All-New Subaru Forester 2024 เปิดตัวแล้วที่สหรัฐอเมริกา

Subaru Forester รถเอสยูวีแบบครอสส์โอเวอร์ขนาดกลาง ที่เปิดตัวเจเนอเรชันแรกในปี 1997 ถูกสร้างขึ้นบนพแลทฟอร์มของ Subaru Impreza ในรูปแบบครอสส์โอเวอร์ยกสูง ต่อมาในเจเนอเรชันที่ 3 ได้รับการออกแบบให้เป็นรถเอสยูวีแบบครอสส์โอเวอร์ แยกออกมา

 

 

ระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา Subaru Forester กวาดยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกาไปแล้วกว่า 2.6 ล้านคัน โดยเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2023 ที่สหรัฐอเมริกา ได้เปิดตัว All-New Subaru Forester เจเนอเรชันที่ 6 ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนพแลทฟอร์ม Subaru Global Platform ที่เพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างขึ้น 10 % ทำให้มีประสิทธิภาพการขับขี่ดียิ่งขึ้น โดยในสหรัฐอเมริกามีให้เลือก 5 รุ่นย่อย ได้แก่ Base, Premium, Sport, Limited และ Touring พร้อมรับจอง และเตรียมส่งมอบให้ลูกค้าในช่วงกลางปี 2024

 

 

การขับขี่ของ Forester จะเฉียบคมขึ้น สามารถควบคุมได้ดีขึ้นบนแชสซีส์ใหม่ และยังมีความเงียบขึ้นด้วย เนื่องจากมีการเพิ่มวัสดุซับเสียง เพิ่มเติมเข้าไปทั้งภายใน และภายนอกห้องโดยสาร ทำให้เสียงรบกวนจากภายนอกเข้าห้องโดยสารน้อยลงกว่ารุ่นเดิม โดย Subaru ระบุว่า สามารถลดเสียงรบกวนจากหลังคาได้มากถึง 39 %

 

 

รูปลักษณ์ภายนอกของ Subaru Forester 2024 ใหม่ มีการปรับเปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน ไฟหน้าแบบ LED เชื่อมต่อกับกระจังหน้าขนาดใหญ่ ดีไซจ์นรูปตัว Y ถูกนำมาใช้ในหลายจุด ทั้งบริเวณชุดไฟหน้า ชุดไฟท้าย รวมถึงปลายสุดของกระจกหน้าต่างด้านข้างด้วยเช่นกัน

 

 

เส้นสายด้านข้างประตู ดูแข็งแรงบึกบึนมากยิ่งขึ้น เสริมด้วยซุ้มล้อ และแผงกันกระแทกบริเวณส่วนล่างของตัวถังที่ตกแต่งด้วยสีแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย และยังติดตั้งประตูท้ายไฟฟ้าแบบ Hands-Free Power Rear Gate ที่ใช้เท้ายื่นเข้าไปใต้กันชนเพื่อสั่งเปิด และปิดประตูท้ายโดยอัตโนมัติ

 

 

ขนาด และมิติตัวถังของ Subaru Forester 2024 มีความยาว 4,656 มม. ความกว้าง 1,829 มม. ความสูง 1,730 มม. ความยาวฐานล้อ 2,670 มม. และระยะต่ำสุดใต้ท้องรถ Ground Clearance 220 มม. และเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมที่ (ยาวxกว้างxสูง/ฐานล้อ) เท่ากับ 4,625x1,815x1,730/2,670 มม. พบว่ามีความยาว และความกว้างมากกว่าเล็กน้อย

 

 

ภายในห้องโดยสารมีความคล้ายคลึงกับ Subaru ยุคปัจจุบัน พี่เปิดตัวไปก่อนหน้า ทั้งแผงคอนโซลหน้า พวงมาลัย ที่ใช้วัสดุบุนุ่มคล้ายหนังเพิ่มเข้ามาในหลายจุด ทำให้ภายในดูพรีเมียมขึ้น เบาะนั่งถูกออกแบบให้สามารถรองรับสรีระได้ดียิ่งขึ้น บริเวณช่วงไหล่ที่บางลงเพื่อเพิ่มทัศนวิสัย

 

 

คอนโซลหน้าติดตั้งหน้าจอสัมผัส SUBARU STARLINK ขนาด 11.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย ขณะที่รุ่นเริ่มต้น (Base) จะได้หน้าจอ SUBARU STARLINK ขนาด 7 นิ้ว

 

 

ขุมพลังมีให้เลือก ทั้งเบนซิน 2.5 ลิตร และเบนซิน 2.0 ลิตร Hybrid โดยเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน BOXER DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.5 ลิตร กำลังสูงสุด 183 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 239 นิวตันเมตร กับเกียร์อัตโนมัติ LinearTronic CVT ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบสมมาตร Symmetrical All-Wheel Drive

 

 

ขุมพลัง Hybrid หรือ e-BOXER คาดว่าจะยกมาจาก Crosstrek ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน Boxer 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 194 นิวตันเมตร เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับระบบ e-BOXER มอเตอร์แบบ Permanent magnet AC synchronous ซึ่งให้แรงม้าสูงสุด 16.7 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 66 นิวตันเมตร แบทเตอรี Lithium-ion ขนาด 13.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง เกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT

 

 

โดยทั้ง 2 ขุมกำลังมาพร้อมระบบกระจายแรงบิด Active Torque Vectoring และระบบ SI-Drive เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical AWD

 

 

ด้านระบบความปลอดภัย EyeSight® กล้องมุมมอง 360 องศา Driver Assist Technology มีการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถตรวจจับคนเดินถนน และผู้ใช้จักรยานได้รวดเร็วกว่าเดิม

 

 

ระบบ Emergency Stop Assist ที่ช่วยหยุดรถอย่างปลอดภัย พร้อมเปิดไฟฉุกเฉิน และปลดลอคประตูอัตโนมัติหากพบว่าผู้ขับขี่ไม่มีการตอบสนองขณะใช้งานระบบ Advanced Adaptive Cruise Control

 

 

ระบบเบรคอัตโนมัติขณะถอยหลัง (Reverse Automatic Braking) และระบบแจ้งเตือนมุมอับด้านข้าง พร้อมฟังค์ชันควบคุมพวงมาลัย (Blind-Spot Detection with Lane Change Assist) เป็นต้น