มอเตอร์ไฟฟ้าถูกอัพเกรดจาก 250 กิโลวัตต์ (335 แรงม้า) ของเจเนอเรชันที่ 2 พอมาในเจเนอเรชันที่ 3 จะมีพละกำลังเพิ่มเป็น 350 กิโลวัตต์ (469 แรงม้า) และจะพลิกโฉมการแข่งขัน คือ การปรับกติกาอนุญาตให้ใช้ระบบเบรคแบบ Regenerative ที่เพิ่มกระแสไฟได้ถึง 600 กิโลวัตต์ ซึ่งมากกว่าเดิมเท่าตัว
Porsche 99X เจเนอเรชันที่ 3 จะมีมอเตอร์ขับเคลื่อนที่ล้อหน้า และระบบเบรคแบบ Regenerative สามารถสร้างกระแสไฟย้อนกลับได้มากขึ้น มีความหน่วงมากจนสามารถทดแทนการทำงานของระบบเบรคไฮดรอลิคในล้อหลังได้ และกระแสไฟที่ได้มาจากการเบรคแบบ Regenerative ยังทำให้มีกระแสไฟฟ้าเพิ่มมากถึง 40 % ของพลังงานทั้งหมดที่ใช้ในการแข่งขัน
ส่วนที่เหลือของรถไม่ว่าจะเป็น แชสซีส์, แบทเตอรี และอุปกรณ์ด้านอากาศพลศาสตร์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานของรถแข่ง Formula E ที่เน้นแนวคิดความยั่งยืน โดยการพัฒนาจาก Williams Advanced Engineering ใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิล หรือนำมาใช้งานใหม่ได้ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลที่ผ่านมา ทั้งแบทเตอรี หรือคาร์บอนไฟเบอร์จากแชสซีส์ของรถแข่งเจเนอเรชันที่ 2 สามารถนำมารีไซเคิล เพื่อใช้งานกับเจเนอเรชันที่ 3 ได้
Porsche 99X จะเปิดตัวในการแข่งขัน Mexico City E-Prix วันที่ 14 มกราคม 2566 โดย Porsche มีความพร้อมในการพัฒนารถแข่งรุ่นใหม่มาก หวังว่าจะทำผลงานในการแข่งขันได้อันดับดีขึ้น และจะทำให้การแข่งขันสนุกมากขึ้น จนมียอดผู้ติดตามการแข่งขัน Formula E ทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นด้วย
Thomas Laudenbach รองประธานของ Porsche Motorsport กล่าวว่ารถ Porsche 99X เจเนอเรชันที่ 3 มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาก และคาดว่าการแข่งขัน Formula E ฤดูกาลที่ 9 รายการของ ABB FIA Formula E World Championship จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการแข่งขัน Formula E
ในฤดูกาลแข่งขันปี 2564-2565 ที่ผ่านมา ทีม Porsche ได้ตำแหน่งดีที่สุด คือ อันดับ 1-2 ในการแข่งขันสนาม 2 ที่ Mexico City และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลสามารถทำคะแนนสะสมประเภททีมได้อันดับที่ 7 จากทีมแข่งทั้งหมด 11 ทีม

