เรื่องน่ารู้
5 เส้นทางขับรถเที่ยว...ใกล้กรุง
การขับรถคันรักท่องเที่ยวบนเส้นทางใหม่ๆ เป็นกิจกรรมที่คนรักรถอย่างเรามีความสุขที่สุด โดยเฉพาะกับวันหยุดยาวแบบนี้ "autoinfo.co.th" ขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแปลกๆ ใกล้กรุง ที่สามารถขับรถไปสนุกกันได้ทั้งครอบครัว
1. “เฉลิมบูรพาชลทิต” เสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย บนถนนสายฮิพ
เมื่อพูดถึงถนน "เฉลิมบูรพาชลทิต" เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเป็นถนนสายฮิพเลียบชายทะเลที่ลัดเลาะอ่าวไทย ตั้งแต่ อ. แกลง จ. ระยอง ไปจนถึง อ. ขลุง จ. จันทบุรี ผ่านแหล่งท่องเที่ยวมากมาย แถมยังลดระยะเวลาเดินทางได้มาก
ลัดเลาะอ่าวไทย ระยอง-จันทบุรี
ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต เริ่มต้นจากวงเวียนสุนทรภู่ ใน อ. แกลง จ. ระยอง และไปสิ้นสุดที่ อ. ขลุง จ. จันทบุรี ระยะทางรวมทั้งสิ้นประมาณ 80 กม. ใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชม. ย่นระยะเวลาได้มาก ขนาบข้างด้วยเส้นทางเฉพาะสำหรับนักปั่นจักรยานที่สร้างไว้อย่างดีตลอดเส้นทาง เสน่ห์ของถนนสายนี้ อยู่ตรงทัศนียภาพที่สวยงามลัดเลาะชายทะเลเป็นระยะๆ
อ่าวคุ้งวิมาน ตระการตาจุดชมวิว
อ่าวคุ้งวิมานอยู่ในเขต อ. นายายอาม เป็นหาดทรายยาว เหมาะแก่การพักผ่อน มีจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของภาคตะวันออก ชื่อว่า “เนินนางพญา” เป็นเนินเตี้ยๆ ยื่นออกไปในทะเล บนเนินนางพญาจะมองเห็นทัศนียภาพวิวสวยๆ ของทะเลเมืองจันท์
ทั้งยังมีที่ชมวิวอีก 1 แห่ง เรียกว่า จุดชมวิวพระยืน เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอ่าวคุ้งวิมาน
หาดเจ้าหลาว แหล่งท่องเที่ยวดังแห่งเมืองจันทบุรี
หาดเจ้าหลาว เป็นชายหาดที่อยู่ใกล้กับอ่าวคุ้งกระเบน มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นชายหาดยอดนิยมที่นักเดินทางรู้จักกันดี จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของจันทบุรี เพราะเด่นด้านความสวยงามในบรรยากาศเงียบสงบ
ร่มรื่นด้วยทิวมะพร้าว หาดทรายเป็นสีแดงละเอียด ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษ กิจกรรมทางน้ำนอกจากเล่นน้ำชายหาด ยังมีบานานาโบท และดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งเพียง 2 กม. ทั้งยังมีเรือท้องกระจกให้บริการอีกด้วย
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางพิเศษมอเตอร์เวย์ (7) ผ่าน อ. บ้านบึง (344) และ (3471) เพื่อเข้า อ. แกลง จากนั้นวิ่งตรงเข้าเมืองแกลง เข้าเส้นเลียบริมทะเล (3145) อีก 80 กม. ก็ถึงถนนเฉลิมบูรพาชลทิต
เส้นทางนี้เป็นการเปิดโลกทัศน์แห่งการเดินทางสายใหม่ ที่มีวิวสวยงามลัดเลาะชายฝั่งอ่าวไทย ซึ่งรอคอยนักเดินทางอีกหลายคนให้ได้ไปลองชมทัศนียภาพสวยๆ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 3 ชม. เท่านั้น
2. "สมุทรสงคราม" สัมผัสความสุขแบบพื้นบ้าน
สมุทรสงคราม แหล่งอารยธรรมแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ไม่เคยจางหาย นอกจากตลาดน้ำอัมพวาที่โด่งดังแล้ว ยังมีตลาดน้ำท่าคา ตลาดน้ำเล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ที่เราอยากให้ไปสัมผัส
ตลาดน้ำท่าคา
สมัยก่อนตลาดแห่งนี้ 1 เดือนจะเปิดแค่ 6 วันเท่านั้น เฉพาะในวันขึ้น หรือแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ และ 12 ค่ำ (วันที่น้ำขึ้นสูง) แต่ปัจจุบันเปิดทุกๆ วันเสาร์-อาทิตย์ และวันที่น้ำขึ้นสูง ตั้งแต่ 8 โมง ไปจนถึงประมาณบ่าย 3 โมง ตลาดน้ำแห่งนี้ยังคงความเป็นธรรมชาติของวิถีชีวิตชาวบ้านอย่างสมบูรณ์
เมื่อตลาดเปิด ชาวบ้านจะพายเรือนำผลผลิตจากสวนของตัวเองมาขาย เช่น พริก หอม กระเทียม น้ำตาลปึก มะพร้าว ส้มโอ กล้วย ฯลฯ ด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง เหมือนมาพบปะพูดคุยกันเสียมากกว่า ราคาสินค้าเกือบทุกอย่างจึงถูกมาก
ดอนหอยหลอด
ดอนหอยหลอด เป็นสันดอนปากน้ำแม่กลอง เกิดจากการตกตะกอนของดินปนทราย เป็นที่อยู่ของหอยหลายชนิด เช่น หอยลาย หอยแครง แต่มีมากสุด คือ หอยหลอด โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ของทุกปี
การจับหอยต้องจับในช่วงที่น้ำลงจนแห้ง โดยใช้ไม้เล็กๆ เท่าก้านธูป จุ่มปูนขาว แล้วแทงไปในรูหอยหลอด ถ้าโดนตัว หอยจะเมาปูนแล้วโผล่ขึ้นมาให้เราจับ นอกจากการจับหอยแล้ว ยังมีร้านอาหารทะเลสดๆ รวมถึงร้านอาหารทะเลที่ชาวบ้านแปรรูปมาให้เลือกซื้ออีกมากมาย ในราคาไม่แพง
ตลาดหุบร่ม
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาด คือ “ตลาดหุบร่ม” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ตลาดเสี่ยงตาย ! มีลักษณะเหมือนตลาดสดทั่วไป แต่วางขายชิดรางรถไฟ ที่สำคัญรถไฟใช้วิ่งอยู่ทุกวันด้วย
ด้วยความที่พ่อค้าแม่ค้าวางสินค้าบนพื้นจนกินเนื้อที่บนรางรถไฟ ทันทีที่ได้ยินเสียงหวูด พ่อค้าแม่ค้าก็ต้องรีบหุบร่ม และเก็บสินค้าของตัวเองให้เร็วที่สุด เร็วมากจนกลายเป็นเสน่ห์ที่ชวนสัมผัสประจำถิ่นนี้ไปแล้ว ส่วนเวลาที่รถไฟวิ่งผ่านนั้นเพียงวันละประมาณ 6 รอบ สามารถเชคตารางเวลาได้ที่นี่ ตารางเดินรถไฟ
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนธนบุรี-ปากท่อ (35) ถึงหลัก กม. ที่ 65 ใน อ. สมุทรสงคราม ถ้าเลี้ยวซ้ายไปอีก 2 กม. จะถึงดอนหอยหลอด แต่ถ้าเลี้ยวขวาไป 1 กม. เข้าตัวเมืองสมุทรสงคราม และตลาดหุบร่ม ส่วนตลาดท่าคานั้นให้เลยตัวเมืองไปประมาณ 40 กม. ตามทางหลวง 325
นอกจากนี้ ถ้าสังเกตบริเวณริมแม่น้ำแม่กลองตอนกลางคืน จะพบ “นักตกกุ้ง” จอดเรือตกกุ้งริมตลิ่ง ในเรือมีแสงไฟจากตะเกียงแกส พร้อมคันเบ็ดไม้ไผ่เรียงรายอยู่หลายคัน ด้านข้างมีกระชังใส่กุ้งสีฟ้า เป็นวิถีชาวบ้านที่แค่ได้มองก็มีความสุขแล้ว
3. "สระแก้ว" แหล่งอารยธรรมน่าทึ่ง
สระแก้วเป็นจังหวัดใหม่ ที่แยกจากปราจีนบุรี เมื่อประมาณ 30 ปี ตั้งอยู่ติดชายแดนไทยด้านตะวันออก มีแหล่งโบราณสถาน และโบราณวัตถุที่สำคัญหลายแห่ง มีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และถือเป็นประตูบานใหญ่ สู่ราชอาณาจักรกัมพูชา
ปราสาทสด๊กก๊อกธม
ปราสาทสด๊กก๊อกธม เป็นโบราณสถานขอมที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ตั้งอยู่ที่บ้านหนองเสม็ด ต. โคกสูง อ. ตาพระยา จ. สระแก้ว สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 15-16 เพื่อใช้ประดิษฐานรูปเคารพ และใช้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อในลัทธิศาสนาฮินดู ปราสาทแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประกอบไปด้วยองค์ปราสาท 3 หลัง มีคูน้ำล้อม 4 ด้าน และมีกำแพงแก้ว 2 ชั้น โดยชั้นนอกทำด้วยศิลาแลง ชั้นในทำด้วยหินทราย ปราสาทองค์ประธานอยู่ในสภาพปรักหักพัง
ละลุ
แหล่งท่องเที่ยวหนึ่งใน Unseen Thailand ที่สวยงามไม่แพ้ “แพะเมืองผี” นั่นก็คือ “ละลุ” หรือในภาษากัมพูชา แปลว่า ทะลุ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการพังทลายของดิน และหินทราย จากการกัดเซาะของน้ำฝน จนเกิดเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ คล้ายกำแพงเมือง หน้าผา และดอกเห็ด ละลุ มีเนื้อที่กว้างใหญ่กว่า 2,000 ไร่ นักท่องเที่ยวสามารถชม ละลุ ด้วยการนั่งรถอีแต๋น ที่ชาวบ้านในชุมชนเตรียมไว้บริการ ลัดเลาะไปตามท้องทุ่งจนถึงตัว ละลุ
อ่างเก็บน้ำพระปรง
อ่างเก็บน้ำพระปรง หนึ่งในโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ถือเป็นแหล่งพักผ่อนคลายร้อนของคนในจังหวัด ด้วยความที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าในเขตอุทยานแห่งชาติปางสีดา เมื่อถูกน้ำท่วมจากการสร้างอ่าง จึงเกิดเกาะกลางน้ำต่างๆ มากมาย ทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงาม ยังเป็นแหล่งอาศัยปลาน้ำจืดนานาชนิด และนกน้ำสายพันธุ์หายากต่างๆ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารเมนูปลารสชาติอร่อยอีกมากมาย ในราคาที่ย่อมเยา
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางพิเศษมอเตอร์เวย์ (7) มุ่งสู่ภาคตะวันออก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า จ. ฉะเชิงเทรา (314) ผ่าน อ. พนมสารคาม (304) แล้วเลี้ยวขวา (359) มุ่งสู่ จ. สระแก้ว
เสน่ห์อีกอย่างของที่นี่ คือ การนั่งเรือชมทิวทัศน์ธรรมชาติ ตกปลา ดูนกป่า นกทุ่ง และนกน้ำ โดยเฉพาะนกน้ำขนาดใหญ่ที่หายากอย่าง นกงู หรือ นกอ้ายงั่ว ซึ่งอพยพมาจากประเทศออสเตรเลีย ในช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับเทศกาลดูนกน้ำของที่นี่อีกด้วย
4. "หุบป่าตาด" ป่าลึกลับ แห่งเมืองอู่ไท
อุทัยธานี จังหวัดทางภาคกลางตอนบนที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย หนึ่งในนั้น คือ “หุบป่าตาด” สถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand ของจังหวัด ดินแดนที่เสมือนหลุดเข้าไปในยุคจูราสสิค
แต่เดิมเคยเป็นถ้ำมาก่อน
ป่าแห่งนี้ ได้มีนักวิชาการสันนิษฐานไว้ว่า แต่เดิมเคยเป็นถ้ำมาก่อน แล้วเมื่อเปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน จึงทำให้เพดานของถ้ำถล่มลงมา กลายเป็นบ่อในหุบเขา ซึ่งมีจำนวน 2 ห้อง เนื้อที่รวมกว่า 2 ไร่ มีขอบบ่อสูงราว 150-200 ม. มีสภาพเป็นบ่อกลางภูเขาที่ลึกมาก ต้นไม้สามารถขึ้นได้เฉพาะบางพันธุ์เท่านั้น เพราะมีข้อจำกัดเรื่องแสงแดดส่องถึง
บริเวณหุบเขานี้มีลักษณะคล้ายป่าดงดิบ และยังมีความชุ่มชื้นสูง แสงจะส่องถึงพื้นได้เฉพาะตอนเที่ยงวันเท่านั้น เป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่อุดมไปด้วย “ต้นตาด” หรือ “ต้นต๋าว” (Areaga Penata) พืชตระกูลปาล์ม มีใบเป็นแฉกแผ่สยายกว้าง ชอบขึ้นในพื้นที่ป่าดงดิบที่มีอากาศเย็นชื้นสภาพหนาทึบ ตาดออกลูกเป็นทลายเล็กๆ กลมๆ ลูกตาดกินได้
ชาวบ้านนิยมนำเนื้อในมาทำเป็นเหมือนลูกจาก หรือลูกชิด ใบนำไปทำเป็นไม้กวาด ส่วนยอดอ่อนนำไปต้มจิ้มน้ำพริก นอกจากต้นตาดแล้ว ที่นี่ยังพบพันธุ์ไม้หายากอื่นๆ อีก เช่น ต้นกระพง ยมหิน ยมป่า ต้นปอหูช้าง เต่าร้าง เปล้า คัดเค้าเล็ก เป็นต้น
ลอดอุโมงค์ ย้อนกาลเวลา
การเดินชมนั้นต้องใช้ไฟฉาย เพราะต้องผ่านถ้ำที่มืดสนิท ยาวเกือบ 100 ม. และทางเดินในหุบเขาอีก 600 ม. ภายในถ้ำมีอุณหภูมิที่เย็นราวกับเปิดแอร์ค้างไว้ พร้อมกลิ่นฉุนของขี้ค้างคาว ถ้าเราส่องไฟขึ้นไปตามผนังถ้ำ ก็จะพบกับค้างคาวมากมายห้อยหัวมองเราอยู่
ถ้ำนี้เปรียบเสมือนอุโมงค์เวลา เพราะถ้าพ้นถ้ำมาได้ จะพบหุบเขาเบี้องล่าง ที่เหมือนห้องโถงใหญ่ที่มีภูเขาหินปูนโอบล้อม และเต็มไปด้วยต้นตาดเบียดเสียดกันหนาแน่น ให้ความรู้สึกเหมือนว่าได้มาอยู่ในโลกยุคดึกดำบรรพ์ ชวนให้นึกถึงหนังเกี่ยวกับไดโนเสาร์โดยไม่รู้ตัว
เมื่อเดินตามทางเรื่อยๆ ก็จะไปสิ้นสุดบริเวณโพรงถ้ำ ที่มีลักษณะเป็นช่องประตูขนาดใหญ่ เดินทะลุถึงกันได้ ซึ่งถือเป็น “ไฮไลท์” ของที่นี่ เนื่องจากมีลักษณะของหินงอก หินย้อย ที่แปลกตา กระตุกต่อมจินตนาการได้มากมาย ทั้งหินรูปเต่ายักษ์ หินรูปหัวม้า หรือหินรูปกระปุกออมสิน แถมบางมุมที่มองออกจากโพรงถ้ำแล้วเจอต้นตาดที่แสงส่องมาถึงพอดี (ต้องมาตอนเที่ยงตรงเท่านั้น) ยังเป็นมุมมองหนึ่งที่สวยงามที่สุด ใครพกกล้องถ่ายรูป ไม่ควรพลาดการหามุมถ่ายรูปจากบริเวณนี้
การเดินทาง
มุ่งหน้าสู่ อ. ลานสัก ด้วยเส้นทางสายเอเชีย (32) ผ่านตัวเมืองอุทัยธานี เพื่อไปเข้าเส้นทาง 3438 สู่ อ. ลานสัก จากกรุงเทพฯ ใช้ระยะทางประมาณ 300 กม. ก็ถึง
หุบป่าตาด ยังมีสัตว์เลื้อยคลานที่หายากหนึ่งเดียวในไทย คือ “กิ้งกือมังกรสีชมพู” (Shocking Pink Millipede) สัตว์ที่ได้รับการประกาศให้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่อันดับ 3 ของโลก ซึ่งในประเทศไทยสามารถพบได้ที่หุบป่าตาดแห่งเดียวเท่านั้น
5. ชมสโตนเฮนจ์เมืองไทย ที่มอหินขาว
จังหวัดชัยภูมิ นอกจากมีทุ่งดอกกระเจียวในหน้าฝนที่กำลังจะถึงแล้ว ในช่วงฤดูร้อนอย่างนี้ ยังมีกลุ่มหินทรายทรงตั้งขนาดใหญ่ เจ้าของฉายา “สโตนเฮนจ์เมืองไทย” หรือ “มอหินขาว” ตั้งตระหง่านโดดเด่น ยิ่งถ้ามาเวลากลางคืนด้วยแล้ว จะเห็นดาวนับล้านส่องแสงระยิบระยับ ดั่งอยู่บนสรวงสวรรค์
มอหินขาว Unseen in Thailand
สำหรับคนที่ชอบมองท้องฟ้าและดวงดาว ควรหาโอกาสมาเยือนสถานที่แห่งนี้สักครั้ง “มอหินขาว” Unseen in Thailand อีกแห่งของไทย ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูแลนคา ต. ท่าหินโงม อ. เมือง จ. ชัยภูมิ ประกอบด้วยกลุ่มหินทรายสีขาวขนาดใหญ่วางเรียงรายกันดูคล้าย “สโตนเฮนจ์” ในประเทศอังกฤษ
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บอกว่า เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ที่สะสมทับถมดินตะกอนเป็นเวลาหลายล้านปี จนกลายเป็นหินรูปทรงแปลกตา ตามจินตนาการของผู้พบเห็น
ชุดกลุ่มหิน รูปทรงแปลกตา
มอหินขาว ประกอบไปด้วยประชากรกลุ่มหินหลายชุด กลุ่มหินชุดแรก คือ “เสาหิน 5 ต้น” ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ที่มีความโดดเด่นที่สุด อันเป็นสัญลักษณ์ของมอหินขาว ที่เราคุ้นเคยกันดีจากภาพโฆษณาของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แต่ละต้นมีความสูงประมาณ 12 ม. เสาหินที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่ากับ 22 คนโอบ
ถัดไปจะเป็นกลุ่มหินชุดที่ 2 และ 3 มีชื่อว่า หินโขลงช้าง และหินต้นไทร ตามลำดับ อยู่ห่างจากกลุ่มแรกประมาณ 500 ม. หินกลุ่มนี้เรียกว่า “ดงหิน” มีลักษณะเป็นแท่งหินทรงแปลกตา รูปร่างคล้ายโขลงช้าง, กระดองเต่า หรือรองเท้าบูท จากจุดนี้สามารถขึ้นไปชมวิวที่กว้างไกลสุดสายตาของที่นี่ได้
ถัดจากนี้อีก 1,500 ม. ก็ถึงจุดชมวิว “ผาหัวนาค” ที่จุดนี้เราจะได้ชมทิวทัศน์มุมสูงที่สวยงาม จากระดับน้ำทะเลปานกลาง 905 ม. ซึ่งหน้าผาหินบริเวณนี้ จะเป็นกลุ่มหินที่ยื่นออกไปเล็กน้อย ใครที่กลัวความสูง จะเสียวจี๊ดๆ ที่หัวใจทันที แต่ภาพที่เห็นเบื้องล่างต้องบอกเลยว่า คุ้มค่าจริงๆ
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางสาย 2 (มิตรภาพ) พอถึง อ. สีคิ้ว ให้เลี้ยวซ้ายสู่ จ. ชัยภูมิ (201) จนถึงตัวเมือง จากนั้นขับรถขึ้นเหนือไปอีก 20 กม. (2051) จะถึงน้ำตกตาดโตน ถ้าวิ่งต่อไปอีก 15 กม. ก็ถึง มอหินขาว ตลอดทางมีป้ายบอกชัดเจน
ใครคิดจะมานอนค้างแรมที่นี่ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมกันสักหน่อย เตรียมเทนท์ พร้อมอาหารมาเอง เนื่องจากที่นี่ไม่มีที่พักให้บริการ มีแต่ห้องน้ำเท่านั้น ถ้าใครข้องใจสงสัย สามารถสอบถามได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูแลนคา โทร. (044) 810 - 902-3
ABOUT THE AUTHOR
วิธวินท์ ไตรพิศ
ดูคุณพ่อจนขับรถได้ตั้งแต่ 8 ขวบ หลงใหลยานยนต์ จนได้วุฒิ Automotive Engineering ติดตัว ปัจจุบันเป็น บก.นักเขียน นักทดสอบรถ และ Instructor ที่พร้อมถ่ายทอดความรู้ แบบไม่มีกั๊ก !
ภาพโดย : ฝ่ายภาพ IMCคอลัมน์ Online : เรื่องน่ารู้