ธุรกิจ
Bentley Bacalar เสร็จสิ้นการทดสอบแล้ว
ครูว์-เครื่องยนต์ขุมพลังกว่า 659 แรงม้า (650 BHP) แรงบิด 91.8 กก.-ม. หรือ 900 นิวตัน-เมตร (667 IB.FT) รุ่น W12 (ดับเบิลยู 12) สำหรับลูกค้ารายแรกของ เบนท์ลีย์ มูลินเนอร์ บาคาลาร์ (Bentley Mulliner Bacalar) ได้ถูกประกอบ และทดสอบในสายการผลิต ณ ศูนย์ความเป็นเลิศของ Bentley Motors เสร็จสมบูรณ์แล้ว
เธอะ บาคาลาร์ (The Bacalar) ได้เริ่มนำการออกแบบตัวถังโดย เบนท์ลีย์ มูลินเนอร์ (Bentley Mulliner) และได้ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 6 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนา ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ W12 ขนาด 12 กระบอกสูบที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก
ตั้งแต่การเปิดตัวเป็นครั้งแรกของเครื่องยนต์ W12 ทวินเทอร์โบชาร์จ ในปี 2546 การพัฒนาของเครื่องยนต์ W12 ได้ช่วยเพิ่มพละกำลังถึง 27 % และเพิ่มแรงบิดถึง 38 % และยังช่วยลดโอกาสการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 28 % ซึ่งการพัฒนานี้ได้พิสูจน์ผ่านวิวัฒนาการ และการประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมของห้องข้อเหวี่ยง การพัฒนาของระบบน้ำมัน และระบบทำความเย็น เทคโนโลยีเทอร์โบคู่ ขั้นตอนการสันดาป และอัดฉีดที่มีประสิทธิภาพที่มากขึ้น
เครื่องยนต์ W12 ได้รับการผลิตด้วยแรงงานช่างผู้ชำนาญงานกว่า 45 คน โดยใช้เวลามากกว่า 6.5 ชม. ก่อนที่จะผ่านขั้นตอนการทดสอบที่เข้มข้นกว่า 1 ชม. โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์กว่า 3 คน ระหว่างขั้นตอนการประกอบ การทดสอบไม่ได้แค่วัดผลถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง แต่เป็นเสมือนการตรวจสอบที่จะบักทึกข้อมูลเชิงสมรรถนะของเครื่องยนต์แต่ละเครื่องตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต
การทดสอบ 3 ขั้นตอนของเครื่องยนต์บาคาลาร์ (Bacalar) ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบควบคุมคุณภาพของ Bentley
การทดสอบในขั้นตอนแรก คือ เพื่อการตรวจหากระแสไฟฟ้ารั่ว และการการันตีหลังจากการประกอบเครื่องยนต์ในขั้นตอนสุดท้ายของระบบน้ำมัน น้ำกลั่น และน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งขั้นตอนการผลิตนี้รู้จักกันในนามว่า “การวางเครื่องใหม่” (Short Engine) การทดสอบกระแสไฟฟ้ารั่วได้ดำเนินการโดยการวัดความดันโดยแยกเป็นระบบน้ำมัน น้ำมันหล่อลื่น และน้ำกลั่น โดยช่องต่างๆ จะถูกวัดโดยอิงจากค่ามาตรฐานระหว่าง 0.2-0.5 บาร์ตามลำดับ หลังจากนั้น วัดโดยอิงจากค่าความดันที่ลดลงในแต่ละครั้ง ซึ่งการลดลงของค่าความดัน และระยะเวลาจะสามารถชี้วัดได้ถึงคุณภาพในการป้องกันไฟฟ้ารั่วระหว่างการประกอบเครื่องยนต์ ถ้าค่าความดันลดอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้นั้น หมายถึง มีการรั่วไหลเกิดขึ้น โดยมีการเคลือบผิวเครื่องยนต์เพื่อหาจุดบกพร่องที่ก่อให้เกิดการรั่วไหล
ขั้นตอนที่ 2 และถือเป็นขั้นตอนที่ล้ำสมัยที่สุด คือ การทดสอบด้วยความเย็น (Cold Test) เครื่องยนต์จะนำเข้าสู่จุดทดสอบ และการเชื่อมต่อจะถูกดำเนินการผ่านจุดเชื่อมต่อสำหรับเครื่องยนต์ และระบบเครื่องยนต์ทั้งหมด ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่เชื่อมต่อเข้ากับเครื่องยนต์ด้วยเพลาข้อเหวี่ยง การเชื่อมต่อมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับเครื่องยนต์ด้วยเพลาข้อเหวี่ยงทำให้สามารถเก็บข้อมูลจากระบบเซนเซอร์ โดยเครื่องมือสามารถวัดได้กว่า 600 คุณสมบัติเฉพาะของเครื่องยนต์ระหว่างรอบ 15 นาที
จากการทดสอบความเร็วต่ำที่ 120 รตน. (RPM) ทำให้ทราบถึงรายละเอียด และความผิดพลาดต่างๆ เนื่องจากตัวเลขได้ระบุถึงความผิดปกติที่ไม่สามารถตรวจพบได้ในระหว่างที่เครื่องยนต์เกิดการสันดาป หรืออยู่ในระหว่างใช้ความเร็ว
รายละเอียดของการวิเคราะห์สามารถใช้กับการยืนยันการกำหนดเวลาของเครื่องยนต์ได้อย่างแม่นยำ การใช้ข้อมูลในการกำหนดตำแหน่งจากเซนเซอร์ที่ติดตั้งบนเพลาข้อเหวี่ยง ห้องข้อเหวี่ยง และเพลาลูกเบี้ยว กับค่าความบีบอัดของลูกสูบ ทำให้การทดสอบด้วยความเย็น (Cold Test) สามารถช่วยยืนยันการกำหนดเวลาของเครื่องยนต์ได้อย่างถูกต้อง และแม่นยำ ดังนั้นจึงช่วยในเรื่องกลไกลการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของการรวบรวมข้อมูลเฉพาะของกระบอกสูบนั้น การทดสอบด้วยความเย็น (Cold Test) ได้ถูกดำเนินการก่อนการประกอบท่อไอเสียรวม เทอร์โบชาร์เจอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ และการทดสอบในขั้นตอน 3 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย คือ การทดสอบด้วยความร้อน (Hot Test) โดยการเชคการประกอบเครื่องยนต์ทันทีที่อะไหล่เหล่านั้นได้ถูกติดตั้ง และวางระบบในรถยนต์
ช่วงที่เครื่องยนต์เตรียมความพร้อมสำหรับการทดสอบด้วยความร้อนนั้น การเคลือบด้วยแสง UV กับเครื่องยนต์จะช่วยในการตรวจเชคการรั่วไหลของไฟฟ้า สารที่ช่วยลดความร้อน และระบบน้ำมันจะถูกวัดความดันด้วยอากาศ และแกสไนโตรเจนตามลำดับในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนการเพิ่มเติมของเหลวที่จำเป็นต่อการทดสอบ เครื่องยนต์จะถูกเหวี่ยงเพื่อที่จะสร้างความดันของน้ำมันหล่อลื่น ก่อนการจุดระเบิดเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ และปล่อยเครื่องยนต์ทิ้งไว้ในขณะที่ช่างเทคนิคตรวจเชค และเก็บรายละเอียดการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้าด้วยแสง UV
เครื่องยนต์ W12 แต่ละเครื่องผ่านการทดสอบโดยใช้เวลาอย่างต่ำ 21.5 นาที และทดสอบถึง 3,800 รตน. ด้วยแรงบิดกว่า 30.6 กก.-ม. หรือ 300 นิวตัน-เมตร และหนึ่งในทุกร้อยเครื่องยนต์จะได้ผ่านการทดสอบขุมพลังกว่า 8 ชม. เต็ม เพื่อให้ได้ 6,000 รตน. กับแรงบิดกว่า 91.8 กก.-ม. หรือ 900 นิวตัน-เมตร
นับตั้งแต่มีการทดสอบภาคสนามกว่า 3 ขั้นตอนในปี 2545 เครื่องยนต์ W12 กว่า 100,000 เครื่องได้ถูกประกอบในเมืองครูว์ และได้ผ่านขั้นตอนการทดสอบที่เข้มข้นเหล่านี้
เครื่องยนต์ W12 ทวินเทอร์โบชาร์จ ขนาด 6 ลิตร ของ Bentley ได้วิวัฒนาการไปสู่การนำกลับมาใช้ใหม่ของเครื่องยนต์ W12 ที่ใช้กับโมเดลล่าสุดในปัจจุบัน ความโดดเด่นขององค์ประกอบตัว “W” หมายถึง เครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลงกว่า 24 % หรือเทียบเท่าเครื่องยนต์ V12 (วี 12) นั้นทำให้เป็นประโยชน์กับการติดตั้ง และเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารให้มีมากขึ้น
เจเนอเรชันล่าสุดของเครื่องยนต์ W12 ได้เปิดตัวกับรถเอสยูวี Bentayga (เบนเทย์กา) ในปี 2559 โดยการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างละเอียดได้รวมถึง ความแข็งแรงของห้องข้อเหวี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นกว่า 30 % ในขณะที่ผิวลูกสูบถูกห่อหุ้มเพื่อลดแรงเสียดทาน และเพิ่มความต้านทานต่อการกัดกร่อน นอกจากนั้น ผิวเหล็กกล้าผสมถูกนำมาใช้โดยผ่านขั้นตอน Atmospheric Plasma Spray (APS) อีกด้วย
ระบบทำความเย็นได้ผ่านการพัฒนา ร่วมกับเครื่องยนต์โดยประกอบไปด้วย 3 วงจรแยกออกจากกัน โดยวงจรแรกได้ถูกออกแบบมาโดยทำให้หัวลูกสูบทำงานในอุณหภูมิที่เหมาะสมให้รวดเร็วที่สุดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในด้านศักยภาพของเครื่องยนต์ และการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ วงจรที่สองลดความร้อนของบลอคเครื่องยนต์ และระบบน้ำมัน ในขณะที่วงจรที่ 3 คือ การลดความร้อนของเทอร์โบชาร์จ โดยแต่ละระบบจะประกอบไปด้วยเครื่องปั้มน้ำที่ทำงานได้อย่างอิสระ
เครื่องยนต์ W12 ประกอบด้วย ระบบหัวฉีดน้ำมันตรงแรงดันสูง (แรงดันอัดฉีดที่ 200 บาร์) พร้อมระบบหัวฉีดนํ้ามันแรงดันต่ำ (แรงดันอัดฉีดที่ 6 บาร์) การรวมกันของ 2 ระบบนี้ ทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มพละกำลัง และแรงบิดที่ดียิ่งขึ้น
เครื่องยนต์แบบทวินเทอร์โบชาร์เจอร์ช่วยลดเวลาการตอบสนองของเทอร์โบ และเพิ่มประสิทธิภาพในการปล่อยไอเสีย การประกอบท่อไอเสียสำหรับกระบอกสูบด้านหน้า 3 กระบอก และกระบอกสูบด้านหลัง 3 กระบอก ถูกแยกออกจากกัน ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับหัวปั้มของเทอร์โบคู่ ส่วนหุ้มเทอร์โบชาร์เจอร์ถูกเชื่อมตรงเข้ากับท่อไอเสีย และประกอบเข้ากับเซนเซอร์จับความเร็ว ซึ่งช่วยให้เครื่องยนต์สามารถประเมินศักยภาพของเทอร์โบเพื่อการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพได้
ระบบหยุดการทำงานของชุดสูบอัตโนมัติของ Bentley จะช่วยหยุดเครื่องยนต์ส่วนหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขของสถานการณ์นั้นๆ วาล์วไอดี และวาล์วไอเสีย หัวฉีดน้ำมัน และการจุดระเบิดเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์จะถูกปิดภายในลูกสูบ พร้อมเครื่องยนต์อีก 6 ลูกสูบที่ยังทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบจะยังทำงานในโหมดนี้ ในขณะที่เกียร์อยู่ที่ระดับ 3-8 หรือต่ำกว่า 3,000 รตน. และแรงบิดเต็มที่ 30.6 กก.-ม. หรือที่ 300 นิวตัน-เมตร
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/360445