เรื่องน่ารู้
Mazda Skyactiv Crossover พิชิตเส้นทางประวัติศาสตร์ มองโกเลีย-รัสเซีย
Mazda Skyactiv Crossover พิชิตเส้นทางประวัติศาสตร์ มองโกเลีย-รัสเซีย สัมผัสประสบการณ์สุดขั้ว
บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ต่อยอดความสำเร็จพิชิตเส้นทางประวัติศาสตร์ เพิ่มความท้าทายอีกขั้นกับเส้นทางมุ่งหน้าสู่ประเทศรัสเซีย ปีที่แล้ว คาราวาน มาซดา บีที-50 พโร เดินทางจากประเทศไทย ผ่านประเทศ สปป. ลาว และประเทศจีน เข้าสู่อูลันบาตาร์ เมืองหลวงของประเทศมองโกเลียปีนี้ มาซดา เชิญเราไปสัมผัสประสบการณ์สุดขั้วกับรถอเนกประสงค์ครอสส์โอเวอร์ ภายใต้บแรนด์ มาซดา รุ่น ซีเอกซ์-3 และซีเอกซ์-5 เทคโนโลยี Skyactiv ในเส้นทางที่เริ่มต้นจากเมืองอูลันบาตาร์สู่เมืองมอสโกว์ สหพันธรัฐรัสเซีย ระยะทางกว่า 6,500 กม. มาซดา แบ่งผู้ร่วมพิชิตเส้นทางออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่โนโวซีบีร์สค์ เมืองชายแดนระหว่างไซบีเรียกับรัสเซีย รวมระยะทางกว่า 3,000 กม. โดยมีไฮไลท์สำคัญ คือ ทะเลสาบไบคาล ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ เก่าแก่และมีความลึกมากที่สุดในโลก การเดินทางทริพนี้ เราอยู่ในกลุ่ม บี รับไม้ต่อเพื่อพิชิตภารกิจ จากเมืองโนโวซีบีร์สค์–ออมสค์–ตูย์เมน–เยคาเตรินบุร์ก–เปียร์ม–คาซาน–นิซนีโนฟโกรอด–มอสโกว์ เมืองหลวงของสหพันธรัฐรัสเซีย ระยะทางรวมกว่า 3,400 กม. เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์นี้ เป็นความท้าทายทั้งสมรรถนะรถ ฝีมือ และประสบการณ์การขับรถในต่างประเทศ เพราะต้องผ่านอุปสรรคทั้งสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่หลากหลาย ในเส้นทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ 9 ชั่วโมงครึ่ง บนเครื่องบินจากกรุงเทพฯ สู่มอสโกว์ เมืองหลวงของสหพันธรัฐรัสเซีย ก่อนจะต่อเครื่องบินภายในประเทศไปยังเมืองโนโวซีบีร์สค์ อีกประมาณ 4 ชั่วโมง ร่างกายผู้ขับและผู้ร่วมทริพต้องมีความพร้อม เพราะการเดินทางระยะไกล 2 ทอด ทำให้เหนื่อยล้ามาก แถมเวลาก็แตกต่างกันไป ในมอสโกว์ เวลาช้ากว่าเรา 4 ชั่วโมง ส่วนเมืองโนโวซีบีร์สค์ กลับมาใช้เวลาเดียวกับประเทศไทย หนำซ้ำ การเดินทางจากนี้ไป เราต้องข้ามผ่านเขตช่วงเวลาถึง 4 โซน จากความกว้างใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งมีพื้นที่มากถึง 1/4 ของโลก แบ่งเขตเวลามากถึง 11 เขตเวลา มื้อแรกของเรา เป็นอาหารของชาวไซบีเรียแท้ๆ เริ่มจากสลัดฟักทอง กับไก่ ทานคู่กับซุปกวางป่า คล้ายซุปเนื้อวัวบ้านเรา ต่อด้วยอาหารพื้นเมืองของไซบีเรีย มีสเตคเนื้อกวาง เป็นเมนคอร์ส ปิดท้ายด้วยผลไม้แช่เย็น ไทการ์ เมล็ดเล็กราดซอสหวานใส่ถ้วยมาแบบไอศครีม รสชาติออกเปรี้ยวนิดๆ [caption id="attachment_140775" align="alignnone" width="300"] สลัดไก่กับฟักทอง คลุกเคล้าน่าทาน[/caption] [caption id="attachment_140771" align="alignnone" width="300"] ซุปแดง อุดมไปด้วยมะเขือเทศ หัวหอม ดูเข้มข้น[/caption] [caption id="attachment_140777" align="alignnone" width="300"] ไทการ์ ผลไม้แช่เย็น ของหวานมื้อแรก[/caption] [caption id="attachment_140772" align="alignnone" width="300"] สลัดผัก ทานคู่กับน้ำแดง น้ำผลไม้แสนอร่อย[/caption] จริงๆ แล้วอาหารรัสเซีย เป็นอาหารที่อุดมด้วยโภชนาการ วิธีการทำง่าย และไม่ต้องมีเครื่องปรุงใดๆ ส่วนประกอบหลักมาจากธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวโอท ข้าวฟ่าง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี โดยมีขนมปังเป็นอาหารหลัก และที่นิยมทานกัน คือ ปลา เนื้อ และเบอร์รี ชาวรัสเซียชอบทานผักสลัดราดซอสเปรี้ยว เครื่องเทศที่นิยมกันมาก คือ อบเชย กานพลู พริกไทย และหอมหัวใหญ่ อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ คือ มันฝรั่ง [caption id="attachment_140756" align="alignnone" width="100%""] แต่ละเมืองจะมีอนุสรณ์รูปปั้นเลนิน ตั้งอยู่่ รูปที่เห็นด้านหลังเป็นโรงละครขนาดใหญ่ สวยงาม เก่าแก่[/caption] โนโวซีบีร์สค์ เป็นเมืองสำหรับแวะพักบนเส้นทางเดินรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียอันมีชื่อ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำออบ มีน้ำพุลอยอยู่บนผิวน้ำ มาเรียนรู้ประวัติการก่อตั้งเมืองได้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์รถไฟไซบีเรียตะวันตก โนโวซีบีร์สค์มีชื่อเสียงเล่าลือด้านงานศิลป์ที่สร้างสรรค์ ส่วนโรงอุปรากรและโรงละครบัลเลต์ของเมืองได้รับการขนานนามไว้ว่าเป็น โคลอสเซียมแห่งไซบีเรีย สวนสัตว์โนโวซีบีร์สค์ มีสัตว์ที่หลากหลายและโครงการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ [caption id="attachment_140778" align="alignnone" width="100%""] พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์รถไฟไซบีเรียตะวันตก[/caption] [caption id="attachment_140759" align="alignnone" width="100%""] ผู้บริหารจาก บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และคณะสื่อมวลชน ถ่ายรูปที่ระลึกร่วมกัน[/caption] [caption id="attachment_140760" align="alignnone" width="100%""] พิพิธภัณฑ์รถไฟ ที่รวบรวมรถไฟทั้งเก่า/ใหม่ ของจริง เอาไว้ให้ได้เดินชมและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก[/caption] วันแรก โนโวซีบีร์สค์-ออมสค์ 700 กม. คาราวานมุ่งหน้าออกจากเมืองโนโวซีบีร์สค์ สู่เมืองออมสค์ ระยะทาง 700 กม. ล้อหมุนจากโรงแรมประมาณ 8.30 น. (เวลาเดียวกับบ้านเรา) เราได้รถ มาซดา ซีเอกซ์-3 2.0 เอสพี รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ตัวทอพ เป็นพาหนะพร้อมผู้ร่วมเดินทางอีก 3 ท่าน ช่วงเช้าเราข้ามผ่านแม่น้ำออบ แม่น้ำสายหลักของเมืองโนโวซีบีร์สค์ เราได้รับแจ้งเรื่องการจำกัดความเร็วในเมือง และห้ามแซงในเส้นทึบเด็ดขาด คนที่นี่ใช้รถอย่างค่อนข้างมีวินัย การจราจรส่วนใหญ่จะขับตามๆ กัน ขาเข้าเมือง ช่วงเช้าเหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป มีรถเดินทางเข้ามาทำงานในเมืองเยอะ การจราจรติดขัดพอสมควร [caption id="attachment_140769" align="alignnone" width="720"] เส้นทางบางช่วงยังไม่มีหิมะตก แดดออก ฟ้าใส สวยงาม ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น[/caption] ตามกำหนดการ เราจะวิ่งไปประมาณ 280 กม. ก่อนจะแวะทานอาหารกลางวัน ที่เมืองบาราบินสค์ ขับออกจากเมืองมาประมาณ 30 กม. สภาพถนนเริ่มเปลี่ยนเป็นเลนสวน ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เพราะเราต้องขับชิดซ้ายแซงขวา แต่รถที่เราขับเป็นรถพวงมาลัยขวาที่มาจากเมืองไทยทุกคัน จึงต้องระมัดระวังพิเศษ ในขณะที่รถสวนมามีปริมาณค่อนข้างเยอะ ทิวทัศน์สองข้างทาง ดูเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของประเทศทางแถบนี้ ที่มีพื้นที่กว้างขวาง แต่ละเมืองตั้งอยู่ค่อนข้างไกล ฝั่งขวาของถนนจะเป็นทางทิศเหนือ ส่วนใหญ่จะไม่มีคนอยู่อาศัยเพราะสภาพอากาศเหมือนกับขับขึ้นไปขั้วโลก อุณหภูมิจะลดต่ำลงเรื่อยๆ ระหว่างเส้นทางจะพบเห็นปั๊มน้ำมันน้อยมาก [caption id="attachment_140812" align="alignnone" width="100%""] ระหว่างทาง แวะพักชั่วคราว พื้นสีขาวที่เห็นเป็นหิมะที่ยังเกาะตัวอยู่ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นบีโรซา แลเะต้นสนสวยงาม[/caption] [caption id="attachment_140815" align="alignnone" width="100%""] ขับรถเที่ยวรัสเซีย ควรหาปั๊มน้ำมันที่ได้มาตรฐาน เพื่อความมั่นใจ[/caption] [caption id="attachment_140814" align="alignnone" width="100%""] ตัวเลขบนตู้แสดงค่าออคเทน ราคาน้ำมันที่นี่ไม่แพง ตัวเลขต่อลิตร โดยประมาณนำมาหารด้วย 1.8 ได้ราคาเป็นเงินบาท ถูกกว่าน้ำมันบ้านเราเยอะ[/caption] การเลือกเติมน้ำมันที่นี่ ควรเติมในปั๊มใหญ่ที่มีมาตรฐานเท่านั้น เพราะรถของเราหลายคันในทริพนี้เจอปัญหาเรื่องของคุณภาพน้ำมัน เกิดอาการเครื่องเขกในรอบต่ำ เนื่องจากค่าออคเทนไม่ถึงกำหนด ถังถัดไปเราจึงเลือกเติมปั๊มน้ำมันที่มีมาตรฐาน และใช้เฉพาะออคเทน 98 แทน ไม่นานเครื่องยนต์ก็กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง บ่ายแก่ๆ เราเดินทางถึงที่หมาย สภาพอากาศอุ่นขึ้น 3 องศาเซลเซียส ก่อนถึงเมืองออมสค์ อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ลงมาติดลบ 3 องศาเซลเซียส พื้นที่ที่มีแสงแดดส่องผ่านกลายเป็นหมอกหนาทึบ และไอหนาวเย็นจากหิมะ เพียงเวลาไม่กี่นาที อุณหภูมิในแถบนี้ช่วงหนาวจัดติดลบ 25-30 องศาเซลเซียส เลยทีเดียว [caption id="attachment_140773" align="alignnone" width="100%""] เป็นช่วงที่เจอกับสภาพฝนหิมะตกลงมาค่อนข้างหนัก ถนนลื่น แต่เราก็ได้ระบบความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมของรถคอยช่วยไว้[/caption] ออมสค์ เป็นเมืองค่อนข้างเงียบ มีถนนหลักสายใหญ่อยู่เพียงสายเดียวที่ทันสมัย มีร้านค้า และร้านอาหารอีกมากมาย แล้วยังมีรูปปั้นหลากหลายให้ถ่ายรูป หลายที่ด้วยกัน ในไซบีเรีย ออมสค์เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากโนโวซีบีร์สค์ แถบเทือกเขายูรัล พื้นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของสหพันธรัฐรัสเซีย ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถไปชายแดนคาซัคสถาน เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ใกล้กว่าไปมอสโกว์ เมืองหลวงหลายเท่าตัวเลย โบสถ์ใหญ่ใจกลางเมืองที่เราต้องเดินผ่านและเป็นโบสถ์สำคัญใหญ่ที่สุดของเมือง ชื่อว่า Assumption Cathedral สร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าซาร์นิโคไล (นิโคลัส) เมื่อปี 1891 ในช่วงที่กำลังสร้างทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย [caption id="attachment_140818" align="alignnone" width="100%""] ร้านอาหารบริเวณปั๊ม ใช้เป็นจุดแวะพักกลางวัน ด้านในขายอาหารเป็นเซท เลือกได้ตามใจชอบ[/caption] มีรูปปั้นเลนิน ผู้นำแนวคิดคอมมิวนิสต์ และรูปปั้นของดอสโตเยฟสกี นักเขียนชื่อดังของรัสเซีย เจ้าของงานเขียนชื่อดัง "อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์" "พี่น้องคารามาซอฟ" ที่ถูกพระเจ้าซาร์นิโคไลที่ 1 เนรเทศ ในช่วงปี 1849-1854 ให้มาเป็นแรงงานในพื้นที่กันดารในเขตไซบีเรีย ซึ่งก็คือเมืองออมสค์แห่งนี้นั่นเอง วันที่ 2 ออมสค์-ตูย์เมน ระยะทาง 640 กม 8.30 น. ล้อหมุนออกจากโรงแรมในออมสค์ อุณหภูมิในช่วงเช้า ลดต่ำถึง -4 องศาเซลเซียส มีเกล็ดหิมะเล็กน้อย และคงอยู่ในช่วง -2 ถึง 0 องศาเซลเซียส ตลอดวัน จากออมสค์ ไปเมืองตูย์เมน ระยะทาง 640 กม. ออกจากเมืองมาจะเป็นถนน 4 เลนกว้าง ขับสบาย ระยะทางประมาณ 40 กม. เลยจากนี้ไปจะเป็นแบบ 2 เลน วิ่งสวนกันเหมือนเดิม คาราวานเริ่มทำความเร็วในช่วงออกนอกเมืองอีกครั้ง น้ำมันเบนซิน ออคเทน 98 ทำให้สมรรถนะเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 156 แรงม้า ให้กำลังจัดจ้านดี ระหว่างทางเริ่มมีบ้านเรือนของชาวบ้านที่อยู่ในชนบท มีอาชีพทำการเกษตร ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ขายแรงงาน ให้เห็นบ้าง สภาพบ้านค่อนข้างเก่าและยังไม่เจริญ วิวสองข้างทางยังเป็นพื้นที่ราบเหมือนเดิม ท้องทุ่งเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสลับกับหิมะปกคลุมให้ดูสวยงาม มีต้นบีโรซา และใบไม้เปลี่ยนสีสวยงาม ชั่วโมงเศษ คาราวานต้องเจอกับพายุหิมะ ที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง น้ำในบึงจับตัวเป็นน้ำแข็ง ถนนลื่นเปียกแฉะ เราหยุดแวะถ่ายรูปได้ชั่วครู่ก็ต้องรีบออกเดินทางกันต่อ เพราะหิมะตกลงมาเต็มพื้นที่อย่างต่อเนื่อง หลังจากออกเดินทางไม่นาน เรื่องน่าตื่นเต้นก็เกิดขึ้นกับรถของเรา จังหวะเร่งแซง รถบรรทุกหัวลาก เรากดคันเร่งคิคดาวน์ ก็เกิดอาการสลิพของล้อ เพราะถนนเต็มไปด้วยหิมะ เราต้องอาศัยประสบการณ์ เมื่อระบบป้องกันล้อหมุนฟรีทำงาน เราถอนคันเร่งเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เติมคันเร่งเพื่อแซงผ่าน ก่อนที่รถบรรทุกใหญ่จะมาถึงเพียงเสี้ยวนาที ยังดีที่ มาซดา ซีเอกซ์-3 มีระบบความปลอดภัยดีเยี่ยม ให้ตัวช่วยมาครบ ทั้งระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัว ดีเอสซี ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และระบบควบคุมการลื่นไถล ทำให้อาการสลิพล้อหมุนฟรีที่เกิดขึ้น เมื่อเจอกับสภาพถนนที่มีหิมะ สามารถแก้ไขกลับมาได้อย่างปลอดภัย คืนนี้เรามาถึงโรงแรมค่อนข้างมืด จากสภาพเส้นทางที่ต้องเผชิญกับพายุหิมะเป็นช่วงๆ และเจอกับถนนที่กำลังซ่อม และมีรถในพื้นที่ประสบอุบัติเหตุประปราย ตูย์เมน เป็นเมืองแรกที่ตั้งอยู่ในเขตไซบีเรีย มีชายแดนติดกับประเทศคาซัคสถาน เมืองนี้ยังเต็มไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแกส จากนั้นก็แผ่ขยายลงมาทางตะวันออก มีผู้คนเข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่ปี 1586 พื้นที่ติดกับแม่น้ำพูรา ช่วงอากาศร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 25-30 องศาเซลเซียส เราข้ามเส้นแบ่งเวลาอีกครั้ง โดยเวลาในเมืองนี้ ช้ากว่าเมืองออมสค์ 1 ชั่วโมง และช้ากว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง 330 กม. แรก เป็นจุดแวะพักทานอาหารกลางวัน หลังจากเติมน้ำมันให้เต็มถังอีกครั้ง เราต้องเผชิญกับพายุหิมะพักใหญ่ ถนนและข้างทางขาวโพลนไปหมด ดูน่าตื่นตาและตื่นเต้นมาก แต่ก็ต้องลดความเร็วและใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมาก วันที่ 3 ตูย์เมน-เยคาเตรินบุร์ก ระยะทาง 320 กม. พวกเราออกเดิน ช่วงสายประมาณ 9.30 น. อากาศหนาวเย็นแต่เช้า มีฝนหิมะตกลงมาทั่วเมือง ตูย์เมน เป็นเมืองขนส่งพลังงาน ทั้งแกส และน้ำมัน มีความเจริญค่อนข้างมาก โรงแรมที่พักทันสมัย การสื่อสาร การเชื่อมต่ออินเตอร์เนทรวดเร็วมาก เมืองขนาดใหญ่ดูเจริญหูเจริญตา รถวิ่งไป/มากันขวักไขว่ ผู้คนออกมาทำงานมากมาย เราเริ่มขับออกจากตูย์เมน มุ่งหน้าสู่เมืองเยคาเตรินบุร์ก ระยะทาง 320 กม. เราเดินทางเข้าสู่ความเจริญมากขึ้น กฎหมายจราจร มีความเข้มงวดสูงขึ้น ช่วงเช้าเราผ่านด่านตรวจ 2 ด่าน และถูกจับที่ด่านแรก ข้อหาแซงในเส้นทึบ ด่าน 2 เป็นด่านใหญ่ ผู้ขับรถทุกคันโดนเรียกให้เข้าไปรับทราบข้อมูล ข้อบังคับในการใช้รถใช้ถนนของรัสเซีย ประมาณ 10 นาทีก็ได้รับเอกสารมาอ่าน ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการใช้รถใช้ถนน และกฎหมายจราจรในรัสเซีย ก่อนออกเดินทางกันต่อ วันนี้เราขับรวดเดียวมาถึงเมืองเยคาเตรินบุร์กเลย 30 กม. ก่อนเข้าเมืองเริ่มเป็นถนน 6 เลน ขนาดใหญ่ มีป้อมตำรวจ หน้าป้อมเป็นฐานยิงจรวดด้วย เสียดายไม่สามารถถ่ายมาให้ชม เวลาประมาณ 15.30 น. เราเข้าถึงเมืองนี้เรียบร้อย ตกเย็นพวกเราออกมาเดินเยี่ยมชมเมืองแต่ก็ใช้เวลาไม่นานเพราะอากาศหนาวเย็นมาก ตกดึกอุณหภูมิประมาณ -4 ถึง -5 องศาเซลเซียส เราได้รับข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า เมืองนี้เป็นเมืองแรกของเขตวลาดิวอสตอค หลังจากที่เราขับอยู่ในเขตไซบีเรียมาหลายวัน เยคาเตรินบุร์ก เป็นเมืองของนักท่องเที่ยวผู้ใฝ่หาความรู้ เต็มไปด้วยห้องสมุด มหาวิทยาลัย โรงละคร และพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงบุคคลและสิ่งสำคัญต่างๆ เช่น ไมเคิล แจคสัน และแป้นพิมพ์ อาคารโรงละครสัตว์แห่งเยคาเตรินบุร์กที่สวยงาม มีลักษณะเป็นโดมที่มีลวดลายประดับประดาอย่างประณีต มีรูปทรงโค้ง จุผู้ชมได้ 2,600 คน วันที่ 4 เยคาเตรินบุร์ก-เปียร์ม 360 กม. 8.30 น. ออกเดินทางไปเข้าชมโบสถ์สำคัญในเมืองเยคาเตรินบุร์ก โบสถ์นี้บางคนเรียกกันว่า โบสถ์เลือด เนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระเจ้านิโคลัสที่ 2 พร้อมครอบครัว โดนจับมาขังอยู่ในห้องใต้ดิน บริเวณนี้ ก่อนที่จะถูกสังหารทั้งครอบครัว ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดการปกครองในระบอบกษัตริย์ ก่อนที่จะเปลี่ยนการปกครองเป็นมาร์ซิสม์เต็มตัว นอกจากนี้เรายังเดินทางไปถ่ายรูปกับรูปปั้น บอริส เยลต์ซิน อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งเกิดที่เมืองนี้ [caption id="attachment_140833" align="alignnone" width="100%""] รูปปั้น บอริส เยลต์ซิน อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งเกิดที่เมืองนี้[/caption] [caption id="attachment_140835" align="alignnone" width="100%""] โบสถ์สำคัญในเมืองเยคาเตรินบุร์ก โบสถ์นี้บางคนเรียกกันว่า โบสถ์เลือด[/caption] [caption id="attachment_140831" align="alignnone" width="100%""] เส้นทางออกและเข้าตัวเมืองแทบทุกเมือง จะเป็นถนน 4 เลน ซูเพอร์ไฮเวย์ ระยะทางประมาณ 30 กม.[/caption] หลังจากเสร็จสิ้นการเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ แล้ว คาราวาน มาซดา สกายแอคทีฟ มุ่งหน้าสู่เมืองเปียร์ม เปียร์ม เป็นเมืองหน้าด่านไซบีเรีย มีประชากรอยู่ประมาณ 1 ล้านคน อยู่ติดกับเทือกเขายูรัล ฝั่งยุโรป เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ กำเนิดขึ้นในปี 1723 มีเพียงหมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้โรงงาน ชื่อเมืองเปลี่ยนเป็นโมโลโตฟ เพื่อเป็นเกียรติแก่รัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียต ที่ลงนามในสนธิสัญญายุติความรุนแรงกับกองทัพนาซีเยอรมนี ในปี 1939 มีพิพิธภัณฑ์หอภาพสเตท จัดแสดงภาพยุคศตวรรษที่ 16-19 ออกจากเมืองไปไม่ไกล ประมาณ 45 กม. จะมีพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมชาติพันธุ์ ที่โคคโลฟกา ตั้งอยู่ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงชีวิตชาวชนบท ยุคก่อนศตวรรษที่ 20 มีคุกและค่ายกักกันของโซเวียตชื่อ กูลัก จัดตั้งเพื่อกักขังและทารุณผู้ที่เป็นศัตรูกับรัฐ ส่วนใหญ่ขังนักโทษคดีการเมือง พวกวิจารณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์ จะถูกขังอยู่ที่นี่ทั้งหมด และยังมีนักโทษที่ถูกขังลืมอย่างทุกข์ทรมาน (ในปี 1917-1988) PERM-36 เป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการตามชื่อเมือง และเมืองนี้ยังมีชื่อเรียกติดปาก คือ กูลัก ปี 1929-1953 มีนักโทษที่นี่มากกว่า 14 ล้านคน เกือบครึ่งเสียชีวิตในคุก วันที่ 5 เปียร์ม-คาซาน 590 กม. ล้อหมุนจากโรงแรม ประมาณ 8.30 น. สภาพถนนออกจากตัวเมือง มี 4 เลน ยาวประมาณ 30 กม. จากนั้นเป็นเลนสวน เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองคาซาน ระยะทางไปมอสโกว์ ประมาณ 1,400 กม. ประมาณ 350 กม. เราแวะทานอาหารเที่ยงริมทาง หลังจากอิ่มท้อง เราออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าสู่เมืองคาซาน ทริพนี้ผู้นำทางเลือกขับไปเส้นทางสายเก่า มีระยะทางสู่เมืองคาซานใกล้กว่าเล็กนัอย สภาพเส้นทางเป็นเส้นทางทรุดโทรมทางโคลน รถแทบวิ่งไม่ได้ ยังดีที่เราพอเห็นรถยนต์ ลาดา เจ้าถิ่น วิ่งสวนมาบ้าง ทำให้เรามั่นใจลึกๆ ว่าพวกเราต้องผ่านไปได้ อีกใจหนึ่งก็หวั่นว่ารถจะติดหล่มติดโคลน [caption id="attachment_140840" align="alignnone" width="100%""] ทางสายเก่ามุ่งหน้าเข้าเมือง สภาพถนนทรุดโทรม แต่ก็มีทางสายใหม่ มีระยะทางไกล ต้องขับอ้อมกว่า[/caption] ประมาณ 30 กม. พวกเราผ่านทางทุรกันดาร ซ้าย/ขวาเต็มไปด้วยโคลน คณะคาราวานต้องอาศัยประสบการณ์การขับรถผ่านร่องถนนตามรอยล้อที่พื้นพอจะแน่นอยู่ ค่อยๆ ลัดเลาะกันออกมา แม้ทางเรียบก็เจอกับหลุมและพื้นที่ยุบ ทรุดตัวอยู่ตลอด เราพยายามประคองรถเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ระบบรองรับของ มาซดา ซีเอกซ์-3 นั้นนุ่มและหนึบจริง แม้เจอกับถนนบัมพ์กระแทกตลอดเส้นทาง ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม พร้อมคอยล์สปริงและชอคอับ เพิ่มความมั่นใจด้วยระบบเบรค ด้านหน้าแบบจาน พร้อมช่องระบายความร้อน ด้านหลังแบบจาน พร้อมระบบเอบีเอส ทั้ง 4 ล้อ และระบบกระจายแรงเบรค อีบีดี จากร้านอาหารกลางวัน เราข้ามเส้นแบ่งเวลาอีกครั้ง ก่อนเข้ามากลายเป็นบวกเพิ่มอีก 2 ชั่วโมง รวมเป็น 4 ชั่วโมง เหมือนกับที่มอสโกว์ ช่วงค่ำๆ ขับเข้าเมือง การจราจรติดขัด ผู้คนในเมืองคาซานที่ใช้รถใช้ถนนอยู่ หันมายิ้มทักทายให้กับเรา พร้อมกับชี้นิ้วมาที่รถคันนี้ และยกนิ้วโป้ง กด LIKE เหมือนชื่นชมในความสวยงามของการออกแบบ จากแนวคิด โคโดะดีไซจ์น ที่แสดงออกถึงจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว ดูมีพละกำลัง สง่างาม และปราดเปรียว [caption id="attachment_140848" align="alignnone" width="100%""] อาคารที่พัก บ้านเรือน และถนน ในเมืองคาซาน สวยงาม ประชาชนอาศัยอยู่กันอย่างเป็นระเบียบ[/caption] คาซาน เป็นเมืองที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 3 ของรัสเซีย รองลงมาจากมอสโกว์ และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 1,015 ปี และเป็นเมืองที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาทางน้ำ ในปี 2015 และเจ้าภาพฟุตบอลโลก ปี 2018 เรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งการแข่งขันกีฬาอีกเมืองหนึ่งของโลก มีที่เที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง เช่น ป้อมปราการมรดกโลก คาซาน คเรมลิน ถนนการค้าและร้านอาหารเบาแมนสตรีท วัดของทุกศาสนา และพิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตโซเวียต เป็นเมืองที่ชาวมุสลิมอาศัยอยู่มาก มีมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ในเมืองนี้ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ชื่อดัง และยังเป็นศูนย์รวมของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง [caption id="attachment_140837" align="alignnone" width="100%""] สถานที่ราชการขนาดใหญ่ เป็นสถาปัตยกรรมที่ตกแต่งสวยงาม ตึกสีขาวเป็นกระทรวงเกษตร[/caption] วันที่ 6 คาซาน-นิชนี โนฟโกรอด ระยะทาง 390 กม วันนี้ล้อหมุนออกจากคาซาน ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ตรงกับเวลาในเมืองไทย บ่ายโมงพอดี ขบวนคาราวานแวะเที่ยวชมความสวยงามของคเรมลินแห่งคาซาน พระราชวังเก่าแก่ สมัยกษัตริย์ที่ 4 ปัจจุบันใช้เป็นโบสถ์ มัสยิด และสถานที่ราชการ จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพราะมีการออกแบบที่สวยงาม และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ [caption id="attachment_140847" align="alignnone" width="100%""] มัสยิดคุลซาริฟ (Qolsharif Mosque) ตั้งตระหง่าน ใน คเรมลินแห่งคาซาน[/caption] มัสยิดในเมืองคาซาน รวมทั้งหอคอย และปราสาทเก่าแก่ ที่มักจะเรียกกันว่า คเรมลินแห่งคาซาน มีแม่น้ำสายหลักไหลผ่าน เรียกว่าแม่น้ำโวลกา ประมาณ 11.30 น. คาราวานวิ่งออกจากเมืองคาซาน สู่เมืองนิชนี โนฟโกรอดระยะทางประมาณ 410 กม. วันนี้อุณหภูมิค่อนข้างอบอุ่นขึ้น ประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส สลับกับมีฝนตกเล็กน้อยในช่วงค่ำ การเดินทางค่อนข้างสบายเพราะวิ่งเข้าใกล้มอสโกว์มากแล้ว เราจะเห็นความเจริญของสภาพบ้านเรือนสองข้างทางมากขึ้น ขับมาไม่นานเราก็ถึงเส้นแบ่งเขต ที่สร้างขึ้นระหว่างทาง เป็นสัญลักษณ์กั้นระหว่างทวีปเอเชีย กับทวีปยุโรป ในรัสเซีย เราแวะถ่ายรูปที่ระลึกก่อนออกเดินทางต่อ [caption id="attachment_140834" align="alignnone" width="100%""] แวะถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกัน บริเวณเส้นกันระหว่างเอเชีย/ยุโรป[/caption] สภาพปั๊มน้ำมันระหว่างทาง เป็นครั้งแรกตลอดทริพที่เราเจอปั๊มที่มีห้องสุขาได้มาตรฐาน ก่อนหน้านี้แทบไม่เห็น หากท้องเสียจะยิ่งลำบาก ส่วนใหญ่จะอาศัยยิงกระต่าย หรือเด็ดดอกไม้ ตามข้างทางหรืออาศัยพื้นที่โล่งหลังปั๊ม กรณีถ่ายเบาเท่านั้น จะว่าไปแล้วเรื่องระบบสุขาภิบาลในประเทศนี้ยังล้าหลังมาก เทียบกับตัวเมืองขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบางเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่ถึง 1 ล้านคน ส่วนสภาพเส้นทางยังเป็นแบบถนน 4 เลนแยก และแบบ 2 เลนสวน [caption id="attachment_140815" align="alignnone" width="100%""] เข้าใกล้เมืองหลวง ปั๊มน้ำมันมีขนาดใหญ่และทันสมัยขึ้น มีห้องน้ำและมินิมาร์ท ไว้บริการ[/caption] นิชนี โนฟโกรอด เป็นเมืองในประเทศรัสเซีย มีประชากรประมาณ 1,250,615 คน เป็นเมืองใหญ่อันดับ 5 ของประเทศ ตั้งอยู่บนฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำโวลกา ตรงจุดบรรจบกับแม่น้ำโอคา และยังเป็นเมืองท่าในการขนส่งสินค้าที่สำคัญ สร้างขึ้นเมื่อปี 1221 โดยเจ้าชายยูรี เซียฟโวโลโดวิช ผนวกเข้ากับมอสโกว์ เมื่อปี 1392 มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในสมัยที่รัสเซียชนะบริเวณลุ่มแม่น้ำโวลกาตลอดช่วงกลางของคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นสถานที่เกิดของนักเขียนชื่อ แมกซิม กอร์กี เมืองนี้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น กอร์กี ตามนักเขียนผู้นี้ระหว่าง ปี 1932-1990 [caption id="attachment_140854" align="alignnone" width="100%""] มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง ความเจริญเข้าถึง สองข้างทางยังเต็มไปด้วยธรรมชาติสวยงาม[/caption] [caption id="attachment_140850" align="alignnone" width="100%""] เราเริ่มผ่านจุดตรวจและด่านตรวจมากขึ้นเมื่อเข้าใกล้เมือง[/caption] [caption id="attachment_140855" align="alignnone" width="100%""] ป้ายบอกระยะทางเข้าสู่มอสโกว์ ให้ตรงไป 73 กม. อีกไม่ไกลแล้ว[/caption] วันสุดท้าย นิชนี โนฟโกรอด-ปลายทางมอสโกว์ 450 กม. ล้อหมุนออกจากเมืองเวลา 8.30 น มุ่งหน้าสู่มอสโกว์ จุดหมายปลายทางของทริพนี้ ฝนตกลงมาต้อนรับเราตั้งแต่ขับออกจากโรงแรม ตลอดช่วงเช้า เราจึงต้องขับกันอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ยังดีที่เราขับเข้ามอสโกว์ ซึ่งเป็นเมืองหลวง เส้นทางแบบรถวิ่งสวนเลน มีไม่น่าจะเกิน 20 % ของระยะทางทั้งหมด ระหว่างเมืองเราเริ่มเห็นปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ แบบมีห้องน้ำทันสมัยไว้บริการ รวมถึงมีนีมาร์ท ร้านค้า ซึ่งต่างจากเมืองอื่นๆ ค่อนข้างมาก เราพักทานอาหารกลางวัน ก่อนล้อหมุนกันต่อ ช่วงนี้ฟ้าฝนเริ่มเป็นใจกับเราเพราะฝนที่ตกลงมาในช่วงเช้าหยุดสนิทแล้ว มีเพียงฟ้าที่ยังขมุกขมัว มืดครึ้ม สองข้างทางยังเป็นต้นไม้บีโรซา และสน มากมาย รวมถึงทุ่งโล่งกว้างในการทำการเกษตร เราต้องทำความเร็วมากขึ้นเพื่อมุ่งหน้าสู่มอสโกว์ ให้ทันเวลาถ่ายรูปที่ วิหารเซนต์บาซิล ในช่วงเย็น เพราะเข้าเมืองต้องเจอกับปัญหาการจราจรติดขัด แต่ผู้คนใช้รถใช้ถนนกันอย่างมีวินัย ไม่นานเราก็เดินทางถึงจัตุรัสแดง 17.30 น. ตามกำหนดการ ด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมกับถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางของเส้นทางประวัติศาสตร์ มองโกเลีย-รัสเซีย ของ มาซดา สกายแอคทีฟ ครอสส์โอเวอร์ มอสโกว์ เป็นเมืองหลวงของประเทศรัสเซีย เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 850 ปี ตั้งแต่สมัยรัสเซียเก่า นำโดย เจ้าชายยูรี โดลโกรูกี ปี 1147 อาณาจักรมัสโกไวต์ แผ่ขยายในศตวรรษที่ 15-16 ปกครองโดย พระเจ้าอีวานที่ 3 และ 4 ต้นศตวรรษที่ 18 พระเจ้าปีเตอร์มหาราช ได้ย้ายเมืองหลวงมายังเซนปีเตอร์สเบิร์ก ในปี 1918 แต่สุดท้ายกรุงมอสโกว์ ได้กลายเป็นเมืองหลวงของสหภาพโซเวียต อีกครั้งในปี 1993 เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย มอสโกว์ เป็นเมืองน่าเที่ยวมากเมืองหนึ่ง มีสถาปัตยกรรมสวยงามมากมาย เรามีเวลา 3 ชั่วโมงในช่วงเช้า เพื่อแวะเที่ยวชมของสวยงามของเมืองนี้ จุดแรกที่เราไป คือ วิหารเซนต์บาซิล สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าอีวานที่ 4 (มหาราช) ในศตวรรษที่ 16 ตามประสงค์ของพระองค์ เพื่อฉลองชัยในการรบชนะพวกตาตาร์ ในอัสตราคาน และคาซาน หลังจากสร้างเสร็จก็จัดการควักลูกตาทั้ง 2 ข้าง ของนักออกแบบออก เพื่อไม่ให้ไปออกแบบวิหารได้อีก และมีที่นี่แห่งเดียวที่สวยที่สุด ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสแดง มีหลังคายอดสูง และมีโดมทรงหัวหอมทั้งหมด 9 หัว สีสันสวยงามขนาดเล็ก/ใหญ่แตกต่างกันไป [caption id="attachment_140888" align="alignnone" width="100%""] วิหารเซนต์บาซิล สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าอีวานที่ 4 (มหาราช)[/caption] พิพิธภัณฑ์แห่งชาติรัสเซีย ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสแดง เยื้องๆ กับสุสานเลนิน ภายในเป็นที่จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ สมัยโบราณยุคมัสโกไวต์ เคียฟ ก่อสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ภายในมีงานแสดงมากกว่า 4.5 ล้านชิ้น มีหนังสือเอกสารเล่าความเป็นมามากกว่า 15 ล้านชิ้น เป็นที่เก็บเอกสารโบราณ อายุกว่า 5,000 ปี [caption id="attachment_140869" align="alignnone" width="100%""] พิพิธภัณฑ์แห่งชาติรัสเซีย[/caption] สุสานเลนิน ตั้งอยู่ระหว่างหอคอยนิโคลสกายา และเชนัตสกายา สร้างขึ้นในปี 1930 โดยชูเชฟ ภายในโรงแก้วบรรจุร่างอาบน้ำยาของเลนิน ไว้ให้ชาวรัสเซียและนักท่องเที่ยวได้เข้ามาชม นอกจากนี้ระหว่างหอคอยทั้งสองนี้ยังเป็นที่ฝังศพรัฐบุรุษ และผู้นำทางทหาร รวมทั้งบุคคลสำคัญต่างๆ ด้วย พระราชวังคเรมลิน พระราชวังคเรมลิม สัญลักษณ์และสถานที่ท่องเที่ยวในมอสโกว์ และรัสเซีย เป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์ และที่พำนักของประธานาธิบดีรัสเซีย ได้รับการขึ้นทะเบียน UNESCO เพื่อเป็นมรดกโลก และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนทั่วโลกนิยมมาเที่ยวชม พระราชวังคเรมลิม ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมๆ กับเมืองมอสโกว์ และเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมต่างๆ ของชาวรัสเซีย โดยพระเจ้าอีวานที่ 3 ซึ่งได้รับการขนานนามว่า มหาราช เป็นผู้วางรากฐานกฎระเบียบต่างๆ ให้กับรัสเซีย ภายในมีโบสถ์อัสสัมชัญ หอระฆังพระเจ้าอีวานที่ 3 ซึ่งเป็นหอระฆังที่สูงที่สุดในโลก [caption id="attachment_140866" align="alignnone" width="100%""] จุดโยนเหรียญเสี่ยงทายเก่าแก่ หน้าวิหารเซนต์บาซิล[/caption] [caption id="attachment_140867" align="alignnone" width="100%""] ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง หน้าพระราชวังคเรมลิน เล่ากันว่านักท่องเที่ยวที่มา ต้องมากินไอศครีมที่นี่เพื่อแสดงว่ามาถึงที่นี่แล้ว[/caption] [caption id="attachment_140878" align="alignnone" width="100%""] รูปปั้นในสถานีรถไฟใต้ดิน ชาวรัสเซียนิยมเดินมาจับบริเวณปากสุนัข ในความเชื่อว่าจับแล้วจะโชคดี[/caption] [caption id="attachment_140882" align="alignnone" width="100%""] ภาพมุมสูงของชานชาลา[/caption] [caption id="attachment_140886" align="alignnone" width="100%""] บันไดเลื่อนที่สูงและยาวมาก อยู่ในสถานีรถไฟใต้ดิน กรุงมอสโกว์[/caption] [caption id="attachment_140887" align="alignnone" width="100%""] รถไฟฟ้า ที่ดูมีเอกลักษณ์ชัดเจน[/caption] [caption id="attachment_140883" align="alignnone" width="100%""] สถาปัตยกรรมอันสวยงาม ในสถานีรถไฟฟ้า เชื่อกันว่าที่นี่มีเพดานของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่สวยมากที่ีสุดแห่งหนึ่ง[/caption] [caption id="attachment_140880" align="alignnone" width="100%""] ถ้าไม่มีล่าม ต้องอาศัย Google แปลภาษา หากจะเดินทางด้วยรถไฟฟ้า เพราะมีสิทธิ์หลง ![/caption] การเดินทางของ มาซดา สกายแอคทีฟ ครอสส์โอเวอร์ ระยะทางรวมกว่า 6,500 กม. จากเมืองอูลันบาตาร์ ประเทศมองโกเลีย ถึงมอสโกว์ สหพันธรัฐรัสเซีย ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งและสมรรถนะรถยนต์ครอสส์โอเวอร์ มาซดา ซีเอกซ์-3 และซีเอกซ์-5 เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ว่าสามารถฝ่าเส้นทางสมบุกสมบันภายใต้อุณหภูมิติดลบ หนาวสุดขั้ว ได้อย่างสบาย ขอขอบคุณ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ทรานซ์เอเชียรูท จำกัด ผู้นำทางมืออาชีพตลอดทริพ
เรื่องโดย : ณัฐเวช ยอดแสง
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : เรื่องน่ารู้
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/140755