ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Stellantis ได้อัพเกรดอุโมงค์ลมของบริษัท ซึ่งตั้งใกล้กับสำนักงานใหญ่ในมิชิแกน โดยให้ความสำคัญกับการลดแรงต้านอากาศ ช่วยให้รถไฟฟ้ามีระยะเดินทางไกลขึ้น
บริษัททุ่มทุนอัพเกรดอุโมงค์ลมถึง 29.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 993 ล้านบาท) ด้วยเทคโนโลยีผิวถนนจำลองแบบเคลื่อนไหว (Moving Ground Plane Technology)
โดยมีสายพานเคลื่อนตัวใต้ล้อเพื่อช่วยให้ล้อหมุน และสายพานชุดที่ 5 เป็นพื้นถนนที่เคลื่อนตัวผ่านใต้ท้องรถ เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมให้เหมือนกับการวิ่งบนถนนจริง
ชุดสายพานขับเคลื่อน ทำให้ล้อของรถทดสอบหมุนด้วยความเร็วจริงแทนที่จะตั้งอยู่โดยไม่หมุน ช่วยให้ทีมวิศวกรสามารถวัดแรงต้านลมที่กระทำกับล้อ และยางได้แม่นยำกว่า อุโมงค์ลมชุดนี้ถูกใช้งานตั้งแต่ปี 2545 และสร้างกระแสลมได้กว่า 257 กม./ชม.
Stellantis กล่าวว่าแรงต้านลมที่เกิดขึ้นกับล้อ และยาง สร้างแรงฉุดได้มากถึง 10 % หากลดแรงต้านลมที่ล้อ และยางได้ จะเลือกใช้แบทเตอรีขนาดเล็กลง, ทำให้ต้นทุนต่ำลง และรถมีน้ำหนักน้อยลง
นอกจากอุโมงค์ลมแห่งนี้แล้ว Stellantis ยังใช้เทคโนโลยีสภาพแวดล้อมจำลองกับอุโมงค์ลมอื่น ซึ่งใช้สำหรับทดสอบรถที่มีพแลทฟอร์มขนาดเล็ก ส่วนอุโมงค์ลมที่นี่จะใช้ทดสอบกับรถขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พแลทฟอร์ม STLA Large และ STLA Frame เป็นส่วนใหญ่
ขณะเดียวกัน Stellantis กำลังหาทางลดค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ของบริษัท ด้วยการลดจำนวนพนักงาน และปิดสนามทดสอบในยัคคา รัฐแอริโซนา นอกจากนั้น ยังพิจารณาให้หยุดผลิตรถบางแบรนด์ ที่ไม่สามารถทำยอดได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีกำไรลดลงถึง 48 % เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นยอดขายลดลงในตลาดสหรัฐอเมริกา