Mercedes-Benz GLA & GLB 2023 ปรับโฉมแบบ Facelift

Mercedes-Benz GLA เจเนอเรชันที่ 2 เพิ่งเปิดตัวในปี 2020 แต่ตอนนี้แบรนด์สัญชาติเยอรมัน ได้ทำการปรับโฉมของรถเอสยูวีรุ่นเล็กออกมาแล้ว นอกจากได้รับการออกแบบปรับปรุงภายนอกใหม่แล้ว ระบบส่งกำลังจะได้กำลังขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยระบบ Mild Hybrid ทุกรุ่น ในการออกแบบทั้ง Mercedes-Benz GLA และ GLB ได้รับการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยจากรถรุ่นเดิม ด้วยลวดลายไฟหน้า LED ใหม่ กันชนล่างถูกปรับโฉมใหม่ให้มีสีเดียวกับตัวรถ ด้านท้ายไม่เปลี่ยนแปลงแต่มีการออกแบบไฟท้ายรูปแบบใหม่ ในรุ่นสปอร์ทของค่ายอย่าง AMG Line จะมาพร้อมกันชนหน้า และกระจังหน้าแบบสปอร์ท โดยมีช่องดักอากาศขนาดใหญ่ ภายในห้องโดยสารของทั้ง 2 รุ่น มีจอแสดงข้อมูลผู้ขับแบบดิจิทอลขนาด 7 นิ้ว และจอควบคุมระบบ Infotainment ขนาด 10.25 นิ้ว มาพร้อมกับระบบ MBUX ที่รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย สามารถควบคุมการทำงานด้วยเสียง GLA ตั้งอยู่บนพแลทฟอร์ม MFA2 ที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในรุ่นปรับโฉมนี้ ได้เพิ่มระบบ Mild Hybrid ในทุกรุ่นย่อย ในรุ่น GLA 180 ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.3 ลิตรเท่าเดิม แต่เพิ่มระบบไฮบริด 48 โวลท์ ที่ให้แรงม้า 134 แรงม้า เพิ่มขึ้น 13 แรงม้า ในช่วงเวลาสั้นๆ GLA 200 มีระบบส่งกำลังเหมือนกับ GLA 180 แต่ให้พละกำลัง 161 แรงม้า GLA 220 และ GLA 250 เป็นแบบ "4MATIC" คือ เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ Mercedes-Benz ทั้งคู่มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ซึ่งให้กำลัง 188 แรงม้า และแรงบิด 300 นิวตันเมตร ดีเซลทุกรุ่นใช้ระบบไฮบริดแบบเดียวกัน จากเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ในรุ่น 180d ให้พละกำลัง 114 แรงม้า และ 220d 4MATIC ที่ให้พละกำลัง 188 แรงม้า และรุ่นพลัก-อินไ ฮบริด รุ่น 250e ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบชาร์จ ขนาด 1.3 ลิตร รวมกับแบทเตอรี 11.5 kWh ซึ่งใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย เป็นผลให้ระยะทางที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเดียวเพิ่มขึ้นจาก 60 เป็น 70 กม./การชาร์จไฟ 1 ครั้ง แต่กำลังรวมของ 250e ยังคงเท่าเดิมที่ 215 แรงม้า และแรงบิด 450 นิวตันเมตร