หมดเวลาผ่อนปรนแล้วครับ การต่อสู้ COVID-19 เกมยิ่งใหญ่ของโลก ประเทศไทย คือ “ไทยชนะ” ขอภูมิใจเกิดบนแผ่นดินไทยตลอดครึ่งปีแรกของพุทธศักราช 2563 เราสู้มาด้วยกัน จนผ่านวิกฤตถึงเวลา Time-Out สิ้นสุดมาตรการผ่อนปรน ถึงเวลา ผู้ตัดสินเป่านกหวีด หมดเวลาในสนามฟุตบอล ถึงเวลาสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ออกหวยประจำงวดรางวัลสุดท้าย คือ รางวัลที่ 1 ถึงเวลาแสดงตน ใครเป็นผู้ชนะ ? สามล้อถูกหวยหรือไม่ ? แล้วก็ถึงเวลา การมาเยี่ยมเยือนของ “ปัญหา” หมดเวลาผ่อนปรนแล้ว ปัญหาเท่านั้นก็จะตามมา ชูถ้วยรางวัล หรือ รำแก้บน 2 ปัญหานี้คงไม่เข้าตา “หมดเวลาผ่อนปรน COVID-19” หลังการผ่อนปรน ทุกปัญหาเลี่ยงไม่ได้กับสถานะทางการเงิน การเงินหลังการผ่อนปรน ไม่เลือกหน้า ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน โดยทั้ง 2 ภาคต่างก็ “เราไม่ทิ้งกัน” สงครามโลกคราวนี้ รับหน้าเสื่อมากสุด คือ แบงค์ แก้ปัญหาทั้งระยะสั้น-ระยะยาว เราเริ่มรู้จักแบงค์เป็นครั้งแรกของชีวิต คือ แบงค์ออมสิน สาขาบางลำพู ถนนสิบสามห้าง รู้จักเป็นแหล่งฝากเงิน ข้อสำคัญในการฝากเงินออมสิน คือ ต้องลงลายมือชื่อทั้งการฝากเงิน และการถอนเงิน โดยลายมือชื่อทั้งสองเวลา ต้องเหมือนกัน คลาดเคลื่อนไม่ได้แม้กระทั่งการันต์ แรกทีเดียวเราฮึกเหิมคิดว่า แบงค์อยู่ได้เพราะเงินฝากของเรา ประเภท “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” ต่อมา เพื่อนก็บอกเราว่า “เอ็งอยู่ไปนานๆ บ้านก็จะเป็นของมิตร” แบงค์ ไม่รับฝากเงินอย่างเดียว ยังรับแก้หนี้ให้อีกต่างหาก เฉพาะแก้หนี้ “สินเชื่อ” อย่างเดียว มาพร้อมกัน 6 สารทิศ สินเชื่อบัตรเครดิท, สินเชื่อบัตรกดเงินสด, สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ, สินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อบ้านที่อยู่อาศัย “หนี้สิน” เป็นโรคประจำตัวลูกค้าแบงค์ ไม่ต้องมีสงครามโลก COVID-19 ลูกค้าแบงค์ยังมีสิทธิ์เป็นลูกค้าสินเชื่อของแบงค์ หมดเวลาผ่อนปรน แบงค์ก็ต้องทำหน้าที่แก้หนี้ จะถือเป็นกรรมเก่ากรรมใหม่อย่างไรก็ต้องแก้ปัญหาตัวนี้ และประการสำคัญ คือ แบงค์ทำใจไว้ สงครามโลกเที่ยวนี้ แนวโน้มหนี้เสียของแบงค์ จะมีหน้าตาเป็นฉันใด !?! นอกจากแบงค์ คนต่อมาก็คือ รัฐบาล ซึ่งไม่ต้องเปลืองสมองคิดมากเหมือนคิดว่าแบงค์อยู่ได้เพราะอะไร รัฐบาลอยู่ได้เพราะประชาชน ตามคำที่กล่าวกันว่า “ประชาชนอยู่ได้ ถ้าไม่มีรัฐบาล แต่รัฐบาล อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีประชาชน” สงครามโลก COVID-19 ครั้งนี้ รัฐบาล “ลุงตู่” ดูแลประชาชนอย่างดีเยี่ยม จนเข้าตาต่างชาติ และประชาชนก็ชื่นชมเพิ่มความนิยมให้กับรัฐบาล นอกเหนือจากเปลี่ยนแปลงความประพฤติ เป็นการให้ความร่วมมือตามมาตรการของรัฐ ผู้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแทบจะทุกราย จำนวนมากที่สุด น่าจะเปลี่ยนแปลงการวางแผนการเงิน เคยอีลุ่ยฉุยแฉก ต่อไปนี้ เผอเรอไม่ได้ ภาพแห่งความสำคัญของปัญหาเรื่องนี้ ดูจากมาตรการเยียวยาของรัฐละกัน มาตรการนี้ดูเหมือนว่า ประชาชนคนไทยทั้ง 69.43 ล้านคน ขอรับการเยียวยาจากรัฐบาล ซึ่งตามหลักการปกครองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่ถ้าทั้งหมดนี้ ขอรับการเยียวยาตามมาตรการที่รัฐพึงให้ นั่นแหละโคตรพิสดาร สงคราม COVID-19 ทำให้ผู้คนจนลงไปแยะ และลดรายได้ของคนลงไปมาก ที่มีพอกินพอใช้ ก็ตาเหลือก ที่เหลือกินเหลือใช้ก็มีมาก ปัจจัยเหตุประการเดียว คือ ไม่มีรายได้ การวางแผนการเงินต่อไปนี้ จึงถือว่าสำคัญยิ่ง รองลงมาของพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป คือ คนไทยรู้จักการเข้าสังคมมากขึ้น และมีระเบียบวินัยดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เราขับรถ มักพบข้อบกพร่องของวินัยคนใช้รถเป็นประจำ ก่อนนี้เคยได้ยินว่า คนไทยเข้าคิวไม่เป็น เพราะชาติไทยไม่เคยเป็นขี้ข้าใคร แต่ตอนนี้รู้จักการเข้าคิวอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักภาษาฝรั่งอีกต่างหาก Social Distancing และคำว่า “หน้ากากอนามัย” (Surgical Mask) สังคมของเราเปลี่ยนไป วันเกิดเคยสนุกสนานก็หายวับ เคยแต่งเมียอย่างหรูเลิศ ก็หลบหน้า ถูกเรียกว่า “์New Normal” เคยเจ็บป่วยเคยรักษาหายอย่างไรก็เปลี่ยนสภาพ เพราะถ้าเจ็บป่วยด้วย COVID-19 ขึ้นมา ถึงหายแล้ว ยังถูกคน “เฝ้าระวัง” ข้อดีที่เราเปลี่ยนแปลงการเข้าสังคมก็คือ รู้จักวินัยมากขึ้น มีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น บางสิ่งบางประการ อาทิ “ตู้ปันสุข” ถือกำเนิดขึ้นมาให้เราเป็นผู้ดี มีน้ำใจในการแบ่งปัน เราเคยเขียนไปแล้วว่า หมดเวลาผ่อนปรนแล้ว การฟื้นฟูเศรษฐกิจแห่งชาติหลักใหญ่ตามความเห็นของเรา น่าจะเป็น อาหารไทย ยามสงคราม คนไทยเรารับประทานนอกบ้านถึงร้อยละ 59 สถิติการสั่งอาหารออนไลน์นอกเหนือจาก ชอพพิงออนไลน์มีมากถึงร้อยละ 44 รัฐบาล กำลังเล็งเรื่องการท่องเที่ยว ในแผนการฟื้นฟู นอกเหนือจากเรื่องสำคัญ คือ การกำหนดนโยบายส่งเสริมการลงทุน นั่นก็หมายถึง อุตสาหกรรม เป็นเรื่องของต่างประเทศ หากเขาสนใจจะมาลงทุนในเมืองไทยของเราก็เป็นผลดี ดังนั้น รัฐก็ต้องมีข้อเสนอที่ดี มีการสนับสนุนที่ยอดเยี่ยม และรัฐบาล จำเป็นต้องมีมาตรการ ป้องกันอุตสาหกรรมในประเทศ ทั้งกฎระเบียบการอนุมัติ หรือการทบทวนข้อตกลงเพื่อคุ้มครองการลงทุน อย่าลืม ณ วันนี้ ประเทศไทย กำลังหอมหวานของนักลงทุนต่างชาติมากที่สุดในเอเชีย การเลือกแผ่นดิน ก็ไม่ต่างอะไรกับ การคัดกรอง หรือการผ่าน จุดคัดกรอง ที่เราเคยมีพฤติกรรมมาแล้วระหว่างสงคราม วันนี้ ถ้านักลงทุนเลือกแผ่นดินได้ ประเทศไทย มาเป็นอันดับ 1 เชื่อว่า อีกไม่ช้า บ้านเมืองของเราจะมีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น ความเชื่ออย่างนี้ไม่รอดสายตารัฐบาล การเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับบางอุตสาหกรรม หรือการเพิ่มประเภทกิจการ ส่งเสริมการลงทุน ตลอดจน แพคเกจรองรับย้ายฐานลงทุน ทั้งหมดนี้ อยู่ในใจของรัฐบาลทั้งสิ้น สำหรับการท่องเที่ยว เราเชื่อว่า มีผู้คนสนใจการท่องเที่ยวไม่แพ้เรื่องอื่น แต่การท่องเที่ยว คือ การใช้เงิน และการท่องเที่ยวก็ยังต้องถือว่า เสียงนกหวีด เป่าหมดเวลาผ่อนปรนนั้น ยังไม่เงียบเสียง การเงินเป็นเรื่องสำคัญ วางแผนการเงินก็สำคัญ การใช้จ่ายในรูปทรง “ลดการใช้จ่าย” ก็ยังเป็นปัญหาสำหรับคนบางคน การท่องเที่ยว แม้จะได้รับการเยียวยาจากรัฐ แต่ก็เป็นมาตรการที่ต่างจากมาตรการเยียวยาอื่นๆ นอกจากเรื่องเงินแล้ว การเข้าประเทศ หรือจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว ยังหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพไม่พ้น ต้องมี QR code ข้อมูลสุขภาพ และมี Test on Departure ฯลฯ หมดเวลาครับ ได้ยินเสียงใครร้องออกมาจากทีวีก็ไม่ทราบ “...รู้ยัง ใครจะมานั่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ?” ...เออ...เป็นไงล่ะ...!?!