ทดลองขับ(formula)
ORA 07 เก๋งไฟฟ้าตัวแรง กับความคลาสสิคตามแบบฉบับคนรักแมว
ORA 07 หรือ ORA Next Cat หรือ ORA Lightning Cat รถพลังไฟฟ้า 4 ประตูท้ายลาด รูปทรงสปอร์ทคูเป Flagship ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ ORA ของ Great Wall Motor (GWM) ที่ยังคงดีไซจ์นแบบเรทโร คลาสสิคร่วมสมัย คล้ายรถยนต์ไฟกลมยอดนิยมอย่าง Porsche แต่เลือกใช้ไฟท้ายรูปทรงวงรีแนวย้อนยุค แทนที่จะเป็นแถบยาวจากซ้ายไปขวา
ตัวรถยาว/กว้าง/สูง 4,871/1,862/1,500 มม. ระยะฐานล้อ 2,870 มม. ระยะความสูงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 125 มม. น้ำหนักรถ 2,115 กก. เมื่อเทียบกับ BYD Seal ที่อยู่ในกลุ่มซีดานไฟฟ้า 100 % ขนาดตัวยาว/กว้าง/สูง 4,800/1,875/1,460 มม. ระยะฐานล้อ 2,920 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 120 มม. น้ำหนักรถ 2,055 กก. ก็ต่างกันเล็กน้อย ORA 07 ยาวกว่า 71 มม. และมีน้ำหนักมากกว่า 60 กก.
ORA 07 มีด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Long Range และรุ่น Performance
ครั้งนี้ GWM ได้จัดรถ ORA 07 รุ่น Performance มาให้ทดสอบ (ทดลองขับ) กันในสนาม Bira Circuit พัทยา จ. ชลบุรี
ด้านหน้าคล้ายกับเจ้าเหมืยว Good Cat แต่ปรับให้กว้าง/ยาวลงตัวกับรูปทรงตัวรถ และขยายเล้นโค้งใต้กันชนหน้าให้ใหญ่ขึ้น และเน้นลายเส้น เพื่อให้ตัดกับความโค้งมน มีเส้นโค้งข้างตัวรถที่ออกแบบตามการไหลของลม และโค้งรับไปกับประตูบานหลัง
ไฟหน้า Intelligent LED ทรงกลมดีไซจ์นโดดเด่น ให้ความสว่างด้วยระบบเปิด/ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับไฟสูง/ต่ำอัตโนมัติ และฟังค์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่อง (Follow Me Home) พร้อม Daytime Running Light และไฟตัดหมอก LED
ด้านข้างออกแบบให้หน้าต่างด้านข้างโค้งสูง มีเส้นโดยรอบทั้งคัน มาพร้อมหน้าต่างไร้กรอบที่เป็นกระจกแบบ 2 ชั้น เพื่อช่วยในเรื่องการซับเสียง โดยจะเลื่อนลงเมื่อเปิดประตู และเลื่อนขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อปิดประตู
ล้อในรุ่น Performance ทาง GWM เลือกล้อขนาด 19 นิ้ว ที่มีลักษณะเหมือนอุ้งเท้าแมว ซึ่งผมมองว่าเป็นรอยแมวขยุ่มโซฟามากกว่า กับยาง Michelli Piot Sport EV ขนาด 235/45 R19 มองดูเรียบง่ายกว่า ล้ออัลลอยสไตล์สปอร์ทขนาด 18 นิ้ว และยางขนาด 235/50 R18 รุ่น Long Range
หลังคากระจกยาวตั้งแต่ด้านหน้าจรดท้ายแบบพาโนรามิค (Panoramic Glass Roof) เป็นกระจกที่ช่วยลดแสง และความร้อน อีกทั้งยังเป็นวัสดุที่ช่วยเก็บเสียงอีกด้วย
ด้านหลังแบบ Slip-Back ช่วยลดแรงต้านลม และซุ้มล้อกว้างออกมาเล็กน้อย ดูมีมิติมากขึ้น เพิ่มความรู้สึกแข็งแกร่ง
อีกจุดหนึ่งที่รุ่น Performance มีมาให้ คือ สปอยเลอร์ไฟฟ้าที่ยกขึ้นอัตโนมัติเมื่อใช้ความเร็วเกิน 70 กม./ชม. แทนที่จะเป็นแผ่นโค้งสีดำปิดไว้บนฝากระโปรงท้ายต่อจากกระจกบังลมหลังในรุ่น Long Range
สปอยเลอร์ไฟฟ้า รุ่น Performance มีมาพร้อมฟังค์ชันเปิด/ปิดอัตโนมัติที่สามารถตั้งให้เปิดเมื่อปลดลอครถ หรือเมื่อความเร็วถึง 70 กม./ชม.
ไฟท้ายแบบ LED สะดุดตา มาในรูปทรงวงรี ให้ความหรูหรา และความสปอร์ทในเวลาเดียวกัน เมื่อรวมกับสปอยเลอร์หลังไฟฟ้า ทำให้ดูแปลกตา
สีรถภายนอกรุ่น Long Range มีทั้งหมด 2 สี ได้แก่ ขาว (Jade White) เทา (Amethyst Grey)
รุ่น Performance มีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ ขาว (Jade White) เทา (Amethyst Grey) และเพิ่มสีพิเศษ คือ ม่วง (Crystal Purple)
ภายในห้องโดยสารเรียบง่ายสไตล์มีนีมอล มาพร้อมกับคอนโซลกลางรูปตัว T ลาดลงจากคอนโซลหน้า และการตกแต่งด้วยไฟสีสร้างบรรยากาศ Ambient Light เบาะคู่หน้าที่โอบรับผู้ขับ/ผู้โดยสาร โดยรุ่น Long Range ภายในเป็นสีดำ
ส่วนสีรถภายในรุ่น Performance จะมี 2 สี โดยขึ้นอยู่กับสีตัวรถ คือ ตัวรถสีเทา ภายในเป็นสีน้ำตาล ตัวรถสีขาว ภายในเป็นสีดำ ยกเว้นสีตัวรถม่วง จะเลือกสีภายในได้ทั้งสีน้ำตาล/สีดำ
เกียร์แบบ Electronic Shifter ชุดเกียร์ไฟฟ้าด้านหลังพวงมาลัย ส่วนการเชื่อมต่อของหน้าจอทั้ง 3 ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และปลอดภัย หน้าจอกลางอัจฉริยะแบบสัมผัส ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP5, Bluetooth, ระบบนำทาง และแสดงข้อมูลการขับขี่ต่างๆ หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทอล ขนาด 10.25 นิ้ว หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า (Head-up display)
แผงควบคุมที่คอนโซลกลาง พร้อมฟังค์ชันควบคุมระบบปรับอากาศ และมีสวิทช์หมุนควบคุมโหมดการขับขี่อยู่ด้านล่างสุด ช่วยให้การปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้สะดวก โดยสามารถเลือกโหมดได้ทั้ง โหมด Eco (ประหยัด) โหมด WELL BEING โหมด Normal (ปกติ) โหมด Sport (สปอร์ท) ส่วนโหมด Sport+ (สปอร์ทพลัส) ต้องกดปุ่มแดงที่พวงมาลัยหลังจากเลือก Sport และมีโหมดส่วนบุคคล
ระบบ Intelligent Quick Start System เพิ่มความสะดวกสบาย ให้พร้อมออกเดินทางทันทีเมื่อขึ้นมานั่งที่เบาะคนขับ และเหยียบเบรค ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อม PM2.5 filter ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย และระบบความบันเทิงพร้อมลำโพง Infinity จำนวน 11 ตัว ระบบแอมพลิฟายเออร์อิสระ พร้อมระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ
เบาะนั่งไฟฟ้าคู่หน้า พร้อมระบบเบาะนวดไฟฟ้า ระบบระบายอากาศช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทางและระบบดันหลังปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบ Memory Seat และระบบ Welcome Seat สะดวกสบายในการขึ้น/ลงจากรถ เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง
เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 มาพร้อมที่พักแขนตอนกลาง ช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง พร้อมช่องเสียบ USB A และ USB C
ORA 07 รุ่น Long Range มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 204 แรงม้า (150 กิโลวัตต์) แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 34.7 กก.-ม. (340 นิวตันเมตร) วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 640 กม. (NEDC Standard)
ส่วน ORA 07 รุ่น Performance ที่ทดลองขับครั้งนี้ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 204 แรงม้า (150 กิโลวัตต์) 2 ชุด ขับเคลื่อนล้อหน้ากับล้อหลัง ซึ่งบวกรวมได้ 408 แรงม้า (300 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 69.3 กก.-ม. (680 นิวตัน-เมตร) ตามตัวเลขของผู้ผลิต สามารถวิ่งได้ระยะสูงสุด 550 กม. (NEDC Standard)
หลังจากที่ได้ลองกดคันเร่งแบบเต็มๆ ในช่วงทางตรง อัตราเร่งดี แต่หน้ารถยกลอย จนรู้สึกเบาหวิวทั้งในโหมด Eco และ Sport ส่วนโหมด Sport + อาการหน้ายกน้อยลง พวงมาลัยยังมีน้ำหนักควบคุมได้
โค้งลงเขาเมื่อสุดทางตรงของสนาม ช่วงล่างที่นุ่มสบาย มีอาการโคลงตัวตามแรงเหวี่ยง ยาง Michelli Piot Sport EV ทำหน้าที่ได้ดี และเกาะถนน ไม่มีลื่นไถลออกไป
อุปสรรคต่อไปก็เป็น สลาลอม ขับอ้อมไพลอน ซ้าย/ขวา ขับผ่านไปได้สบาย ในโหมด Eco สนุกขึ้นในโหมด Sport และแรงสะใจในโหมด Sport + ล้อทั้ง 4 ถ่ายทอดกำลังลงพื้นได้ดี
เช่นเดียวกับการเปลี่ยนช่องทางกระทันหัน และโค้งรูปตัว S
ในกิจกรรมครั้งนี้ ทีมงาน GWM ได้ทดสอบสมรรถนะอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของ ORA 07 Performance 408 แรงม้า ผลที่ได้ คือ 4.28 วินาที (4.2799) ใกล้เคียงกับตัวเลขอย่างเป็นทางการ 4.3 วินาที แต่ยังเป็นรอง BYD Seal Performance ที่มีกำลังมากกว่า 500 แรงม้า ซึ่งทำไว้ 3.8 วินาที
ORA 07 ยังจัดเต็มเรื่องฟังค์ชันอัจฉริยะ (Intelligent Functions) และมีการอัพเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA) ระบบดังกล่าวมาพร้อมกับความสามารถในการอัปเกรดเฟิร์มแวร์สำหรับการควบคุมระบบขับเคลื่อน ระบบส่งกำลัง ระบบการขับขี่อัจฉริยะต่างๆ รวมถึงระบบ Infotainment และระบบควบคุมอื่นๆ ภายในรถยนต์ได้อย่างง่ายดาย
การสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Command) มีความสามารถในการจดจำเสียงได้เป็นอย่างดี จึงสามารถช่วยลดการใช้งานจากการกดปุ่ม เป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยผู้ขับขี่สามารถสั่งการ และโต้ตอบด้วยเสียงเพื่อใช้งานฟังค์ชันต่างๆ รวมไปถึงการเข้าถึงระบบเอนเตอร์เทนเมนท์ภายในรถ
GWM Application ระบบที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุม และเชื่อมต่อฟังค์ชันของรถยนต์ได้ แม้ผู้ขับขี่จะอยู่ในระยะที่ไกลจากตัวรถ เช่น การควบคุมระบบปรับอากาศ การลอค และปลดลอคประตู การค้นหารถยนต์ การปิดหน้าต่าง การปิดซันรูฟ การควบคุมระบบการระบายความร้อนของเบาะ การแสดงตำแหน่งรถยนต์ และระบบตรวจสอบสถานะอื่นๆ
Intelligent One Pedal เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ ผู้ขับขี่สามารถเร่ง หรือชะลอความเร็วได้เพียงคันเร่งเดียว
ระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่ และระบบความปลอดภัย
ORA 07 มาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยให้คุณ และครอบครัวเดินทางอย่างปลอดภัยไร้กังวล
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC) มาพร้อมกล้องติดรถยนต์ ADAS ช่วยควบคุมในช่วงความเร็วเต็มพิกัดที่กำหนดไว้ รวมถึงการหยุด และรีสตาร์ทกลับไปยังความเร็วที่ตั้งไว้ก่อนหน้า เมื่อระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ทำงาน กล้องจะทำการตรวจสอบความโค้งของถนน และความเร็วจะถูกปรับอัตโนมัติหากจำเป็นต้องลดความเร็วในขณะเข้าโค้งเพื่อความปลอดภัย และเมื่อผ่านโค้งไปแล้วรถจะกลับเข้าสู่ความเร็วเดิมที่ตั้งไว้
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA) เป็นระบบควบคุมความเร็ว ที่ช่วยควบคุมรถให้ติดตามรถด้านหน้า หรือขับต่อไปด้วยความเร็วคงที่เพื่อลดภาระของผู้ขับขี่
ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP) ใช้เซนเซอร์ และกล้องในการตรวจสอบเพื่อตรวจจับวัตถุ และเส้นบริเวณช่องจอด หรือจุดจอดรถ และช่วยทำงานเต็มรูปแบบเพื่อเข้าจอด ทั้งแนวตรง แนวจอดเทียบข้าง และแนวเฉียง โดยเมื่อระบุช่องว่างที่จะนำรถเข้าจอดแล้ว รถจะทำการจอดด้วยตัวเองด้วยการควบคุมพวงมาลัย เบรค และคันเร่ง
ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ในขณะที่ขับรถต่ำกว่า 30 กม./ชม. ระบบจะบันทึกเส้นทาง และสามารถถอยหลังกลับได้ในระยะ 50 ม. โดยอัตโนมัติ ในเส้นทางที่ถูกบันทึกไว้
กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา ประกอบไปด้วย กล้องที่มองได้รอบ 4 ตัว มีความละเอียดคมชัด 4 Megapixel โดยระบบจะรวมเอามุมมองภาพทั้ง 4 กล้องมาสร้างภาพที่มีมุมมอง 360 องศา เพื่อแสดงให้เห็นมุมมองของรถจากมุมบน ระบบทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่โหมดการถอยหลัง โดยสามารถดูได้เมื่อขับรถที่ความเร็ว 15 หรือ 30 กม./ชม. และตอนสตาร์ทรถ
ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรง และทางแยก (AEBI) ช่วยตรวจจับรถยนต์ทั้งทางตรง และทางแยก เมื่อเสี่ยงต่อการชน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียง และการเบรคอัตโนมัติ ช่วยหลีกเลี่ยงการชน หรือลดแรงกระแทก
ระบบช่วยเตือน และเบรคเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA & RCTB) เซนเซอร์ช่วยตรวจสอบจุดอับสายตาด้านหลังของตัวรถทั้งด้านซ้าย และด้านขวาของช่องทางเดินรถในขณะถอยหลัง เมื่อกำลังถอยหลังออกจาก
ช่องจอด เซนเซอร์หลังของรถจะทำการเชคด้านซ้าย และขวาของช่องจราจร และส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียง หากผู้ขับขี่ยังเพิกเฉย ไม่หยุดรถ ระบบเบรคอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉินจะเริ่มทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงการชน
เซนเซอร์กะระยะ 6 จุดด้านหน้า และ 6 จุดด้านหลัง
ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS) โดยระบบจะตรวจสอบรถบรรทุกขนาดใหญ่ หรือรถที่มีขนาดยาว ในระหว่างการแซง ระบบจะรักษาช่องว่างระหว่างรถตามระยะที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และกลับสู่เลนเดิมอัตโนมัติ
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ระบบตรวจจับเส้นถนน และช่วยประคองพวงมาลัยให้รถอยู่ในเลน
ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ระบบตรวจจับเส้นถนน และช่วยแจ้งเตือนเมื่อรถกำลังออกนอกเลน
ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK) ระบบตรวจจับเส้นถนน และช่วยประคองรถให้อยู่กึ่งกลางเลน
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) โดยหากมีการตรวจสอบพบรถอีกคันกำลังแล่นมา หรือมีรถแซงขึ้นมาจากอีกเลนหนึ่ง ระบบจะทำการแทรกแซงการทำงานมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดการชน
ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM) โดยรถจะพยายามรักษาเสถียรภาพเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน
ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA) เมื่อออกจากจุดที่หยุดนิ่งบนเนินสูงชัน เบรคจะยังคงค้างอยู่ราว 2 วินาที จนกระทั่งคันเร่งทำงานเพื่อป้องกันการถอยหลัง
ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW) หลังจากจอดรถยนต์แล้ว ระบบจะแจ้งเตือนหากระบบตรวจพบเป้าหมายที่เสี่ยงต่อการชนหากเปิดประตูรถยนต์
ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS) โดยรถจะทำการวัดแรงดันลมยางอย่างต่อเนื่อง และเตือนผู้ขับขี่หากมีแรงดันลมยางล้อใดลดลง
ส่วนเรื่องราคา รุ่น Long Range อยู่ที่ 1,299,000 บาท จ่ายน้อยกว่า BYD Seal 26,000 บาท และรุ่น Long Range อยู่ที่ 1,499,000 บาท ถูกกว่าคู่แข่งที่มี 530 แรงม้า 1 แสนบาท
การเปรียบเทียบข้อมูลจำเพาะระหว่างรุ่น Long Range และรุ่น Performance
|
รุ่น Long Range |
รุ่น Performance |
กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด |
150 กิโลวัตต์ (204 แรงม้า) |
300 กิโลวัตต์ (408 แรงม้า) |
แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด |
340 นิวตันเมตร |
680 นิวตันเมตร |
ระยะทางวิ่งสูงสุด (NEDC Standard) |
640 กิโลเมตร |
550 กิโลเมตร |
การขับแบบ 4 ล้อ (4WD) |
- |
l |
ขนาดล้อและยาง |
ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว |
ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว |
ที่จับประตูเปิดอัตโนมัติแบบไฟฟ้า |
l |
l |
เซนเซอร์กะระยะหน้า และหลัง |
ด้านหน้า 4 ตำแหน่ง ด้านหลัง 4 ตำแหน่ง |
ด้านหน้า 6 ตำแหน่ง ด้านหลัง 6 ตำแหน่ง |
หลังคาแบบ Panoramic Glass Roof |
l |
l |
เบาะนั่งคนขับพร้อมระบบ Memory Seat และ Welcome Seat |
- |
l |
เบาะนั่งคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้าพร้อมระบบระบายอากาศ |
- |
l |
เบาะนั่งคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้าพร้อมระบบเบาะนวดไฟฟ้า |
- |
l |
เบาะนั่งคนขับ ปรับไฟฟ้า |
6 ทิศทาง |
6 ทิศทาง |
เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า ปรับไฟฟ้า |
4 ทิศทาง |
4 ทิศทาง |
ระบบฆ่าเชื้อในห้องโดยสารด้วยแสงยูวี |
- |
l |
หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า |
- |
l |
จำนวนลำโพง |
11 ตำแหน่ง |
Infinity® 11 ตำแหน่ง |
ประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้าพร้อมระบบแฮนด์ฟรี |
- |
l |
สปอยเลอร์หลังไฟฟ้า |
- |
l |
ระบบจ่ายกระแสไฟ (V2L) |
l |
l |
ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP) |
- |
l |
ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) |
- |
l |