รัฐบาลญี่ปุ่น ประกาศรายชื่อบริษัทญี่ปุ่น ที่ต้องอยู่ในข้อบังคับใหม่เกี่ยวกับการมีต่างชาติเป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้น ซึ่งรวมทั้ง Toyota Motor Corp และ Sony Corp ร่วมกับบริษัทอื่นๆ 516 บริษัท ในแนวทางเดียวกับประเทศอื่นๆ อย่าง สหรัฐอเมริกา, ยุโรป ที่ต้องการสร้างความแข็งแกร่งทางอุตสาหกรรม ที่พิจารณาว่าเป็นไปเพื่อความมั่นคงของประเทศรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง รัฐบาลญี่ปุ่น ประกาศรายชื่อบริษัท 518 แห่ง จากรายชื่อบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่า 5.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ราว 3,800 บริษัท ที่ถือว่าการดำเนินการของบริษัทเป็นไปเพื่อความมั่นคงของประเทศ จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อบังคับ ที่ประกาศเพิ่มเติม ข้อบังคับใหม่นี้ ครอบคลุมการลงทุนของต่างชาติ ในอุตสาหกรรมที่เปราะบางของความมั่นคงประเทศ อาทิ น้ำมัน, รถไฟ, กิจการสาธารณูปโภค, กิจการทหาร, อวกาศ, พลังงานนิวเคลียร์, การบิน, โทรคมนาคม และการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยมีผลบังคับใช้ทันที การลงทุนจากต่างชาติ แม้จะเป็นเพียงการซื้อหุ้น 1 % จากบริษัทญี่ปุ่น ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง 12 ชนิด ดังกล่าว จะต้องผ่านการพิจารณาโดยพื้นฐานความมั่นคง โดยข้อบังคับใหม่นี้ กำหนดขึ้นเพื่อเร่งการลงทุนจากต่างชาติโดยตรง ในธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น และผ่านการตรากฎหมายในเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการป้องกันความปลอดภัยของประเทศ ในการครอบงำจากต่างชาติเพื่อมุ่งหวังความลับทางการค้า “เราได้อธิบายความตั้งใจของราให้ต่างชาติได้รับทราบ” Taro Aso รัฐมนตรีการคลัง ระบุว่า “ปัจจุบันเราแทบจะไม่ได้จำกัดการลงทุนจากต่างชาติเลย” นักวิเคราะห์กล่าวว่า การปรับปรุงข้อบังคับใหม่นี้ สืบเนื่องจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางอุตสาหกรรมของประเทศจีน อาทิ ทางการทหาร, นับเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้ข้อมูลสำคัญของประเทศที่เป็นข้อมูลลับระดับชาติรั่วไหลออกไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับใหม่นี้ ก็สวนทางกับการลงทุนจากต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งขัดแย้งกับความต้องการการลงทุนจากต่างชาติ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจก้าวเดินต่อไป ไตรมาสที่ผ่านมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่น เติบโตขึ้น 2.1 % อันเนื่องจากการอัดฉีดเงินจากรัฐบาล 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ราว 30 ล้านล้านบาท เพื่อป้องกันคนตกงาน อันเนื่องมาจากโรคระบาดร้ายแรง COVID-19 เงินอัดฉีดก้อนนี้ รวมถึงการลงทุน 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ราว 638 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีน กลับมายังญี่ปุ่น หรือไปยังประเทศอื่น เพื่อลดความเสี่ยงอันเคยเกิดจากวิกฤตโรคระบาดร้ายแรงครั้งนี้ ทำให้มีปัญหาในการจัดหาชิ้นส่วนด้านอุตสาหกรรม ขาดแคลนไปทั่วโลก