All-New 2020 Mercedes-Benz S-Class ซีดานพี่ใหญ่จากค่ายดาวสามแฉก ที่มาพร้อมนวัตกรรมใหม่ ทั้งด้านความสะดวกสบาย และความปลอดภัย
S-Class เป็นรถยนต์ซีดานขนาดใหญ่สุด เท่าที่ Mercedes-Benz เคยผลิตมาตั้งแต่ปี 2494 เป็นรถซีดานระดับหรูที่ขายดีที่สุดในโลก ไล่ตั้งแต่ W187 (ปี 2494 - 2498) W180 และ W128 (ปี 2497 - 2503) W111 และ W112 (ปี 2502 - 2514) W108 (ปี 2508 - 2515) W116 (ปี 2515 - 2523) W126 (ปี 2522 - 2535) W140 (ปี 2534 - 2542) W220 (ปี 2542 - 2549) W221 (ปี 2548 - 2556) W222 (ปี 2556 - ปัจจุบัน)
แต่ W116 จะเป็นโฉมแรกที่ Mercedes-Benz ใช้ชื่อ S-Class (โฉมก่อนหน้านี้เรียกว่า Ponton และ Fintail หรือเรียกรหัส (W108) ไม่ได้เรียก S-Class อย่างเป็นทางการ) ซึ่ง S ย่อมาจาก “Special Class” ดังนั้น S-class รุ่นใหม่คันนี้ จึงนับว่าเป็นเจเนอเรชันที่ 7
มิติตัวถังมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ตัวรถยาวกว่าเดิม 33 มม. กว้างกว่าเดิม 51 มม. และสูงขึ้น 10 มม. ฐานล้อปรับขนาดเพิ่มขึ้น 51 มม. แต่สังเกตว่าตัวรถมีระยะยื่นหน้าสั้นลงกว่าเดิม และระยะท้ายยื่นยาวกว่าเดิม แต่น้ำหนักรถกลับเบากว่ารุ่นก่อน จากการใช้อลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบหลัก ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบ 60 % ตามที่หัวหน้าวิศวกรของ S-Class Jürgen Weissinger เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า Mercedes-Benz สามารถสร้างรถซีดานขนาดใหญ่ ให้มีประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีที่สุดในกลุ่ม โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศเพียง 0.22 เท่ากับ All-New 2020 Porsche Taycan เลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่า การออกแบบตัวรถมีเส้นสายสวยงาม เฉียบคมมากขึ้น ดูภูมิฐานพร้อมความทันสมัยครบครัน ภายในที่เบาะที่นั่งตัดเย็บอย่างดีหรูหราภูมิฐาน หุ้มด้วยหนัง Nappa มีระบบทำความร้อน และเบาะนวด ให้ความสบายตลอดการเดินทาง จากการยืดฐานล้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่วางขา, พื้นที่เหนือหัว, ขนาดเบาะนั่ง รวมถึงพื้นที่ช่วงสะโพก
Mercedes-Benz S-Class W223 มีปุ่มกดที่ลดลงจากรุ่นปัจจุบัน 27 ปุ่ม โดยแทนที่ด้วยหน้าจอแสดงผลถึง 5 จอ เทคโนโลยี OLED ที่ให้ภาพคมชัด โดยมีหน้าจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว บริเวณกลางคอนโซล พนักพิงศีรษะของเบาะคู่หน้าติดตั้ง 2 จอ และหน้าจอกลางบริเวณที่วางแขนด้านหลัง มีการสั่งการด้วยเสียงผ่านระบบ MBUX Generation 2 ที่เริ่มต้นการใช้งานด้วยการพูดว่า “Hey Mercedes” และยังรองรับได้ถึง 27 ภาษา สามารถสั่งการจากเบาะหลังได้อีกด้วย
ระบบเครื่องเสียง Burmester แบบ 4 มิติ ติดตั้งลำโพงทั้งหมด 30 จุด ช่วงล่างนุ่มนวล ไม่มีเสียงรบกวนเข้ามายังห้องโดยสาร ด้วยระบบ E-Active Body Control และช่วงล่างถุงลมแบบ Four Link ทางด้านหน้า และด้านหลังใช้ระบบ Multi Link ปรับระบบบังคับเลี้ยวให้มีความละเอียดมากขึ้นอีก 15 % จากรุ่นเดิม
การควบคุมการหักเลี้ยวมีองศาการหักเลี้ยวมากขึ้น ซึ่งมาจากระบบล้อหลังช่วยเลี้ยว ทำให้เลี้ยวมากขึ้น 10 องศา ทำให้รัศมีการเลี้ยวลดลง 2 ม. เมื่อเทียบกับวงเลี้ยว 10.2 ม. ในรุ่นปัจจุบัน Mercedes-Benz S-Class ใหม่ เป็นรถยนต์คันแรกในโลก ที่มาพร้อมระบบถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และยังสามารถรองรับการติดตั้งเบาะที่นั่งสำหรับเด็กได้
ถุงลมนิรภัยชนิดนี้ยังทำงานร่วมกับระบบ Pre-Safe Impulse Side function ซึ่งใช้เซนเซอร์เรดาร์ในการตรวจจับ หากถูกชนด้านข้าง ระบบจะปรับเบาะผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสารให้เอน ทำให้คนนั่งไหลเข้ามากลางรถ เพื่อเพิ่มระยะห่างจากประตูที่ถูกชน พร้อมกันนั้นระบบจะสั่งการให้ E-Active Body Control ยกความสูงของตัวรถขึ้น เตรียมรับแรงปะทะ เพื่อให้ส่วนของตัวถัง แชสซีส์ ที่แข็งแรงกว่าที่อยู่ใต้พื้นรถ ซับแรงชนให้ได้มากที่สุด
ระบบ Active Parking Assist ของ S-Class ใหม่ ได้ทำการปรับปรุงความสามารถของเซนเซอร์ 12 ตัว ที่ด้านหน้า และด้านท้ายของรถ พร้อมทั้งการปรับการแสดงผล และการควบคุมผ่าน MBUX ที่ควบคุมได้อย่างง่ายดาย ระบบกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา ที่ใช้กล้องมองภาพ 4 ตัว ในการสร้างภาพจำลองแบบ 3 มิติ ซึ่งการทำงานทั้งหมดของระบบจะเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์
สำหรับตลาดในสหรัฐอเมริกามีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ S500 4 Matic มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ แบบอินไลน์ 6 สูบ ที่ให้กำลัง 429 แรงม้า และแรงบิด 53.1 กก.-ม. ในขณะที่ S580 4Matic ใช้เครื่องยนต์ขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ แบบ V8 ที่ให้กำลัง 496 แรงม้า 71.3 กก.-ม. ทั้ง 2 รุ่นเกียร์แบบอัตโนมัติ 9 จังหวะ
ส่วนรุ่น EQ S หรือรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ใช้ตัวถังเดียวกับ S-Class คาดว่าจะเปิดตัวตามหลังจากนี้ไม่นาน โดย EQ S จะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ให้กำลัง 400 แรงม้า สำหรับเวอร์ชัน AMG จะให้กำลังสูงถึง 600 แรงม้า รองรับระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 498 กม.
บทความแนะนำ