และสูง 1.496 ม. มีหน้าตาและรูปทรงองค์เอวที่ดูธรรมด๊าธรรมดาไม่มีจุดเด่นจุดขายอะไร เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าที่จะมีระบบขับให้เลือก 2 แบบ คือ ขับด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซินฉีดตรง 195 หรือ 305 แรงม้า และขับแบบไฮบริดซึ่งให้กำลังสูงสุด 182 แรงม้า
จีเอมซี สิเอร์รา
จุดดึงดูดสายตาเพียงจุดเดียวในบูธของค่ายจีเอมซีคือรถ จีเอมซี สิเอร์รา (GMC SIERRA) รุ่นใหม่ ซึ่งกำลังจะออกสู่โชว์รูมในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2014 เป็นรถพิคอัพขนาดใหญ่อย่างที่เรียกขานกันในเมืองโอบามาว่า FULL-SIZE TRUCK และเป็นรถที่ค่ายนี้ประกาศยืนยันว่า ทรงพลังที่สุด ก้าวล้ำนำสมัยที่สุด และออกแบบอย่างประณีตพิถีพิถันที่สุด ในประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 110 ปีของรถยี่ห้อนี้ มีทั้งแบบขับล้อหลังและขับทุกล้อ และมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 3 ขนาด คือ เครื่องเบนซินฉีดตรง วี 6 สูบ 4,301 ซีซี เครื่องเบนซินฉีดตรง วี 8 สูบ 5,328 ซีซี และเครื่องเบนซินฉีดตรง วี 8 สูบ 6,162 ซีซี ส่วนระบบเกียร์มีแบบเดียว คือ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เป็นรถที่มีการผลิตทั้งในสหรัฐอเมริกาที่รัฐอินเดียนา และในเมกซิโก
แคดิลแลค อีแอลอาร์
ปรากฏตัวในฐานะรถแนวคิดมาแล้วหลายครั้ง ที่งานนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้คนได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงของ แคดิลแลค อีแอลอาร์ (CADILLAC ELR) ในรูปลักษณ์ของรถตลาดสมบูรณ์แบบ เป็นรถคูเปขนาดเล็กกะทัดรัดในตัวถังยาว 4.724 ม. กว้าง 1.847 ม. และสูง 1.420 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.30 มีจุดขายสำคัญ คือ ระบบขับล้อหน้าด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ชุดเดียวกับที่เคยเห็นกันมาแล้วในรถไฟฟ้าร่วมเครือ คือ เชฟโรเลต์ โวลท์ (CHEVROLET VOLT) และ โอเพล อัมเพรา (OPEL AMPERA) แต่ปรับปรุงประสิทธิภาพของแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนที่ใช้ให้สูงขึ้น ทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลเท่าเดิม คือ ประมาณ 56 กม. แม้ว่ามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 80 กก. จะเริ่มการผลิตที่โรงงานในรัฐมิชิแกนปลายปี 2013 นี้ และจะมีแต่รถพวงมาลัยซ้าย
ลินคอล์น มาร์ค ซี คอนเซพท์
ค่ายลินคอล์น "พรีเมียมบแรนด์" ในร่มเงาของยักษ์รอง ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี อุทิศพื้นที่เกือบทั้งหมดที่มีให้แก่การเปิดตัว ลินคอล์น มาร์ค ซี คอนเซพท์ (LINCOLN MKC CONCEPT) รถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่โชว์รูมในช่วงครึ่งหลังของปี 2014 ตัวถังทรงสองกล่องยาว 4.550 ม. กว้าง 1.933 ม. สูง 1.607 ม. พัฒนาจากรถตลาดร่วมเครือ คือ ฟอร์ด คูกา (FORD KUGA) โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดมากมายทั้งภายนอกและภายในตัวถัง เป็นรถที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากสื่อมวลชนในเมืองมะกัน เนื่องจากในอดีตค่าย ลินคอล์น ไม่เคยทำรถขนาดเล็กอย่างนี้มาก่อน เชื่อกันว่าแรงผลักดันสำคัญ คือ ยอดขายของรถประเภทนี้ในตลาดเมืองมะกัน ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 ในปี 2012 และเพิ่มขึ้มากกว่าร้อยละ 200 ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา กับคำประกาศยืนยันเมื่อไม่นานมานี้ของ ลินคอล์น ที่ระบุว่า ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2014 เป็นต้นไป จะเริ่มส่งรถไปขายในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยผ่านตัวแทนจำหน่ายอิสระ
ฟอร์ด แอทลาส
ในรอบหลายปีที่ผ่านมา รถขายดีที่สุดในเมืองมะกันไม่ใช่รถเก๋ง หากป็นรถกระบะติดป้ายชื่อ ฟอร์ด เอฟ-ซีรีส์ (FORD F-SERIES) การปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกของ ฟอร์ด แอทลาส (FORD ATLAS) ในงานนี้ จึงเรียกความสนอกสนใจจากคนรักรถในเมืองมะกันได้เป็นอย่างมาก เพราะนี่คือรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถ ฟอร์ด เอฟ-ซีรีส์ รุ่นใหม่ ที่ยักษ์รองของเมืองมะกันเคยประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า จะนำออกสู่โชว์รูมในปี 2014 รวมทั้งจะเป็นรถที่ "ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกค้าคาดหวังจากรถพิคอัพ" ตัวอย่างของบางสิ่งบางอย่างในทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวนี้ คือ ชิ้นส่วนหลายชิ้นที่ทำจากวัสดุมวลเบา และเครื่องยนต์ ECOBOOST TURBO วี 6 สูบ ติดตั้งระบบหยุดการทำงานโดยอัตโนมัติ STOP-START SYSTEM ที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้ร้อยละ 8-10
ฟอร์ด ทรานซิท
ในฐานะผู้ผลิตรถเพื่อการพาณิชย์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลกและอันดับ 1 ของอเมริกาเหนือ ยักษ์รอง ฟอร์ด เติมสีสันให้แก่งานนี้โดยนำรถตู้ ฟอร์ด ทรานซิท (FORD TRANSIT) ออกอวดตัวเพื่อให้คนรักรถในเมืองมะกันได้สัมผัสเป็นครั้งแรก เป็นรถใหม่ที่ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะออกสู่โชว์รูมในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2014 โดยมีตัวถังให้เลือกใช้ในหลายรูปลักษณ์ มีช่วงฐานล้อให้เลือก 2 ขนาด กับมีขนาดความยาวและความสูงให้เลือกถึง 3 แบบ เป็นรถขับล้อหลังติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ที่จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกรวม 3 ขนาด คือ เครื่องเบนซิน วี 6 สูบ 3.7 ลิตร เครื่องเทอร์โบเบนซิน วี 6 สูบ 3.5 ลิตร และเครื่องเทอร์โบดีเซล 5 สูบเรียง 3.2 ลิตร เฉพาะเครื่องยนต์แบบแรกจะมีแบบที่ใช้แกส CNG หรือ LPG เป็นเชื้อเพลิงให้เลือกใช้ด้วย
ฟอร์ด ทรานซิท คอนเนคท์
เติมสีสันให้แก่บูธของค่ายยักษ์รองได้ดีเช่นกัน คือ ฟอร์ด ทรานซิท คอนเนคท์ (FORD TRANSIT CONNECT) รถผลิตที่เมืองบาเลนเซีย (VALENCIA) ในสเปน ซึ่งอีกไม่นานก็จะออกสู่โชว์รูมในเมืองมะกันในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2014 มีรถให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ แบบ 5 หรือ 7 ที่นั่งอย่างคันที่เห็นในภาพ ซึ่งเป็นรถที่ออกแบบสำหรับการบรรทุกคนและมีชื่อเฉพาะว่า ฟอร์ด ทรานซิท คอนเนคท์ แวกอน (FORD TRANSIT CONNECT WAGON) กับแบบ 2 หรือ 5 ที่นั่ง ซึ่งออกแบบให้บรรทุกทั้งคนและข้าวของและมีชื่อเฉพาะว่า ฟอร์ด ทรานซิท คอนเนคท์ แวน (FORD TRANSIT CONNECT VAN) ทั้ง 2 แบบ มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 2 ขนาด คือ เครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 2,488 ซีซี กับเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,596 ซีซี
จีพ กแรนด์ เชอโรคี
ผู้ผลิตรถกิจกรรมกลางแจ้งเจ้าเก่า ที่ยอดขายในตลาดทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวเป็น 700,000 คัน ในช่วงเวลาแค่ 3 ปี และเพิ่งจรดปลายปากกาว่าจ้างบริษัท GAC GROUP ผลิตรถติดป้ายชื่อ JEEP ในสาธารณรัฐประชาชนจีน นำผลงานใหม่ออกอวดตัวในงานนี้หลายชิ้น ชิ้นที่เน้นที่สุด คือ จีพ กแรนด์ เชอโรคี (JEEP GRAND CHEROKEE) ซึ่งไม่ใช่รถใหม่เอี่ยมแกะกล่อง แต่เป็นรถรุ่นเดิมที่เข้าสู่สายการผลิตเมื่อปลายปี 2010 และเพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบเล็กๆ ในช่วงกลางชีวิต อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า MID-LIFE REVAMP หน้าตาและรายละเอียดของตัวถังเปลี่ยนไปนิดๆ หน่อยๆ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การเปลี่ยนระบบเกียร์จากเกียร์อัตโนมัติ 5 หรือ 6 จังหวะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และเพิ่มเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลคอมมอนเรล DOHC วี 6 สูบ 2,988 ซีซี 179 กิโลวัตต์/240 แรงม้า ให้ลูกค้าเลือกใช้ นอกเหนือจากเครื่องเบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3,604 ซีซี 209 กิโลวัตต์/290 แรงม้า และเครื่องเบนซิน OHV วี 8 สูบ 5,654 ซีซี 268 กิโลวัตต์/360 แรงม้า ที่เคยมีอยู่แล้ว
จีพ คอมพาสส์
จีพ คอมพาสส์ (JEEP COMPASS) ที่เห็นในภาพบนก็ไม่ใช่รถแบบใหม่เอี่ยมแกะกล่องเช่นกัน แต่เป็นรถรุ่นเดิมที่เริ่มจำหน่ายในเมืองมะกันเมื่อเดือนสิงหาคม 2006 และเพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACE-LIFT หรือ "ยกหน้า" เพื่อออกสู่ตลาดในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2014 มีการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ทั้งในส่วนตัวถังและเครื่องยนต์กลไก รวมทั้งการเพิ่มระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะให้เลือกใช้ นอกเหนือจากเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง (เกียร์ CVT) ที่ยกชุดมาจากรถรุ่นเดิม เป็นรถผลิตที่รัฐอิลลินอยส์ซึ่งมีกำหนดออกโชว์รูมในไตรมาสที่ 2 ของปีงูเล็ก โดยแบ่งการตกแต่งและอุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส SPORT LATITUDE LIMITED และจะมีให้เลือกใช้ทั้งแบบขับล้อหน้าและแบบขับทุกล้อ
เฟียต 500 กัตตีวา/เฟียต 500 อบาร์ธ เตเนบรา
ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกะโรนีซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ CHRYSLER GROUP LLC นำรถแนวคิดที่พัฒนาจากรถตลาด เฟียต 500 (FIAT 500) ออกอวดตัวแบบ"ครั้งแรกในโลก"ที่งานนี้รวม 2 คัน คันแรกที่เห็นในภาพบนคือ เฟียต 500 กัตตีวา (FIAT 500 CATTIVA) พัฒนาจากรถ เฟียต 500 ทวินแอร์ เทอร์โบ (FIAT 500 TWINAIR TURBO) โดยตกแต่งตัวถังและรายละเอียดทั้งภายนอกและภายในให้ดูฟู่ฟ่าและเผ็ดร้อนกว่ารถซึ่งเป็นที่มา รวมทั้งการเคลือบผิวตัวถังด้วยสีทองแดง VIBRANT RAME คาดทับด้วยสีเทาเข้ม NERO ส่วนคันที่ 2 คือ เฟียต 500 อบาร์ธ เตเนบรา (FIAT 500 ABARTH TENEBRA) พัฒนาจากรถ เฟียต 500 อบาร์ธ (FIAT 500 ABARTH) โดยมีผู้ใช้รถประเภท "ฮาร์ดคอร์" เป็นกลุ่มเป้าหมาย
เทสลา โมเดล เอกซ์
เทสลา มอเตอร์ส (TESLA MOTORS) ผู้ผลิตรถไฟฟ้าชื่อดังของเมืองมะกันเรียกความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งหัวแดงหัวดำหัวน้ำตาลและหัวขาวได้อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพราะมีรถไฟฟ้าติดป้ายชื่อ เทสลา โมเดล เอกซ์ (TESLA MODEL X) ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เป็นแม่เหล็กดึงดูด เป็นต้นแบบของรถกิจกรรมกลางแจ้งขับเคลื่อนล้อหลังหรือทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่ค่ายนี้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2014 จะนำออกสู่โชว์รูมพร้อมกับป้ายค่าตัว 60,000 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือเท่ากับประมาณ 1.80 ล้านบาทไทย ตัวถังซึ่งออกแบบให้นั่งได้รวม 7 คน ติดตั้งประตูข้างที่ดูประดักประเดิดอยู่นิดๆ คือ คู่หน้าเป็นประตูติดบานพับที่เปิดโดยผลักไปข้างหน้าเหมือนประตูทั่วไป แต่บานหลังเป็นประตูที่ปิดเปิดแบบ FALCON WING หรือ "ปีกเหยี่ยว"
โฟล์คสวาเกน บีเทิล กาบริโอเลต์
อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนปีงูใหญ่ ปรากฏตัวอีกครั้งที่งานนี้ผู้คนก็ยังคงให้ความสนใจไม่แพ้งานแรก คือ โฟล์คสวาเกน บีเทิล กาบริโอเลต์ (VOLKSWAGEN BEETLE CABRIOLET) รถเปิดประทุนตระกูลเต่ารุ่นใหม่เอี่ยมแกะกล่อง ที่กล้ากล่าวโดยไม่เกรงใจใครว่าหน้าตาไม่ยักกะดูดีกว่ารถรุ่นเก่า ที่ดีกว่ารุ่นเก่า ก็คือ รถรุ่นใหม่นี้ติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อน เปิด/ปิดด้วยระบบอีเลคทรอ-ไฮดรอลิค โดยใช้เวลาที่สั้นมากๆ เห็นตัวเลขแล้วไม่อยากจะเชื่อ คือ แค่ 10 วินาที ในเมืองมะกันมีรถให้เลือกรวม 11 โมเดล มีสีตัวถังรวม 11 สี คือ สีแดง TORNADO RED สีเหลือง YELLOW RUSH สีดำ BLACK UNI สีขาว CANDY WHITE สีฟ้า DENIM BLUE สีน้ำเงิน REEF BLUE METALLLIC สีเงิน MOONROCK SILVER METALLIC สีดำ DEEP BLACK PEARL METALLIC สีเทาเข้ม PLATINUM GREY METALLIC สีเงิน REFLEX SILVER METALLIC สีน้ำตาล TOFFEE BROWN METALLIC ค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 25,000 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 750,000 บาท
โฟล์คสวาเกน ครอสส์ บลู
นอกจากรถเปิดประทุนตระกูลเต่า ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ดึงดูดสื่อมวลชนให้หลั่งไหลเข้าสู่บูธของยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ คือ โฟล์คสวาเกน ครอสส์ บลู (VOLKSWAGEN CROSS BLUE) รถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาด 6 ที่นั่ง ที่ค่ายนี้บอกว่าภายในปี 2015 จะนำออกสู่โชว์รูมในเมืองมะกัน ตัวถังทรงสองกล่องยาว 4.986 ม. กว้าง 2.014 ม. และสูง 1.732 ม. ติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อแบบไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ โดยใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 190 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ได้กำลังรวมสูงสุด 306 แรงม้า อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ใน 7.0 วินาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.9 กม./ลิตร และเมื่อวิ่งด้วยพลังไฟของแบทเตอรีล้วนๆ จะวิ่งได้ไกลประมาณ 23 กม.
เอาดี เอสคิว 5 ทีเอฟเอสไอ
ค่าย "สี่ห่วง" มีงานใหม่ดึงดูดความสนใจของสื่อมวลชนรวม 2 ชิ้น ชิ้นแรกในภาพบนซ้ายมือ คือ เอาดี เอสคิว 5 ทีเอฟเอสไอ (AUDI SQ5 TFSI) เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดกลางรุ่นหัวกะทิ ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีทวีปอเมริกาเหนือและสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นตลาดเป้าหมาย รถโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,995 ซีซี ติดซูเพอร์ชาร์เจอร์ ให้กำลังสูงสุด 260 กิโลวัตต์/354 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร/48.0 กก.-ม. จัดเป็นเสือสมิงที่ซ่อนตัวอยู่ในเสื้อคลุมของหมูสมัน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 5.3 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 8.5 ลิตร/100 กม. และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 199 กรัม/กม.
เอาดี อาร์เอส 7 สปอร์ทแบค
อีกคันในภาพบนขวามือ คือ รถติดป้ายชื่อ เอาดี อาร์เอส 7 สปอร์ทแบค (AUDI RS7 SPORTBACK) เป็นรถติดรหัส RS โมเดลใหม่ล่าสุดซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ และจะยังไม่ออกโชว์รูมจนกว่าจะถึงไตรมาสที่ 2 ของปีงูเล็ก พัฒนาจากรถคูเป เอาดี เอ 7 สปอร์ทแบค (AUDI A7 SPORTBACK) โดยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายเพื่อเพิ่มลักษณะสปอร์ท รวมทั้งการติดตั้งเครื่องทวินเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 3,993 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 412 กิโลวัตต์/560 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TIPTRONIC เป็นรถหน้าตาธรรมด๊าธรรมดาที่แรงและเร็วจนน่ากลัว อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม.
เมร์เซเดส-เบนซ์ อี- คลาสส์
เนื่องจากสหรัฐอเมริกา คือ ตลาดสำคัญอย่างยิ่งยวดของรถหรูติดตรา"ดาวสามแฉก" ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์จึงเลือกใช้เวทีขนาดใหญ่ในงานนี้เป็นที่เปิดตัวรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ E-CLASS) รุ่นใหม่ ซึ่งก็เป็นอย่างที่รายงานไปแล้วใน "ข่าวรอบโลก" เดือนกุมภาพันธ์ 2013 ว่าไม่ใช่รถรุ่น "ใหม่หมด" แต่เป็นรถรุ่นเดิมที่ผ่านการปรับปรุงแบบ "ยกเครื่องช่วงกลางชีวิต" อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า MID-LIFE OVERHAUL ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงของรถรุ่นใหม่นี้ครบถ้วนทั้ง 4 ตัวถัง คือ ตัวถังซีดาน ตัวถังตรวจการณ์ ตัวถังคูเป และตัวถังเปิดประทุน ตัวถัง 2 แบบแรกมีการเปลี่ยนแปลงด้านหน้าตาที่น่าจะถูกใจคนรักรถเงินถุงเงินถังสตางค์แยะที่ชอบเลือก คือ มีหน้ารถให้เลือก 2 แบบ ได้แก่แบบคลาสสิคซึ่งติดตั้งโลโก "ดาวสามแฉก" ไว้บนหน้าหม้อ กับแบบสปอร์ทซึ่งติดตั้ง "ดาวสามแฉก" ขนาดโตสะอกสะใจไว้กับแผงกระจังหน้า ส่วนตัวถัง 2 แบบแรกหลัง จุดเปลี่ยนด้านหน้าตาที่เห็นได้ชัดเจนมาก คือ แผงกระจังหน้า และคู่ดวงโคมไฟหน้า
เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 63 เอเอมจี 4 เมทิค
อวดตัวแบบ GLOBAL DEBUT หรือ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 63 เอเอมจี (MERCEDES-BENZ E63 AMG) รถซีดานรุ่นหัวกะทิซึ่งต้องรอจนกว่าจะถึงไตรมาสที่ 2ของปีงูใหญ่จึงจะออกโชว์รูมในเมืองแม่ ความพิเศษสุดของรถรุ่นหัวกะทิรุ่นนี้ก็คือ มีรถให้ลูกค้าเงินถึงและใจถึงเลือกใช้ได้ถึง 3 โมเดล คันที่เห็นในภาพ เป็นโมเดลที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อ ด้วยพลังของเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 5,461 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 410 กิโลวัตต์/557 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 720 นิวตัน-เมตร/73.5 กก.-ม. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT MCT อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.
โพร์เช กาเยนน์ เทอร์โบ เอส
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทและรถกิจกรรมกลางแจ้งของเมืองเบียร์วางจุดเรียกความสนใจจากสื่อมวลชนไว้ที่ โพร์เช กาเยนน์ เทอร์โบ เอส (PORSCHE CAYENNE TURBO S) ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก"ที่งานนี้ จัดเป็นรถโมเดลหัวกะทิที่แรงและเร็วจนน่าขนลุก ตัวถังยาว 4.846 ม.กว้าง 1.954 ม.และสูง 1.702 ม.ซึ่งทำจากเหล็กกล้าและมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.36 ติดตั้งเครื่องยนต์ไบเทอร์โบเนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,806 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 405 กิโลวัตต์/550 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 750 นิวตัน-เมตร/76.5 กก.-ม. ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TIPTRONIC S อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.5 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด คือ 283 กม./ชม.
โพร์เช เคย์แมน
เปิดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนปีงูใหญ่ และฉายซ้ำสองที่งานนี้เช่นกัน คือ โพร์เช เคย์แมน (PORSCHE CAYMAN) รุ่นใหม่ที่หน้าตาดูดีกว่ารถรุ่นเก่า เป็นรถใหม่ประเภท "ใหม่หมด" ที่ออกโชว์รูมในเมืองแม่ไปเรียบร้อยแล้วพร้อมกับป้ายค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 51,385 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 2.06 ล้านบาทไทย มีรถให้เลือก 2 โมเดล คือ โพร์เช เคย์แมน (PORSCHE CAYMAN) ติดตั้งเครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) 2,706 ซีซี 202 กิโลวัตต์/275 แรงม้า กับ โพร์เช เคย์แมน เอส (PORSCHE CAYMAN S) ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์แบบเดียวกันแต่ขยายขนาดเป็น 3,436 ซีซี และได้กำลังเพิ่มเป็น 239 กิโลวัตต์/325 แรงม้า คือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18
บีเอมดับเบิลยู คอนเซพท์ 4 ซีรีส์ คูเป
ยอดผู้ผลิตรถหรูเจ้าของเครื่องหมายการค้า "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนและคนรักรถในเมืองมะกันได้ดังใจหวัง เพราะมีแม่เหล็กดึงดูดสายตาและสายใจอย่าง บีเอมดับเบิลยู คอนเซพท์ 4 ซีรีส์ คูเป (BMW CONCEPT 4 SERIES COUPE) ที่เห็นในภาพบนและภาพใหญ่ซ้ายมือ เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถคูเปขนาดเล็กกะทัดรัดอนุกรมใหม่ ที่ค่ายนี้ตั้งใจจะบรรจุเข้าสู่สายการแทนที่รถคูเปรุ่นปัจจุบันซึ่งติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 คูเป (BMW 3-SEIES COUPE) เป็นรถใหม่ที่ออกแบบขึ้นใหม่โดยเฉพาะ ไม่ใช่ดัดแปลงจากตัวถังซีดานเหมือนรถคูเประดับเดียวกันรุ่นก่อนๆ แม้ว่าหน้าตาและรูปทรงองค์เอวรวมทั้งรายละเอียดภายในห้องโดยสารของรถแนวคิดคันนี้ ยังพอมองเห็นได้เลาๆ ว่าได้รับอิทธิพลเป็นบางส่วนจากรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 ซีดาน (BMW 3-SERIES SEDAN) รุ่นล่าสุด ที่น่าเสียดายและอาจส่งผลให้คนรักรถที่ไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ รู้สึกหงุดหงิด ก็คือ ผู้ผลิตรถหรูรายนี้ไม่ได้เปิดเผยอะไรเลยที่เกี่ยวข้องกับแชสซีส์และเครื่องยนต์กลไก
บีเอมดับเบิลยู เอม 6 กรัน คูเป
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เช่นกัน คือ รถหรูสมรรถนะสูงติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู เอม 6 กรัน คูเป (BMW M6 GRAN COUPE) นับเป็นรถรหัส M6 โมเดลที่ 3 ถัดจากรถ บีเอมดับเบิลยู เอม 6 คูเป/กาบริโอ (BMW M6 COUPE/CABRIO) ที่ออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ไตรมาสที่สามของปีงูใหญ่ เช่นเดียวกับรถที่เกิดก่อนกันครึ่งปี รถใหม่เอี่ยมแกะกล่องโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,395 ซีซี 412 กิโลวัตต์/560 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ ตัวเลขความเร็วก็ครือๆ กัน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.2 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.
บีเอมดับเบิลยู เซด 4 โรดสเตอร์
อวดตัวจริงเสียงจริงให้คนรักรถในเมืองมะกันได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดเช่นกันแต่ไม่ค่อยเป็นที่สนใจสักเท่าไร คือ บีเอมดับเบิลยู เซด 4 โรดสเตอร์ (BMW Z4 ROADSTER) รุ่นใหม่ ซึ่งไม่ใช่รถใหม่แบบ "ใหม่หมด" แต่เป็นรถรุ่นเดิมซึ่งอยู่ในสายการผลิตมาตั้งแต่ปี 2009 และเพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" ในเมืองมะกันรถอนุกรมนี้แยกโมเดลให้เลือกใช้รวม 3 โมเดล คือ BMW Z4 SDRIVE 28I เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,997 ซีซี 176 กิโลวัตต์/240 แรงม้า BMW Z4 SDRIVE 35I เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 221 กิโลวัตต์/300 แรงม้า และ BMW Z4 SDRIVE 35IS เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 246 กิโลวัตต์/335 แรงม้า
มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ เพศแมน
ยอดผู้ผลิตรถจิ๋วของเมืองผู้ดี เพิ่มทางเลือกให้แก่คนรักรถเล็กแต่หรูในเมืองมะกัน โดยการนำรถโมเดลใหม่เอี่ยมแกะกล่องคือ มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ เพศแมน (MINI JOHN COOPER WORKS PACEMAN) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถคูเปขนาดจิ๋วซึ่งก็เหมือนกับรถ มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ โมเดลอื่นๆ คือติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง ความจุ 1,598 ซีซี แต่ในกรณีของรถโมเดลล่าสุดนี้ กำลังสูงสุดที่ให้เพิ่มจาก 155 กิโลวัตต์/211 แรงม้า เป็น 160 กิโลวัตต์/218 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังเลือกได้ระหว่าง เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ซึ่งจะทำให้รถมีความเร็วสูงสุด 226 กม./ชม. และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งจะลดเหลือ 224 กม./ชม.
มาเซราตี กวัตตโรโปร์เต
เนื่องจากเกือบครึ่งหนึ่งของรถติดตรา "ตรีศูล" หรือ "สามง่าม" ที่ขายได้ในแต่ละปี เป็นรถที่ขายในสหรัฐอเมริกา จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าข้องใจอะไรที่ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองมะกะโรนีนำรถ มาเซราตี กวัตตโรโปร์เต (MASERATI QUATTROPORTE) รุ่นใหม่ ไปเปิดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถใหม่ชนิด "ใหม่หมด" ตัวถังยาว 5.262 ม. กว้าง 1.948 ม. และสูง 1.481 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.31 เป็นตัวถังที่ออกแบบใหม่ตั้งแต่หัวจรดหาง มีขนาดโตกว่ารถรุ่นเดิมเล็กน้อยในทุกมิติแต่น้ำหนักตัวกลับเบากว่า เนื่องจากชิ้นส่วนตัวถังเกือบทั้งหมดเปลี่ยนจากเหล็กกล้าเป็นอลูมิเนียม ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องทวินเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC วี 8 สูบ 3,798 ซีซี ที่ให้กำลังสูงสะอกสะใจถึง 390 กิโลวัตต์/530 แรงม้า
โตโยตา อวาลอน ไฮบริด
ยักษ์ใหญ่ของเมืองยุ่นวางจุดรวมความสนใจไว้ที่ โตโยตา อวาลอน ไฮบริด (TOYOTA AVALON HYBRID) รถที่ออกแบบและผลิตสำหรับตลาดอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ ไม่มีขายในญี่ปุ่น เพิ่งออกจำหน่ายในเมืองมะกันในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2013 ในตัวถังยาว 4.958 ม. กว้าง 1.834 ม. และสูง 1.461 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ดีมาก คือ แค่ 0.28 มีรถให้เลือกใช้ 3 โมเดล คือ AVALON XLE PREMIUM-AVALON XLE TOURING HYBRID-AVALON LIMITED HYBRID ทุกโมเดลติดตั้งระบบขับล้อหน้าแบบไฮบริดชนิดไม่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 2,494 ซีซี 115 กิโลวัตต์/156 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 105 วัตต์/143 แรงม้า และแบทเตอรีนิคเคิล-เมทัล ไฮดไรด์ 244.8 โวลท์ ให้กำลังรวมสูงสุด 147 กิโลวัตต์/200 แรงม้า และถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง (เกียร์ CVT) สนนราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 35,555 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือเท่ากับประมาณ 1.07 ล้านบาทไทย
โตโยตา โคโรลลา ฟูริอา คอนเซพท์
จุดโฟคัสสายตาอีกจุดหนึ่งในบูธของยักษ์ใหญ่เมืองยุ่น คือ โตโยตา โคโรลลา ฟูริอา คอนเซพท์ (TOYOTA COROLLA FURIA CONCEPT) รถแนวคิดที่ออกแบบโดยศูนย์ออกแบบ CALTY ของค่ายยักษ์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ผลิตเป็นคันในญี่ปุ่น ตัวถังซึ่งยาว 4.620 ม. กว้าง 1.805 ม. และสูง 1.425 ม. มีหน้าตาและรูปทรงองค์เอวที่ดูแปลกแหวกแนว และเชื่อกันว่าเป็นการบ่งบอกทิศทางของรถรุ่นใหม่ 2 รุ่น คือ โตโยตา โคโรลลา (TOYOTA COROLLA) และ โตโยตา แคมรี (TOYOTA CAMRY) ที่ค่ายนี้จะออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตลาดอเมริกาเหนือได้เป็นอย่างดี วิจารณ์กันในเมืองมะกันว่า การปรากฏตัวของรถแนวคิดคันนี้ทำให้คู่แข่งหลายรายถึงกับสะดุ้ง เพราะที่ผ่านมา รถ 2 อนุกรมนี้หน้าตาไม่ค่อยจะหวือหวา
เลกซัส ไอเอส-ซีรีส์
หลังจากเป็นข่าวต่อเนื่องกันมาแรมปี ในที่สุดผู้ผลิตรถหรูของเมืองยุ่นก็นำรถ เลกซัส ไอเอส-ซีรีส์ (LEXUS IS-SERIES) รุ่นใหม่ ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ มีกำหนดออกโชว์รูมในเมืองมะกันตอนกลางปีงูใหญ่ ในตัวถังที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดและมีขนาดโตกว่ารถรุ่นเดิมเล็กน้อยในทุกมิติ หน้าตาและรูปทรงองค์เอวคนรักรถผู้รังเกียจการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนเห็นแล้วอาจส่ายหน้า จะมีทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหลังด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ 2.5 ลิตร (LEXUS IS 250) หรือ วี 6 สูบ 3.5 ลิตร (LEXUS IS 350) และแบบขับเคลื่อนล้อหลังด้วยระบบไฮบริด (LEXUS IS 300H) โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 2.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 160 กิโลวัตต์/217 แรงม้า
นิสสัน เรโซแนนศ์
ยักษ์รองของเมืองยุ่นซึ่งมีหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในเมืองน้ำหอม เลือกใช้เวทีขนาดยักษ์ในงานนี้เป็นที่เปิดตัวรถติดป้ายชื่อ นิสสัน เรโซแนนศ์ (NISSAN RESONANCE) ในลักษณะ "ครั้งแรกในโลก" ไม่ใช่รถตลาดที่พร้อมจะออกโชว์รูม แต่เป็นรถแนวคิดซึ่งเชื่อกันว่า มีรายละเอียดมากกว่าร้อยละ 70 ที่ค่ายนี้จะนำไปใช้ในรถ นิสสัน มูราโน (NISSAN MURANO) รุ่นใหม่ ที่จะออกตลาดในปี 2014 และบางส่วน เช่น ดวงโคมไฟหน้ารูปบูเมอแรง ฯลฯ ก็จะได้พบได้เห็นกันในรถรุ่นใหม่อีก 2 รุ่นที่จะตามมาหลังจากนั้น คือ นิสสัน กัชไก (NISSAN QASHQAI) กับ นิสสัน จูค (NISSAN JUKE) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาด 5 ที่นั่ง ในตัวถังยาว 4.840 ม. กว้าง 2.000 ม.และสูง 1.730 ม. ซึ่งมีโครงสร้างรับแรงเหมือนตัวถังของรถเก๋ง ติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์ DOHC 4 สูบเรียง ความจุ 2.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) และระบบเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง (เกียร์ CVT)
อินฟินิที คิว 50
ผู้ผลิตรถระดับ "พรีเมียมบแรนด์" ซึ่งไม่ได้ส่งรถมาขายในบ้านเรา เรียกความสนใจได้อย่างดีด้วย อินฟินิที คิว 50 (INFINITI Q50) รถหรูอนุกรมใหม่เอี่ยมแกะกล่อง ที่ปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ และต้องรอจนถึงฤดูร้อนของปีงูเล็กจึงจะออกโชว์รูม เป็นรถเก๋งซีดานขนาดกลางในตัวถังยาว 4.783 ม. กว้าง 1.824 ม. และสูง 1.443 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่เยี่ยมมาก คือ แค่ 0.26 จะมีทั้งแบบขับล้อหลังและขับทุกล้อ และเลือกได้ว่าจะใช้ระบบขับด้วยพลังของเครื่องเบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3.7 ลิตร 241 กิโลวัตต์/328 แรงม้า หรือด้วยระบบขับแบบไฮบริด ซึ่งใช้เครื่องเบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3.5 ลิตร 222 กิโลวัตต์/302 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ได้กำลังรวมสูงสุด 265 กิโลวัตต์/360 แรงม้า
นิสสัน เวอร์ซา โนท
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของยักษ์รองเมืองยุ่นที่เรียกความสนใจจากคนรักรถในเมืองมะกันได้ดี คือ รถตลาดติดป้ายชื่อ นิสสัน เวอร์ซา โนท (NISSAN VERSA NOTE) ซึ่งเพิ่งปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกที่งานนี้ เป็นรถเก๋งแฮทช์แบคขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดผลิตในเมกซิโก ซึ่งต้องรอจนถึงฤดูร้อนของปีงูใหญ่จึงจะออกโชว์รูมในเมืองมะกัน โดยติดป้ายค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 13,990 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือเท่ากับประมาณ 420,000 บาทไทย จะแบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 3 ระดับ คือ VERSA NOTE S-VERSA NOTE S PLUS-VERSA NOTE SV ทุกระดับติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,597 ซีซี 80 กิโลวัตต์/109 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์มี 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง (CVT)
จีเอซี อี-เจท คอนเซพท์
จีเอซี กรุพ (GAC GROUP) ผู้ผลิตรถยนต์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนนำผลงานออกแสดงในงานนี้รวม 3 ชิ้น ชิ้นที่น่าสนใจที่สุด คือ จีเอซี อี-เจท คอนเซพท์ (GAC E-JET CONCEPT) ที่เห็นในภาพบน เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถซีดานขนาดเล็กกะทัดรัด ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดอย่างที่เรียกกันในภาษาฝรั่งว่า RANGE-EXTENDING HYBRID คือขับล้อด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 93 กิโลวัตต์/127 แรงม้า ซึ่งได้พลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 1.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง และจะวิ่งได้ไกลประมาณ 100 กม. เมื่อไฟหมดก็มีเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.0 ลิตร 44 กิโลวัตต์/60 แรงม้า หมุนปั่นไฟเข้าแบทเตอรี ช่วยยืดระยะทางเป็นประมาณ 600 กม. อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ทำได้ใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.
อคูรา เอนเอสเอกซ์ คอนเซพท์
เดินผ่านบูธของ อคูรา เห็นรถหน้าตาหวือหวาคันหนึ่งจอดอยู่บนเวทีหมุนขนาดยักษ์พร้อมกับป้ายชื่อ อคูรา เอนเอสเอกซ์ คอนเซพท์ (ACURA NSX CONCEPT) มองเผินๆ เข้าใจเอาเองว่าเป็นคันเดียวกับที่เห็นมาแล้วในงานนี้เมื่อปี 2012 จึงไม่ใส่ใจอะไรนัก หลายชั่วโมงหลังจากนั้นหวนกลับไปดูอีกครั้งหนึ่งและดูอย่างพิถีพิถัน จึงตระหนักว่ามีรายละเอียดในหลายๆ จุดที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ก็เปลี่ยนไม่มาก ค้นหาข้อมูลในภายหลังก็ได้ความว่า รถแนวคิดคันนี้ออกแบบและพัฒนาโดยทีมงานในสหรัฐอเมริกา ส่วนตัวจริงเสียงจริงของรถที่จะออกขายในปี 2015 ทั้งโดยติดป้ายชื่อ อคูรา เอนเอสเอกซ์ (ACURA NSX) และ ฮอนดา เอนเอสเอกซ์ (HONDA NSX) ก็จะผลิตในสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน จุดที่น่าสนใจและทำให้อยากมีโอกาสได้ทดลองขับ เหมือนที่เคยทำมาแล้วกับรถรุ่นดั้งเดิมที่อยู่ในสายการผลิตระหว่างปี 1990-2005 ก็คือ รถรุ่นใหม่นี้จะติดตั้งระบบขับทุกล้อแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ วางเครื่องกลางลำทำงานร่วมกับกับมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับล้อคู่หลัง และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าอีกชุดขับล้อคู่หน้า
อคูรา เอมดีเอกซ์ พโรโทไทพ์
จุดสนใจอีกจุดหนึ่งในบูธของค่ายอคูรา คือ รถกิจกรรมกลางแจ้งติดป้ายชื่อ อคูรา เอมดีเอกซ์ พโรโทไทพ์ (ACURA MDX PROTOTYPE) เป็นต้นแบบของรถรุ่นใหม่ที่ตอนกลางปีงูเล็กค่ายนี้จะนำออกสู่โชว์รูมแทนที่รถ อคูรา เอมดีเอกซ์ (ACURA MDX) รุ่นปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 2007 และเป็นรถค่ายดีที่สุดของค่าย รถรุ่นใหม่ซึ่งออกแบบและพัฒนาในสหรัฐอเมริกานี้ มีรูปทรงองค์เอวที่ผู้รังสรรค์เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า AERO SCULPTURE เห็นคำนี้ครั้งแรกก็ไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไ ? เพราะก็ดูไม่ต่างจากรถรุ่นเดิมซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 2 สักเท่าไร อ่านข้อมูลอย่างละเอียดจึงถึงบางอ้อ เมื่อพบว่าตัวถังของรถรุ่นที่ 3 ซึ่งติดตั้งเครื่องเบนซินฉีดตรง SOHC วี 6 สูบ 3.5 ลิตร นี้ มีประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ดีกว่ารุ่นเดิมร้อยละ 16
ฮอนดา เออร์เบิน เอสยูวี คอนเซพท์
เรียกความสนใจได้ดีไม่น้อยหน้ารถแนวคิดสายพันธุ์ยุ่นคันอื่นๆ คือ ฮอนดา เออร์เบิน เอสยูวี คอนเซพท์ (HONDA URBAN SUV CONCEPT) ที่เห็นในภาพบน เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกะทัดรัดที่ออกแบบและพัฒนาโดยใช้พแลทฟอร์มชุดเดียวกับที่ใช้ในรถ ฮอนดา แจซซ์ (HONDA JAZZ) รุ่นที่ 3 ซึ่งมีกำหนดออกจำหน่ายในปี 2014 รวมทั้งเป็นต้นแบบของรถกิจกรรมกลางแจ้งอนุกรมใหม่ที่ค่ายนี้ตั้งใจจะทำขายในตลาดอเมริกาเหนือ โดยใช้โรงงานที่กำลังก่อสร้างขึ้นใหม่ในเมกซิโกเป็นที่ผลิต ตัวถังซึ่งยาว 4.300 ม. คือ สั้นกว่า ฮอนดา ซีอาร์-วี (HONDA CR-V) ที่คนรักรถในบ้านเราคุ้นเคยกันดีประมาณ 23 ซม.มีส่วนท้ายที่ดูราวกับเป็นรถคูเป เพราะที่จับเปิดประตูข้างบานหลังถูกซ่อนไว้จนมองไม่เห็น
เกีย คาเดนซา
ยักษ์รองของเมืองโสมซึ่งเมื่อปีกลายขายรถในเมืองมะกันได้อย่างถล่มทลายถึง 577,000 คัน นำรถเก๋งซีดานขนาดใหญ่ซึ่งในเมืองแม่จำหน่ายในชื่อ เกีย เค 7 (KIA K7) ไปเปิดตัวในที่งานนี้พร้อมกับป้ายชื่อ เกีย คาเดนซา (KIA CADENZA) เป็นรถสัญชาติเกาหลีที่ออกแบบและพัฒนาในเยอรมนี โดยทีมงานซึ่งมี เพเทร์ ชเรเยร์ (PETER SCHREYER) นักออกแบบชื่อดังชาวเยอรมันเป็นผู้นำ ตัวถังซึ่งยาวเกือบห้าเมตร ติดตั้งแผงกระจังหน้าซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของรถยี่ห้อนี้ไปแล้ว เป็นแผงกระจังซึ่งมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า TIGER NOSE หรือ"จมูกเสือ" ที่น่าสนใจไม่แพ้หน้าตาของตัวรถ คือ เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 3,342 ซีซี ที่ค่ายนี้ออกแบบขึ้นใหม่ เป็นเครื่องประหยัดเชื้อเพลิงที่ให้แรงสูงถึง 293 แรงม้า
ฮันเด เอชซีดี-14 เจเนซิส คอนเซพท์
ปิดท้ายรายงานข่าวมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ประจำปีงูเล็ก ด้วยผลงานซึ่งเป็นจุดโฟคัสสายตาในบูธของยักษ์ใหญ่เมืองโสม คือ ฮันเด เอชซีดี-14 เจเนซิส คอนเซพท์ (HYUNDAI HCD-14 GENESIS CONCEPT) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งซีดานขนาดใหญ่ ซึ่งบ่งบอกทิศทางและความน่าจะเป็นของรถรุ่นใหม่รวม 2 รุ่น ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่โชว์รูมในช่วงสองสามปีข้างหน้า พร้อมกับป้ายชื่อ ฮันเด เจเนซิส (HYUNDAI GENESIS) และ ฮันเด เอกูอัส (HYUNDAI EQUUS) ตัวถังซึ่งมีช่วงยื่นหน้าและยื่นหลังสั้นกว่าปกติ มีเส้นสายหลังคาที่ทำให้ดูเหมือนกับเป็นรถคูเปมากกว่ารถซีดาน ประตูข้างทั้งสองด้านเป็นผลลัพธ์ของการออกแบบที่กล้าหาญและสมยุคสมสมัย เป็นประตูติดบานพับขนาดโตที่เปิดแยกออกจากกันโดยไม่มีเสากลางและไม่มีที่จับเปิด
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิตนิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ