ระเบียงรถใหม่
Mercedes EQS SUV รถไฟฟ้ารุ่นใหญ่สุดหรู

Mercedes EQS SUV ใช้พแลทฟอร์ม EVA2 โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีจากรถไฟฟ้าซีดานรุ่นเรือธงอย่าง EQS มีจุดเด่นด้านความล้ำสมัย ทั้งงานออกแบบภายนอก และภายใน ขุมพลังไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้มากถึง 630 กม. /การชาร์จเพียงครั้งเดียว (มาตรฐาน WLTP)
Mercedes EQS SUV มีขนาดตัวถังยาว 5,125 มม. กว้าง 1,959 มม. และสูง 1,718 มม. ระยะฐานล้อยาว 3,210 มม.
การออกแบบด้านหน้าของรถมีความคล้ายคลึงกับรถไฟฟ้าของ Mercedes ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ไฟหน้า LED Digital Light กระจังหน้าแบบทึบสีดำ Black Panel มีดาวดวงเล็กๆ ล้อมรอบตราสัญลักษณ์รูปดาวสามแฉกตรงกลางขนาดใหญ่ และตกแต่งด้วยไฟ LED Tube ลากยาวเชื่อมต่อไฟคู่หน้า ไฟท้าย LED แบบ 3D Helix Design
ภายในเรียบหรูอลังการ แบบเดียวกันกับ EQS โดดเด่นด้วยจอ MBUX Hyperscreen OLED แบบโค้ง ขนาด 56 นิ้ว ประกอบไปด้วย จอกลางขนาด 17.7 นิ้ว จอฝั่งผู้โดยสารขนาด 12.3 นิ้ว และจอมาตรวัดผู้ขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว ควบคุมฟังค์ชันการทำงานต่างๆ พร้อมเชื่อมต่อผ่าน Apple CarPlay และ Android Auto
ที่นั่งด้านหลังติดตั้งหน้าจอสำหรับผู้โดยสารขนาด 11.6 นิ้ว MBUX High-End Rear Seat Entertainment Plus พร้อมระบบเครื่องเสียง Burmester 3D พร้อมเทคโนโลยี Dolby Atmos 360 องศา และหูฟังไร้สาย
Mercedes EQS SUV มีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย คือ
EQS 450+ มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลังสูงสุด 265 กิโลวัตต์ (355 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 568 นิวตัน-เมตร ระยะทางการใช้งานต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP 536-660 กม.
EQS 450 4MATIC มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ กำลังสูงสุด 265 กิโลวัตต์ (355 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 800 นิวตัน-เมตร ระยะทางการใช้งานต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP 507-613 กม.
EQS 580 4MATIC มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้กำลังสูงสุด 400 กิโลวัตต์ (536 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 858 นิวตัน-เมตร ระยะทางการใช้งานต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP 507-613 กม.
ทั้ง 2 รุ่น จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ที่ติดตั้งอยู่บนเพลาด้านหน้า/หลัง Electric Drivetrain (eATS) เพื่อทำให้เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบแปรผันได้อย่างอิสระ โดยทุกรุ่นติดตั้งแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาด 107.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เท่ากับ EQS รองรับการชาร์จ AC กระแสสลับ สูงสุด 22 กิโลวัตต์/กระแสตรง DC Fast Charging 200 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จจาก 10-80 % เพียง 31 นาที หรือ ชาร์จ 15 นาที วิ่งได้มากถึง 250 กม.
โหมดการขับขี่ Eco Comfort Sport และ Individual ในขณะที่รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC จะเพิ่มโหมด Off-Road ช่วงล่างแบบถุงลม Airmatic ที่สามารถปรับความแข็ง/อ่อน รวมไปถึงความสูงของตัวรถ เพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบการขับขี่ โดยรักษาระยะห่างจากพื้นให้คงที่ ไม่ว่าน้ำหนักบรรทุกของรถจะเพิ่มขึ้นเท่าไร สามารถปรับความสูงของรถได้ ระดับรถสามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง 25 มม. ที่ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ถ้าเกินระบบจะลดระดับกลับเป็นระดับปกติโดยอัตโนมัติ
ในโหมด Comford และ Sport ตัวถังจะถูกลดระดับลงโดยอัตโนมัติ 10-15 มม. ตามลำดับ ที่ความเร็วมากกว่า 110 กม./ชม. เพื่อลดแรงต้าน และเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ หากความเร็วลดลงต่ำกว่า 80 กม./ชม. ระดับตัวถังจะกลับสู่ตำแหน่งเริ่มต้น
ล้อหลังสามารถช่วยหักเลี้ยวได้ 4.5 องศา โดยความเร็วที่ต่ำกว่า 60 กม./ชม. ล้อคู่หลังจะเลี้ยวในทิศตรงกันข้ามกับล้อคู่หน้า เพื่อเพิ่มความคล่องตัว และให้วงเลี้ยวที่แคบ สามารถเลือกเพิ่มเป็น 10 องศาได้ เพื่อลดวงเลี้ยวลงจาก 11.9 ม. เป็น 11.0 ม . แต่ถ้าใช้ความเร็วมากกว่า 60 กม./ชม. ล้อจะเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกันเพื่อช่วยให้การเข้าโค้ง มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
และยังใส่ล้ออัลลอยขนาด 20 ถึง 22 นิ้ว มาพร้องยางที่ออกมาสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ อย่าง Michelin Pilot Sport EV                    

