ระเบียงรถใหม่
All-New Honda HR-V ใหม่ เริ่ม 8.2 แสนบาท ในสหรัฐอเมริกา

Honda HR-V 2023 สเปคสหรัฐอเมริกา ถูกพัฒนาขึ้นบนพแลทฟอร์มเดียวกับ Honda Civic เจเนอเรชันที่ 11 ซึ่งต่างจากเวอร์ชันไทย ที่ใช้พแลทฟอร์มเดียวกับ Honda Jazz การที่ HR-V เวอร์ชันอเมริกันจะขยับขึ้นไปใช้พแลทฟอร์ม Honda Architecture ซึ่ง Honda ใช้ผลิตรถคอมแพคท์อย่าง Honda Civic เจเนอเรชันที่ 11 ทำให้ความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้นมากพอสมควรเมื่อเทียบกับ HR-V รุ่นปัจจุบัน
ความยาวของฐานล้อยาวขึ้น 43 มม. ความยาวตัวรถจากหน้าถึงด้านหลังที่ยาวขึ้น 239 มม. จึงทำให้ HR-V ใหม่ นี้มีขนาดที่ใหญ่ใกล้เคียงกับ CR-V โฉมปัจจุบัน ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้น จนเข้าไปอยู่ในกลุ่มรถครอสส์โอเวอร์ขนาดคอมแพคท์ (C-segment) ต่างจาก HR-V รุ่นปัจจุบัน (เอเชีย และยุโรป) ที่ทำตลาดในกลุ่มรถซับคอมแพคท์
All-New Honda HR-V ใหม่ ถูกระบุว่าพัฒนาขึ้นสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เพิ่งซื้อรถยนต์คันแรก เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป และขับไปทำกิจกรรมนอกบ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ มาพร้อมตัวรถที่ได้รับการออกแบบภาพใหม่ให้ดุดันขึ้น มีมัดกล้ามรอบคันเพิ่มขึ้น
ไฟหน้า และไฟท้ายแบบ LED ที่มีขนาดกว้างขึ้นกว่ารุ่นเดิม ช่องดักลมขนาดใหญ่ ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าถูกออกแบบให้สามารถซ่อนหลบสายตาอยู่ใต้ฝากระโปรง ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 17-18 นิ้ว ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย
สำหรับรูปลักษณ์การออกแบบของ Honda HR-V 2023 ใหม่ มากับการดีไซจ์นที่ดูบึกบึน และมีขนาดใหญ่กว่าเวอร์ชันอื่นๆ ทั่วโลก ฝากระโปรงหน้าที่ลาดยาว รับกับกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม ขนาบข้างด้วยไฟหน้าแบบ LED ที่ออกแบบให้มีขนาดใหญ่
ภายในห้องโดยสารถูกตกแต่งเน้นความมีนีมอล เช่นเดียวกับ Civic รุ่นปัจจุบัน พร้อมทั้งปรับปรุงชิ้นส่วนต่างๆ ให้มีสัมผัส และคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น ทั้งปุ่มกด และที่หมุนควบคุมการทำงานต่างๆ โดยทุกรุ่นย่อย ถูกติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว หน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุมระดับเสียง และเปลี่ยนคลื่นวิทยุ
ส่วนรุ่นทอพสุด ติดตั้งหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย ได้มีการออกแบบให้มีพื้นที่วางนิ้วขนาด 2 ซม. ไว้ที่ส่วนล่างของหน้าจอ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้จอสัมผัสขณะขับขี่ แป้นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย และลำโพงคุณภาพสูง 8 จุด รอบห้องโดยสาร
สำหรับขุมพลังของ Honda HR-V 2023 สเปคสหรัฐอเมริกา จะติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลัง 158 แรงม้า มาพร้อมแรงบิดสูงสุด 187 นิวตัน-เมตร เทียบกับรุ่นปัจจุบันกำลังเพิ่มขึ้น +17 แรงม้า แรงบิดเพิ่มขึ้น +15 นิวตัน-เมตร ส่วนรุ่นเทอร์โบชาร์จ หรือรุ่นไฮบริด ยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะตามมาภายหลังหรือไม่
ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ CVT มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ Real Time AWD พร้อมระบบ Intelligent Control ช่วยส่งกำลังไปยังล้อคู่หลังโดยอัตโนมัติเมื่อถนนลื่น โหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ทั้ง ECON/Normal/Sport
ติดตั้งระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control สามารถปรับตั้งความเร็วโดยตั้งแต่ 3-20 กม./ชม. ด้านระบบช่วยเหลือการขับขี่ และระบบความปลอดภัยจะติดตั้งระบบ Honda Sensing อาทิ ระบบช่วยขับขี่ในขณะรถติด, ระบบอ่านป้ายจราจร, ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ, ระบบช่วยตามรถคันหน้าที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน, ระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน เป็นต้น
การจำหน่ายจะแยกเป็น 6 รุ่นย่อย LX (ขับหน้า หรือ AWD), Sport (ขับหน้า หรือ AWD), และ EX-L (ขับหน้า หรือ AWD) ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 23,650 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 8.2 แสนบาท ไปจนถึงรุ่นทอพ 28,950 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1 ล้านบาท


