เรื่องน่ารู้
โดดจริง ไม่เกรงใจใคร ! กับ Ford Ranger Raptor Unbeatable Experience

หลังจากที่ได้ฟังบรรยายถึงข้อมูลของสถานีต่างๆ ในการขับขี่แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้ง 9 สถานีแล้ว ต้องบอกว่าอุปสรรค และความท้าทายที่จะได้เจอน่าตื่นเต้นมากๆ เพราะผู้ขับจะสัมผัสได้ถึงความสนุก ตื่นเต้นเร้าใจ และเข้าถึงสมรรถนะ และความฉลาดของเทคโนโลยีในรถ โดยเราได้ทดสอบ Ford Ranger Raptor กันทั้ง 2 เครื่องยนต์ ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ 210 แรงม้า ที่ 3,750 รตน. แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบ 397 แรงม้า ที่ 5,650 รตน. แรงบิดสูงสุด 583 นิวตันเมตร โดยทั้ง 2 รุ่นใช้เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ แบบ E-Shifter และแน่นอนว่าขับเคลื่อน 4 ล้อ
สถานีแรก "ขึ้นลงเนินชัน" เป็นสถานีเพื่อให้เราทำความคุ้นเคยกับรถเสียก่อน สถานีนี้เป็นการขับรถขึ้นลงเนินชันประมาณ 21 องศา ด้วยเกียร์ต่ำขับเคลื่อน 4 ล้อ (4L) โดยต้องใช้กล้องรอบคัน 360 องศา รวมถึงหน้าจอสถานะออฟโรด ที่จะช่วยให้สามารถมองเห็นสถานะของตัวรถรอบคันได้ โดยเฉพาะด้านหน้ารถ เพราะเราจะเห็นแต่ท้องฟ้า ไม่เห็นหน้ารถ
สถานีที่ 2 "ขึ้นลงเนินชัน Trail Control" สถานีนี้จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นไปอีกนิด ด้วยการขึ้นลงเนินชันกว่า 25 องศา โดยการใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติสำหรับการขับขี่แบบออฟโรด หรือ "Trail Control" ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีใน Ford Ranger Raptor เพียงรุ่นเดียวในตลาดขณะนี้ วิธีการใช้ต้องกดลอคความเร็วที่ต้องการ (สถานีนี้ตั้งไว้ 4 กม./ชม.) ระบบจะช่วยควบคุมความเร็วขณะขึ้นเนิน และลงเนินอัตโนมัติ ผู้ขับขี่เพียงควบคุมพวงมาลัยเท่านั้น ทำให้เราผ่านอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย
สถานีที่ 3 "ข้ามสะพานแคบ" สถานีนี้เป็นการขับผ่านสะพานแคบที่ต้องอาศัยกล้องรอบคัน 360 องศา รวมถึงหน้าจอออฟโรด ที่ทำให้มองเห็นเส้นแนวล้อเพื่อช่วยในการกะระยะ และเสริมความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ระหว่างขับผ่านอุปสรรคบนทางออฟโรด
สถานีที่ 4 "เนินสลับซ้ายขวา" สถานีนี้นับว่าโหดมาก ครั้งแรกที่นึกในใจว่าไปได้หรือ แต่ Ford Ranger Raptor ก็ไปได้แบบง่ายดาย สถานีนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ช่อง ช่องแรกเป็นเนินสลับที่สูง และชันมาก เอาไว้สำหรับ Raptor เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 ที่มี Diff lock หน้า และหลัง ส่วนอีกช่องหนึ่งไว้สำหรับ Raptor เครื่องยนต์ดีเซล ที่มีแค่ Diff lock หลังเท่านั้น วิธีการขับก็จะต้องเลื่อนไปโหมดหิน และเปิด Diff lock ไฟฟ้า แล้วค่อยๆ ประคองพวงมาลัย หรือเพิ่มคันเร่งเบาๆ เท่านั้น ตัวรถก็จะผ่านอุปสรรคไปได้อย่างสบายๆ
สถานีที่ 5 "โดด 3 เนิน ด้วย Baja" สถานีนี้ต้องบอกว่า "มันที่สุด" เพราะเป็นการพิสูจน์สุดยอดรถกระบะสมรรถนะสูง กับบททดสอบกระโดด 3 เนินความเร็วสูงด้วยโหมดบาฮา วิธีการ คือ ต้องเปลี่ยนเป็นโหมดบาฮา และปรับเปลี่ยนเกียร์ไปที่ 4H และเร่งขึ้นเนินสูงด้วยความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. คงที่ ช่วงล่าง FOX ทำงานได้ดีมาก แม้จะโดดลอยสูง 4 ล้อ เมื่อลงถึงพื้นดินตัวรถหยุดในครั้งเดียว สุดยอดจริงๆ
สถานีที่ 6 "สลาลอม ความเร็วสูง" สถานีนี้จะเป็นเส้นทางคดเคี้ยวดินสไลด์ในรูปแบบสลาลอม เป็นการทดสอบการควบคุมรถ และระบบกันสะเทือนของชอคอับ FOX ที่ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากการขับขี่ความเร็วสูง รถจะมีอาการ Understeer และ Oversteer แต่ก็สามารถแก้อาการเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
สถานีที่ 7 "ลุยทางทราย" สถานีนี้ต้องปรับเปลี่ยนเป็นโหมดทราย วิธีการ คือ ขับผ่านแอ่งทรายที่มีความร่วนสูง โดยระบบจะปรับอัตราการส่งกำลัง อัตราการทดเกียร์ และการทรงตัวโดยอัตโนมัติ เพื่อรักษาสมดุลการเคลื่อนที่ของตัวรถได้มากขึ้น
สถานีที่ 8 "ทางขรุขระ" สถานีนี้ต้องเปลี่ยนกลับมาเป็นโหมดบาฮา เพื่อสัมผัสกับความนุ่มนวลแต่มั่นคงของชอคอับ FOX บนเส้นทางขรุขระหลุมบ่อ ซึ่ง Raptor ทำได้ดีมาก ซับแรงกระแทบที่ส่งมาถึงคนขับได้ดี
สถานีที่ 9 "ทดสอบอัตราเร่ง" สถานีสุดท้าย คือ การทดสอบอัตราเร่งที่ดุดันไม่เกรงใจใคร ที่สัมผัสได้ถึงความสนุกสนานไปกับ Ford Ranger Raptor บนทางตรงความเร็วสูงในโหมดบาฮา ด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์ อัตราเร่ง ช่วงล่าง และเสียงท่อไอเสีย ทำให้การทดสอบครั้งนี้ ครบรสชาติจริงๆ ครับ
การทดสอบครั้งนี้ครอบคลุมสิ่งที่รถ Ford Ranger Raptor รุ่นล่าสุดมีให้ ได้ทดสอบประสิทธิภาพของชอคอับ FOX ขนาด 2.5 นิ้ว ทั้งแบบ Internal Bypass ของรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร และแบบ Live Valve Internal Bypass ของรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร ที่ให้ทั้งความนุ่มนวลบนถนนเรียบ และความแข็งแรงในการขับขี่บนสภาพพื้นผิวออฟโรด ไปจนถึงการออกแบบตัวรถที่บึกบึน ทั้งโครงด้านข้าง และซุ้มล้อขนาดใหญ่ จนถึงตัวถังที่มีระยะต่ำสุดจากพื้น (Ground Clearance) 272 มม. ทำให้มีความมั่นใจว่า Ford Ranger Raptor พร้อมสำหรับการลุยในทุกพื้นที่อย่างแท้จริง 

