รายงานข่าวจากสหภาพยุโรป ถึงยอดการขายรถยนต์ประจำปี 2563 พบว่า ค่ายรถเยอรมนี อย่าง BMW, Daimler และ Volkswagen สามารถทำยอดขายรถไฟฟ้า รวมกันได้เกือบ 600,000 คัน เพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า เอาชนะค่ายรถไฟฟ้าจากสหรัฐฯ Tesla ในตลาดยุโรปอย่างสิ้นเชิง เพราะใกล้ถึงเป้าหมายการลดค่าคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ปีที่แล้ว กลุ่ม Volkswagen ทำยอดขายเฉพาะในยุโรป ได้ 159,000 คัน เป็นรถไฟฟ้า และไฮบริด รวม 212,000 คัน เพิ่มจากปี 2562 ถึง 158 % จากจำนวนนี้ ค่ายรถยนต์ยุโรป จำเป็นต้องทำยอดขายให้มากที่สุด มิเช่นนั้น อาจถูกปรับจากกรุงบรัสเซลส์ นับล้านยูโร หากไม่สามารถลดค่าไอเสียโดยรวมลงได้ นักวิเคราะห์ตลาดรถยนต์ยุโรป ระบุว่า เฉพาะยี่ห้อ Volkswagen ยี่ห้อเดียว ขายรถไฟฟ้าไปได้ 117,000 คัน ขณะที่ Tesla สามารถขายได้ในยุโรปเพียง 96,000 คัน ขณะที่ กลุ่ม BMW ซึ่งรวมเอา Mini และ Rolls-Royce ไว้ด้วย ขายรถยนต์ได้ทั่วโลก 2.3 ล้านคัน ในจำนวนนี้ เกือบ 193,000 คัน เป็นรถไฟฟ้า เพิ่มขึ้นเกือบ 32 % ส่วนในยุโรป กลุ่ม BMW มียอดขายรถไฟฟ้า และไฮบริด ประมาณ 15 % ของยอดขายโดยรวม ที่ช่วยให้สามารถทำเป้าการลดค่าไอเสียลงได้ ด้าน Daimler ก็ออกมาคุยว่า ทำเป้าการลดค่าไอเสียลงได้ตามเป้าหมาย โดยมียอดขายรถไฟฟ้า และไฮบริด เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า ประมาณ 160,000 คัน จากจำนวนยอดขาย 2.2 ล้านคัน ในปี 2563 โดยเฉพาะยี่ห้อ Smart ในรูปแบบรถไฟฟ้า ทำได้ถึง 27,000 คัน ส่วนกลุ่ม Volkswagen ที่รวม Audi, Porsche และ Seat แม้จะไม่ยืนยันว่าสามารถทำได้ตามเป้าหมายการลดค่าไอเสีย แต่ผู้บริหารก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ใกล้ถึงเป้าเต็มที ทั้งนี้มาจากยอดการขายรถไฟฟ้า Volkswagen ID.3 รุ่นล่าสุด อันเนื่องมาจากปัญหาด้านซอฟท์แวร์ ทำให้การผลิตล่าช้า แต่ก็ทำตัวเลขได้ 56,500 คัน แม้จะเพิ่งออกสู่ตลาดในเดือนกันยายน ยอดการขายรถไฟฟ้า ในเยอรมนี เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากการตัดสินใจของรัฐบาลกรุงเบร์ลิน หลังจากเกิดโรคระบาดร้ายแรง COVID-19 ที่เพิ่มเงินสนับสนุนสำหรับรถยนต์ที่ปลอดมลภาวะเป็น 2 เท่า ซึ่งทำให้ผู้บริโภคจะได้รับส่วนลดคันละ 9,000 ยูโร หรือประมาณ 360,000 บาท และเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคม อีกเช่นกัน ที่สภาการขนส่งด้วยยานยนต์ หรือ Federal Motor Transport Authority ระบุว่า ส่วนแบ่งการตลาดของรถไฟฟ้า และไฮบริด ขายได้มากกว่ารถเครื่องยนต์ดีเซล