ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Ferrari พิสูจน์ว่าอนาคตมาถึงแล้ว ด้วยยอดขายในไตรมาสที่ 3 ที่ทำได้มากถึง 3,188 คัน มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 271 คัน
โดยสัดส่วนยอดจำหน่าย 51.3 % เป็นรถไฮบริด และ 48.7 % เป็นรถสันดาปภายใน ซึ่งไตรมาส 3 ของปีนี้ ทางค่ายมีรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน 9 รุ่น กับขุมพลังไฮบริด 4 รุ่น และมีแผนผลิตรถไฟฟ้าล้วนภายในปี 2568 แต่ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา พบว่ามีความต้องการรถรุ่น 296 และ SF90 มากขึ้น โดยทั้ง 2 รุ่นใช้ขุมพลังพลัก-อิน ไฮบริด
วิธีนี้อาจนำมาใช้กับระบบพลัก-อิน ไฮบริด กับขุมพลัง วี 12 สูบ ของ Purosangue ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีสมรรถนะสูงด้วย แม้แต่ 812 ที่มีข่าวว่าจะไม่ใช้ระบบไฮบริด แต่ด้วยข้อบังคับด้านมลพิษที่เข้มข้น จึงอาจต้องปรับเปลี่ยนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับช่วงปลายทศวรรษ สัดส่วนการจำหน่ายรถของค่ายม้าลำพอง 40 % จะเป็นขุมพลังไฟฟ้าล้วน ส่วนอีก 40 % จะเป็นขุมพลังไฮบริด และอีก 20 % เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน
และจากอนาคตที่มืดมนของเครื่องยนต์สันดาปภายใน เมื่อมีน้ำมันเชื้อเพลิง e-Fuels เพื่อความยั่งยืนสำเร็จ ทำให้ Benedetto Vigna ซีอีโอของ Ferrari ประกาศความมุ่งมั่นพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายในที่รองรับเชื้อเพลิงที่มีค่าคาร์บอนเป็นกลาง ซึ่งช่วยส่งเสริมแผนกลยุทธ์ของบริษัทได้เป็นอย่างดี