ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
สอท. ประกาศยอดผลิต เดือน กพ. ลดลงร้อยละ 13.62
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตรถยนต์ 115,487 คัน ลดลงร้อยละ 13.62 ขาย 49,313 คัน ลดลงร้อยละ 6.68 ส่งออก 81,323 คัน ลดลงร้อยละ 8.34 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 2,242 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 192.69 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 7,574 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.09
ศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) และสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า จำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีรายงานดังนี้
การผลิต
จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีทั้งสิ้น 115,487 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 13.62 เพราะผลิตขายในประเทศลดลงร้อยละ 21.26 โดยเฉพาะรถกระบะที่ยังคงลดลงร้อยละ 42.10 ตามยอดขายรถกระบะที่ลดลง และผลิตส่งออกลดลงร้อยละ 9.48 โดยเฉพาะรถยนต์นั่งลดลงถึงร้อยละ 47.01 ตามยอดส่งออกที่ลดลง
จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 222,590 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 19.29
รถยนต์นั่ง เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 38,563 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 23.55 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 16,379 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 44.64
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 2,242 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 192.69
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 2,227 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 311.65
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 17,715 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์2567 ร้อยละ 9.37
ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวน 74,277 คัน เท่ากับร้อยละ 33.37 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 27.85 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 32,349 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 48.02
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 3,907 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 174.95
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 4,392 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 366.24
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 33,629 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 12.31
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม- กุมภาพันธ์ 2568 ไม่มีการผลิต
รถยนต์บรรทุก เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 76,924 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 7.60 และตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 148,313 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 14.19
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 76,017 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 5.28 และตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 146,621 คัน เท่ากับร้อยละ 65.87 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 12.22 โดยแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 29,780 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 2.43
• รถกระบะ Double Cab 86,478 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 18.77
• รถกระบะ PPV 30,363 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ1.02
รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน-มากกว่า 10 ตัน เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 907 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 69.74 รวมเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 1,692 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 70.79
ผลิตเพื่อส่งออก
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 78,535 คัน เท่ากับร้อยละ 68 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 9.48 ส่วนเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 153,579 คัน เท่ากับร้อยละ 69 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 15.56
รถยนต์นั่ง เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตเพื่อการส่งออก 13,511 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 47.01 และตั้ง แต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 27,465 คัน เท่ากับร้อยละ 36.98 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 48.26
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 65,024 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 6.14 และตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 126,114 คัน เท่ากับร้อยละ 83.92 ของยอดการผลิตรถกระบะ ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 2.07 โดยแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 20,321 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 70.39
• รถกระบะ Double Cab 79,868 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 12.79
• รถกระบะ PPV 25,925 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 2.54
ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 36,952 คัน เท่ากับร้อยละ 32 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 21.26 และเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 69,011 คัน เท่ากับร้อยละ 31 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 26.52
รถยนต์นั่ง เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 25,052 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 0.43 แต่ตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ผลิตได้ 46,812 คัน เท่ากับร้อยละ 63.02 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ลดลงร้อยละ 6.12
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 10,993 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 42.10 และตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 20,507 คัน เท่ากับร้อยละ 13.99 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 46.39 ซึ่งแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 9,459 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ49.13
• รถกระบะ Double Cab 6,610 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ55.59
• รถกระบะ PPV 4,438 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ7.06
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม- กุมภาพันธ์ 2568 ไม่มีการผลิต
รถบรรทุก เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 907 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 69.74 และตั้งแต่เดือนมกราคม -กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 1,692 คันลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภา พันธ์ 2567 ร้อยละ 70.79
รถจักรยานยนต์
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 216,632 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 0.40 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 169,671 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 3.47 แต่ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 46,961 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 17.43
ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 430,703 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 2.19 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 345,527 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 2.28 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยาน ยนต์ (CKD) 85,176 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 1.82
ยอดขาย
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 49,313 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2568 ร้อยละ 1.20 และลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 6.68 จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินกับผู้ซื้อรถกระบะที่ยังคงลดลงร้อยละ 14.9 คงต้องรอยอดจองรถยนต์ในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ที่เริ่มวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษายน 2568 ที่สถาบันการเงินอาจปล่อยสินเชื่อรถกระบะมากขึ้น แต่เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงมาตรการช่วยเหลือรถกระบะในโครงการ "รถกระบะพี่ มีคลังค้ำ" โดยให้บริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อซื้อรถกระบะซึ่งเป็นรถประกอบธุรกิจของประชาชน และเกษตรกรซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย มีวงเงิน 5,000 ล้านบาทโดยเริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ซึ่งอยู่ในช่วงงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์ และส่งเสริมให้ SME ซื้อรถกระบะไปประกอบอาชีพ และสร้างรายได้ ขอบคุณรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงการคลังที่เห็นถึงความเดือนร้อนของผู้ประกอบอาชีพทุกภาคส่วน และเพื่อให้ยอดขายรถยนต์กระบะเพิ่มขึ้น จึงขอให้เร่งแก้กฎหมายให้ครอบคลุมถึงสถา บันสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคาร และสถาบันสินเชื่อของบริษัทรถยนต์ได้เข้าร่วม “โครงการรถกระบะพี่ มีคลังค้ำ”
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 30,788 คัน เท่ากับร้อยละ 62.43 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียว กันในปีที่แล้วร้อยละ 2.37
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 11,782 คัน เท่ากับร้อยละ 23.89 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 11.81
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 7,539 คัน เท่ากับร้อยละ 15.29 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 59.35
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 788 คันเท่ากับร้อยละ 0.53 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 209.02
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 10,679 คัน เท่ากับร้อยละ 21.66 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 19.04
รถกระบะมีจำนวน 13,184 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 15.13 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 35 ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 2,925 คัน ลดลงจากเดือนเดียว กันในปีที่แล้วร้อยละ 11.47 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 1,135 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 22.84 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 1,246 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 24.97
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 147,563 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 5.62 และเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 2.71
ตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 รถยนต์มียอดขาย 97,395 คัน ลดลงจากปี 2567 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 9.53 แยกเป็น
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 61,388 คันเท่ากับร้อยละ 63 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 6.85
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 23,787 คัน เท่ากับร้อยละ 24.42 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 14.03
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 14,558 คัน เท่ากับร้อยละ 14.95 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 0.12
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 1,753 คันเท่ากับร้อยละ 1.80 ของยอดขายทั้ง หมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 478.55
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 21,292 คัน เท่ากับร้อยละ 21.86 ของยอดขายรถยนต์นั่ง และรถ ยนต์นั่งตรวจการณ์ ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.83
รถกระบะมีจำนวน 25,441 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 16.31 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 39 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน6,027 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 5.50 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำ นวน 2,117 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 29.78 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 2,383 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนช่วงกันในปีที่แล้ว 21.27
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 303,913 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 2.10
การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ส่งออกได้ 81,323 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 30.49 แต่ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 8.34 เพราะจะมีการเปลี่ยนรุ่นรถของรถยนต์นั่งบางรุ่น จึงชะลอการผลิต ทำให้ส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย ยุโรปอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ยังคงต้องติดตามการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ารถยนต์ของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 2 เม ษายน 2568 ว่าจะมีประเทศไหนบ้าง และบางประเทศคู่ค้าลดคำสั่งซื้อเพื่อรอความชัดเจนในนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา บางประเทศคู่ค้ามีรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกเข้ามามีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น บางประเทศคู่ค้ามีกฎหมายควบคุมการปล่อยแกสเรือนกระจกมากประเทศขึ้น
ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ 2568 แบ่งเป็น ดังนี้
• รถกระบะ 52,947 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 65.11 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 7.34
• รถยนต์นั่ง ICE 10,297 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 12.66 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 47.64
• รถยนต์นั่ง HEV 4,942 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 6.08 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 30.16
• รถ PPV 13,137 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 16.15 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 3.83
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 57,326.37 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 5.50
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,741.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 16.58
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 10,737.89 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 35.69
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,257.92 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 1.84
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 73,063.43 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 10.91
เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 143,644 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 18.12 แบ่งเป็น
• รถกระบะ ICE 91,438 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 63.66 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 9.40
• รถยนต์นั่ง ICE 23,448 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 16.32 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 40.69
• รถยนต์นั่ง HEV 7,419 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.16 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 38.32
• รถ PPV 21,339 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.86 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 7.04
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 98,771.67 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 18.52 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 5,655.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 26.76
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 25,736.39 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 18.90
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 4,441.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 5.29
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 134,605.39 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 16.73
รถจักรยานยนต์
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนส่งออก 77,252 คัน (รวม CBU+CKD) เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2568 ร้อยละ 5.98 แต่ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 8.72 โดยมีมูลค่า 4,646.27 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 31.11
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 150.16 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 36.56
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 235.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 33.39
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ 5,032.19 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 29.69
เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 150,145 คัน (รวม CBU+CKD) ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 10.36 มีมูลค่า 10,793.77 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 13.66
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 327.72 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 28.29
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 437.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 35.13
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 11,559.40 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 12.97
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 78,095.61 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 12.42
เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยาน ยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 146,164.79 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 16.44
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนกุมภาพันธ์ 2568
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 7,375 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 16.42 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 5,161 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 42.22
o รถยนต์นั่ง จำนวน 5,091 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 66 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 4 คัน
• รถกระบะ รถแวน มีทั้งสิ้น 32 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 21.95
• รถยนต์สามล้อรับจ้าง มีทั้งสิ้น 2 คัน เท่ากับเดือนกุมภาพันธ์ 2567
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ จำนวน 2 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 2,140 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 17.28
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 2,140 คัน
• รถโดยสาร มีทั้งสิ้น 8 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 55.56
• รถบรรทุก มีทั้งสิ้น 32 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 44.83
เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสม มีจำนวน 22,086 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ0.86 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 17,558 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 2.06
o รถยนต์นั่ง จำนวน 17,426 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 119 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 6 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 7 คัน
• รถกระบะ รถแวน มีทั้งสิ้น 64 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ49.61
• รถยนต์สามล้อ มีทั้งสิ้น 2 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 50
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ จำนวน 2 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 4,403 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 9.03
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 4,402 คัน
o รถจักรยานยนต์สาธารณะ จำนวน 1 คัน
• รถโดยสาร มีทั้งสิ้น 10 คัน ซึ่งลดลงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 74.36
• รถบรรทุก มีทั้งสิ้น 49 คัน ซึ่งลดลงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 24.62
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนกุมภาพันธ์ 2568
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 12,050 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 0.49 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 11,997 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 0.26
o รถยนต์นั่ง จำนวน 11,978 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 4 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 8 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 7 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 53 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 112
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 53 คัน
เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 25,595 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 2.06 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 25,464 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 2.38
o รถยนต์นั่ง จำนวน 25,431 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 5 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 11 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 17 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 131 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 167.35
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 131 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนกุมภาพันธ์ 2568
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 1,020 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 14.09 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 1,020 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 14.09
o รถยนต์นั่ง จำนวน 1,020 คัน
เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 2,094 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ14.18 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 2,094 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ 14.18
o รถยนต์นั่ง จำนวน 2,091 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 3 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568
ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 249,335 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 61.88 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 176,747 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 65.33
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 173,292 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ64.02
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน มีจำนวน 2,614 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี2567 ร้อยละ 186.31
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 89 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ58.93
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 171 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 159.09
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 3 คัน ซึ่งในช่วงเดียวกันไม่มีการจดทะเบียน
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 578 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 160.36
• รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 933 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ128.68
• รถยนต์สามล้อ มีจำนวนทั้งสิ้น 1,020 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ12.46
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล มีจำนวน 114 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 35.71
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ มีจำนวน 906 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 11.17
• รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 66,890 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 55.63
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 66,773 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 55.84
o รถจักรยานยนต์สาธารณะ มีจำนวน 117 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 12.03
• อื่นๆ
o รถโดยสาร มีจำนวนทั้งสิ้น 2,799 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ13.87
o รถบรรทุก มีจำนวนทั้งสิ้น 946 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ156.37
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568
ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 494,816 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 33.90 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 485,399 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 34.68
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 484,228 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ34.67
o รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 501 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 4.16
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 84 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 47.37
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 233 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 33.91
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 150
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 348 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 133.56
• รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
• รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 9,414 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 3.36
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 9,414 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี2567 ร้อยละ 3.36
• อื่นๆ
o รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568
ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 65,252 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 16.98 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 65,252 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ16.98
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 65,177 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ16.99
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 43 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ4.88
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 21 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ66.67
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 6 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 50
................................................................................................................................
Porsche เปิดตัว 911 GTS ใหม่
Porsche ประเทศไทย เปิดตัว Porsche 911 GTS รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมเทคโนโลยี T-Hybrid เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมาพร้อมระบบขับเคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาใหม่ เพื่อยกระดับสมรรถนะการขับขี่อย่างเหนือชั้น
Michael Vetter กรรมการผู้จัดการ Porsche ประเทศไทย เปิดเผยว่า 911 GTS ใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยี T-Hybrid ก็ได้กลับขึ้นสู่จุดสูงสุดของกลุ่มรถสปอร์ทสมรรถนะสูงอีกครั้ง ด้วยการยกระดับสมรรถนะผ่านระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ที่เป็นหัวใจของ 911 ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายในการขับขี่ในชีวิตประจำวัน การควบคุมที่เฉียบคม และอารมณ์ความรู้สึกที่ได้รับจากการขับขี่อย่างแท้จริง
911 GTS ใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยี T-Hybrid เพื่อสมรรถนะที่เหนือชั้น
Porsche เผยโฉม 911 GTS ใหม่ ที่มาพร้อมเทคโนโลยี T-Hybrid เป็นครั้งแรก เพื่อยกระดับสมรรถนะสู่มาตรฐานใหม่ โดยนับเป็นการอัพเกรดครั้งสำคัญของตระกูล 911 อันเป็นเอกลักษณ์ กับการติดตั้งระบบขับเคลื่อนไฮบริดสำหรับการใช้งานบนท้องถนนเป็นครั้งแรกในรุ่น 911 Carrera GTS ระบบไฮบริดสมรรถนะสูงใหม่นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีมอเตอร์สปอร์ท ช่วยเพิ่มทั้งพละกำลัง และประสิทธิภาพการขับขี่อย่างมีนัยสำคัญ โดยยังสามารถควบคุมน้ำหนักตัวรถให้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ยังคงไว้ซึ่งบาลานศ์ และความคล่องตัวตามแบบฉบับของ 911 ได้อย่างลงตัว
911 GTS ใหม่ มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์บอกเซอร์ขนาด 3.6 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาใหม่อย่างเต็มรูปแบบ โดยผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เทอร์โบชาร์เจอร์ และแบทเตอรีแรงดันสูงขนาดกะทัดรัด เพื่อมอบสมรรถนะระดับสูงควบคู่กับการควบคุมน้ำหนักที่แม่นยำ มอเตอร์ไฟฟ้าตัวแรกถูกติดตั้งภายในเทอร์โบชาร์เจอร์ ทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า สามารถสร้างพลังงานไฟ ฟ้าได้สูงสุดถึง 20 กิโลวัตต์ (27 แรงม้า) และยังช่วยให้เทอร์โบตอบสนองได้อย่างฉับไว ลดอาการรอรอบ (Turbo Lag) เพื่อการเร่งที่ลื่นไหลในทุกช่วงความเร็ว
มอเตอร์ไฟฟ้าอีกตัวถูกติดตั้งอยู่ในระบบเกียร์อัตโนมัติ Porsche Doppelkupplung (PDK) 8 จังหวะ ทำหน้าที่ช่วยเสริมแรงบิดของเครื่องยนต์บอกเซอร์ได้สูงสุดถึง 300 นิวทันเมตร และเพิ่มกำลังขับเคลื่อนอีก 40 กิโลวัตต์ ส่งผลให้การตอบสนองของรถแม่นยำ และเร้าใจยิ่งขึ้น มอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 2 ตัวทำงานร่วมกับแบทเตอรีแรงดันสูงขนาด 1.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนักรวมของตัวรถให้คงไว้ซึ่งความสมดุลอันเป็นเอกลักษณ์ของ 911
นอกจากนี้ Porsche ยังได้ติดตั้งแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาดเล็กสำหรับระบบไฟฟ้าขนาด 12 โวลท์ แทนที่แบทเตอรีทั่วไป เพื่อลดน้ำหนักโดยรวม และเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายกำลังไฟฟ้าภายในระบบของรถอย่างเหมาะสมที่สุด ถือเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีมอเตอร์สปอร์ทเข้ากับยนตรกรรมสำหรับการใช้งานจริงได้อย่างลงตัว
แม้ในขณะที่ไม่มีการช่วยเสริมจากระบบไฟฟ้า เครื่องยนต์บอกเซอร์ขนาด 3.6 ลิตรของ 911 GTS ใหม่ ยังคงให้พละกำลังสูงถึง 357 กิโลวัตต์ (485 แรงม้า) และแรงบิด 570 นิวทันเมตร อย่างไรก็ ตาม เมื่อทำงานร่วมกับระบบ T-Hybrid สมรรถนะโดยรวมของรถจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ด้วยพละกำลังรวมสูงสุด 398 กิโลวัตต์ (541 แรงม้า) และแรงบิด 610 นิวทันเมตร ส่งผลให้รถสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 3.0 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 312 กม./ชม.
นอกเหนือจากการยกระดับด้านขุมพลัง Porsche ยังได้ปรับปรุงด้านอากาศพลศาสตร์ และระบบช่วงล่างของ 911 GTS ใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุม โดยมาพร้อมระบบกันสะเทือน Porsche Active Suspension Management (PASM) ที่ปรับระดับความสูงของตัวรถให้ต่ำลง 10 มม. เสริมด้วยระบบเลี้ยวล้อหลัง (Rear-Axle Steering) ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น GTS ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในความเร็วสูง และความคล่องตัวในความเร็วต่ำ ขณะเดียวกัน ระบบควบคุมช่วงล่าง Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) ยังได้รับการผสานเข้ากับระบบไฮบริดโดยตรง เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเข้าโค้ง และการทรงตัวในทุกสภาพถนน
ด้านดีไซจ์น และสมรรถนะทางอากาศ 911 GTS ใหม่ติดตั้งช่องระบายอากาศแบบแอคทีฟ พร้อมดิฟฟิวเซอร์ด้านหน้าที่สามารถปรับการไหลเวียนของอากาศโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มแรงกด และลดแรงต้าน ช่วยเสริมประสิทธิภาพ และการยึดเกาะถนนในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ปิดท้ายด้วยชุดแอโรไดนามิคเสริม และล้อดีไซจ์นใหม่ ที่ไม่เพียงช่วยเพิ่มความโดดเด่นด้านรูปลักษณ์ แต่ยังยกระดับการตอบสนอง และเสถียรภาพของรถในทุกสภาวะการขับขี่อย่างแท้จริง
ภายนอกของ Porsche 911 GTS ใหม่ ได้รับการปรับดีไซจ์นให้ทันสมัย และทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยชุดไฟหน้าแบบ Matrix LED ดีไซจ์นใหม่ กันชนหน้าที่ได้รับการออกแบบให้มีมิติ และความโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น พร้อมส่วนท้ายที่เสริมเส้นสายให้ดูแข็งแกร่ง แถบไฟท้ายดีไซจ์ใหม่พร้อมโลโก "Porsche" แบบฝังในตัว สะท้อนความประณีตในทุกรายละเอียด และช่วยเพิ่มความรู้สึกของความกว้าง และความดุดันให้แก่ตัวรถ สำหรับรุ่น Carrera GTS ยังมาพร้อมระบบไอเสียสปอร์ทแบบเฉพาะตัวที่ออกแบบมาเพื่อมอบเสียงเครื่องยนต์ที่เร้าใจยิ่งขึ้น
ภายในห้องโดยสาร Porsche ได้พลิกโฉมการออกแบบภายในของ 911 GTS ใหม่สู่ระบบดิจิทอลเต็มรูปแบบ โดยเปลี่ยนจากการใช้กุญแจแบบหมุนสตาร์ทมาเป็นปุ่มกด พร้อมติดตั้งแผงหน้าปัดแบบ ดิจิทอลขนาด 12.6 นิ้ว ซึ่งสามารถปรับแต่งการแสดงผลได้ตามความต้องการของผู้ขับขี่ ระบบ Porsche Communication Management (PCM) ได้รับการอัพเกรดให้รองรับการใช้งาน Apple Car Play อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้สามารถเข้าถึง และควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ของรถผ่านอุปกรณ์ Apple ได้โดยตรง นอกจากนี้ ยังเสริมความสะดวกสบายด้วยช่องชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย ระบบช่วยขับขี่ที่พัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และฟีเจอร์การสตรีมวีดีโอเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางในทุกมิติ
911 GTS T-Hybrid ใหม่ เปิดให้สั่งจองอย่างเป็นทางการแล้วในประเทศไทย โดยมีให้เลือกครบทั้งตัวถังแบบ Coupe, Cabriolet และ Targa พร้อมระบบขับเคลื่อนทั้งแบบล้อหลัง และขับเคลื่อน 4 ล้อ ทุกรุ่นมาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ Porsche Doppelkupplung (PDK) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับรุ่น 911 Carrera GTS ราคาเริ่มต้นที่ 17.4 ล้านบาท
นอกจากนี้ Porsche ยังนำ Curvistan Bangkok พื้นที่ไลฟ์สไตล์มัลทิฟังค์ชันชื่อดังจากย่านทองหล่อ มาจัดแสดงอย่างเต็มรูปแบบ ถ่ายทอดบรรยากาศของ Porsche Community ที่เปี่ยมด้วยความหรูหรา และรสนิยม พร้อมสร้างสรรค์พื้นที่เสมือนห้องนั่งเล่นสุดเอกซ์คลูซีฟ ที่อบอวลด้วยเสน่ห์ของยนตรกรรมระดับตำนาน เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสสมรรถนะ ความประณีต และมรดกแห่งแบรนด์ Porsche อย่างใกล้ชิดในบรรยากาศอันเป็นกันเอง
นอกจากนี้ ผู้เข้าชมยังจะได้พบกับข้อเสนอและแคมเปญสุดพิเศษสำหรับรถยนต์ Porsche หลากหลายรุ่นภายในงาน ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ใกล้ชิดกับยนตรกรรมระดับตำนาน พร้อมสัมผัสจิตวิญ ญาณแห่งการขับขี่ที่ Porsche นำเสนอได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่าพลาดโอกาสพิเศษนี้ ! งานจัดแสดงตั้งแต่วันนี้-6 เมษายน 2568
................................................................................................................................
Rolls-Royce เปิดตัว Ghost Series II
Rolls-Royce Motor Cars Bangkok ผู้นำเข้า และจำหน่ายรถยนต์ Rolls-Royce (โรลล์ส-รอยศ์) อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เปิดตัวอัครยนตรกรรมรุ่นล่าสุด Ghost Series II (โกสต์ ซีรีส์ ทู) ภายใต้คอนเซพท์ The Amplifier of Life, Elevating every Moment. พร้อมจัดแสดงต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษายน 2568 อาคารชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม IMPACT เมืองทองธานี
ฉัตรชัย แก้วผ่องศรี ผู้จัดการทั่วไป Rolls-Royce Motor Cars Bangkok กล่าวว่า นับเป็นอีกช่วงเวลาอันน่าจดจำที่ Rolls-Royce Motor Cars Bangkok ได้เปิดตัวอัครยนตรกรรมอีกรุ่น ที่มีความสำคัญต่อแบรนด์สัญชาติอังกฤษ คือ รุ่น Ghost Series II ตอบโจทย์ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ต้องการเดินทางอย่างเหนือระดับ โดยยนตรกรรมรุ่นดังกล่าว นับเป็นตัวแทนของหลักการพื้นฐานของ Rolls-Royce คือ ความสงบ, ความเรียบง่าย และความสง่างาม กลั่นกรองให้เป็นรูปแบบที่โดดเด่น และทรงพลัง
Rolls-Royce ก่อตั้งในปี 1904 โดย Charles Rolls และ Henry Royce ผลิตอัครยนตรกรรมที่หรูหรา และดีที่สุดในโลก และได้การยอมรับในฐานะ "King of Cars" อาทิ รุ่น Ghost, Phantom (แฟนทอม) และ Cullinan (คัลลิแนน)
Ghost Series II หรูหรา อลังการ และทันสมัยยิ่งขึ้น
ไฟหน้าแอลอีดีทรงเหลี่ยมดูทันสมัย เดย์ไทม์ รันนิงไลท์ได้รับการปรับปรุงใหม่ ลากยาวลงมาเกือบถึงกึ่งกลางของกระจังหน้า แดชบอร์ดเรืองแสง (Illuminated Fascia) ได้รับแรงบันดาลใจจากแสงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้ายามค่ำคืน กันชนหน้าดีไซจ์นใหม่ ดูสง่างามยิ่งขึ้น ล้อขนาด 22 นิ้วลายใหม่ ดูหรูหรา และพรีเมียมที่สุด จับคู่กับยางหน้า 255/35 R22 และหลัง 285/30 R22
ห้องโดยสารล้ำสมัยแบบจัดเต็ม
ตกแต่งด้วยหนังแท้ระดับพรีเมียม ลายไม้หรู และการปักลวดลายเฉพาะตัว ผู้โดยสารด้านหลังสามารถสตรีมิงได้จาก 2 อุปกรณ์พร้อมกันแบบแยกจออิสระ ชุดเครื่องเสียง Bespoke Audio ได้รับการอัพเกรดแอมพลิฟายเออร์เป็น 1,400 วัตต์ หน้าจอแสดงผลบนกระจก (HUD) เพิ่มความสะดวกในการขับ ระบบการมองเห็นช่วงกลางคืน (Night Vision System) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) แปรผันความเร็วตามรถคันหน้า
เรียบง่าย แต่ทรงพลัง ตามนิยาม "Effortless"
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน วี 12 สูบ ทวินเทอร์โบ 6.75 ลิตร 563 แรงม้า แรงบิด 850 นิวทันเมตร ส่งกำลังสู่ล้อทั้ง 4 แบบแปรผันอัตโนมัติ (All-Wheel Drive) ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ เชื่อมต่อกับดาวเทียม คำนวณจังหวะเกียร์ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.9 วินาที ช่วงล่างพลานาร์ (Planar Suspension System) และชอคอับถุงลมควบคุมด้วยอีเลคทรอนิคส์ ให้ความรู้สึกราวกับล่องลอยอยู่บนพรมวิเศษ
Rolls-Royce Ghost Series II มีจำหน่าย 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นปกติ (SWB-Standard Wheel Base) ราคาเริ่มต้น 34 ล้านบาท รุ่นฐานล้อยาว (EWB-Extened Wheel Base) ราคาเริ่มต้น 38 ล้านบาท
................................................................................................................................
Volvo เปิดตัว XC90
วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย)ฯ มอบทางเลือกที่ครอบคลุมให้ผู้สนใจในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 เปิดตัว Volvo XC90 (โวลโว เอกซ์ซี 90) รถพลัก-อิน ไฮบริด โฉมใหม่ล่าสุด สไตล์เอสยูวีขนาด 7 ที่นั่ง ภายใต้ดีไซจ์นการออกแบบใหม่ล่าสุดทั้งภายนอก และภายใน พร้อมเผยโฉม Volvo EX90 (โวลโว อีเอกซ์ 90) รถไฟฟ้า 100 % ขนาด 6 ที่นั่ง และพิเศษภายในงานกับสิทธิประโยชน์รวมมูลค่าสูงสุดกว่า 1,000,000 บาท พร้อมข้อเสนออีกมากมาย สำหรับผู้สนใจจอง และซื้อรถภายในงาน ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษายน 2568 ณ IMPACT ชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี
คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Volvo XC90 คือ หนึ่งในรถรุ่นยอดนิยมตลอดกาลของ Volvo ตั้งแต่เปิดตัว ด้วยคุณสมบัติที่ครบครันทั้งในด้านความสบายในการขับขี่ และโดยสาร ขนาดของรถในสไตล์เอสยูวีไซซ์ใหญ่ ความเรียบหรูในดีไซจ์นการออกแบบ ความอเนกประสงค์ในการใช้งาน หรือจะเป็นพลังการขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริด ซึ่งเมื่อนำมาทำตลาดควบคู่กับ Volvo EX90 ซึ่งเป็นเอสยูวีขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า 100 % ก็ยิ่งเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าทั้งในกลุ่มผู้ที่มีความพร้อมในการใช้งานรถไฟฟ้าแบบ 100 % และกลุ่มที่สนใจทดลองใช้งาน แต่ยังต้องการการขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเผื่อเป็นแผนสำรอง โดยเราเชื่อว่าการนำเสนอรถทั้ง 2 รูปแบบ เพื่อเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าในปัจจุบัน จะช่วยให้เราก้าวสู่เป้าหมายการเปลี่ยนสู่การเป็นบริษัทรถไฟฟ้าได้ในอนาคต
Volvo XC90 โฉมใหม่มาพร้อมดีไซจ์นการออกแบบที่เปลี่ยนโฉมทั้งภายนอก และภายใน ตั้งแต่กระจังหน้าที่ใหญ่ขึ้น และลายดีไซจ์นใหม่ด้วยเส้นโครเมียมแบบเฉียงซ้าย-ขวา พร้อมตรา Volvo Iron mark ทรง 3 มิติใหม่, ไฟหน้าดีไซจ์น Thor’s hammer อันเป็นเอกลักษณ์ ถูกออกแบบให้มีความเรียว และกว้างมากขึ้น เสริมด้วยเทคโนโลยีไฟเมทริกซ์ LED ใหม่ จึงให้แสงไฟที่ส่องสว่างครอบ คลุม และไกลขึ้นกว่าเดิม, กันชนหน้ามาพร้อมการออกแบบช่องดักลมด้านข้างแบบแนวตั้ง และแนวนอน ดีไซจ์นเรียวยาวบริเวณส่วนล่างของกันชน, ฝากระโปรงหน้าถูกปรับให้รับกับโฉมหน้าใหม่ของรถ เพื่อเพิ่มความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น, ท้ายรถมาพร้อมกับไฟท้ายที่มีการออกแบบให้เข้มขึ้น โดยการเปลี่ยนชิ้นส่วนโครเมียมภายในทั้งหมดเป็นสีดำ ทำให้เส้นแนวตั้งของการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น และให้รูปลักษณ์ที่ทันสมัย
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมระบบควบคุมอินโฟเทนเมนท์ที่ถูกปรับให้อัจฉริยะยิ่งขึ้น ผ่านอินเตอร์เฟศที่ใช้งานง่ายเหมือนการใช้งานในรถไฟฟ้า 100 % อย่างในรุ่น EX30 (อีเอกซ์ 30) และ EX90 บนหน้าจอแบบสัมผัสแนวตั้ง ความละเอียดสูง ไร้กรอบ ขนาดใหญ่ถึง 11.2 นิ้ว นอกจากนี้ ยังออกแบบที่วางแก้วใหม่แบบ 2+1 และยังได้มีการย้ายตำแหน่งแท่นชาร์จมือถือแบบไร้สายไปอยู่ระหว่างช่องคอนโซลด้านหน้าเพื่อการใช้งานที่สะดวกขึ้น ภายในรถยังมาพร้อมชุดเครื่องเสียงจากแบรนด์ระดับพรีเมียมอย่าง Bowers & Wilkins กับลำโพงคุณภาพเสียง Hi-Fi 19 ตำแหน่ง ให้กำลังขับ 1,410 วัตต์
Volvo XC90 พลัก-อิน ไฮบริด ใหม่ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ Drive E เบนซิน 2 ลิตร 4 สูบ พร้อมเทอร์โบชาร์จ และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 462 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุดที่ 709 นิวทันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. ตัวรถมาพร้อมพลังการขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริด ที่สามารถใช้งานทั้งในแบบการขับขี่ด้วยพลังมอเตอร์ไฟฟ้าที่มาพร้อมแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ความจุ 18.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางขับสูงสุดถึง 76.7 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง พร้อมระยะที่เพิ่มขึ้นเมื่อขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน ให้การขับขี่ และการโดยสารที่สบาย ด้วยระบบช่วงล่างแบบถุงลม สามารถปรับความหนืด ปรับการตอบสนองได้ตามสภาพถนน โดยทำงานร่วมกับแชสซีส์ด้วยความถี่ระดับ 500 ครั้ง/วินาที เพิ่มคุณภาพการขับขี่ให้นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น ทั้งช่วยในการทรงตัว และการเข้าโค้ง เพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ขับ และเพิ่มความสบายให้ผู้โดยสารในทุกที่นั่ง XC90 Ultra T8 Plug-in Hybrid Bright จำหน่ายในราคา 4,690,000 บาท
พร้อมกันนี้ วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย)ฯ ยังได้นำ Volvo EX90 รถไฟฟ้าที่ถูกออกแบบมาให้เป็นรถ Volvo ที่ปลอดภัยที่สุด ในแบบ 6 ที่นั่ง มาจัดแสดง เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่สนใจในรถไฟฟ้า 100 % สไตล์เอสยูวีขนาดใหญ่ ที่มองหาความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นในแง่ของการโดยสาร เนื่องจากมีพื้นที่ในการเข้า-ออกที่นั่งแถวหลังได้สะดวกขึ้น และการใช้งานซึ่งตอบโจทย์ในทุกโอกาสด้วยดีไซจ์นอันเรียบหรูในแบบสแกนดิเนเวียน และความพรีเมียมในการออกแบบ และวัสดุตกแต่งที่นำมาใช้ในรถ
Volvo EX90 รุ่น Ultra Twin Performance แบบ 6 ที่นั่ง มาพร้อมกับมอเตอร์คู่ที่ให้กำลังสูงสุด 517 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 910 นิวทันเมตร ทำให้มีสมรรถนะที่แข็งแกร่ง ให้ระยะทางสูงสุดถึง 745 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง และรองรับการชาร์จแบบ DC สูงสุด 250 กิโลวัตต์ โดยสามารถชาร์จจาก 10-80 % ได้ในเวลาเพียง 30 นาที ภายในมีห้องโดยสารที่กว้างขวาง และทันสมัย พร้อมหน้าจอสัม ผัสขนาด 14.5 นิ้ว, Google built-in และระบบความปลอดภัยขั้นสูงที่ขับเคลื่อนด้วยชิพ Nvidia Drive AI นอกจากนี้ EX90 ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่มอบการเดินทางที่พรีเมียม เช่น เบาะนวดด้านหน้า และระบบกันสะเทือนแบบถุงลม เพื่อการขับขี่ที่สบาย EX90 Ultra Twin Motor Performance 6 ที่นั่ง จำหน่ายในราคา 4,890,000 บาท
ภายในงาน Volvo ได้เตรียมสิทธิประโยชน์รวมมูลค่าสูงสุดกว่า 1,000,000 บาท พร้อมข้อเสนออีกมากมาย อาทิ
รับสิทธิประโยชน์สูงสุดถึง 1,000,000 บาท เมื่อจอง และซื้อรถ XC90 Recharge Ultimate T8 Plug-in Hybrid Bright หรือรับสิทธิประโยชน์สูงสุดถึง 700,000 บาท สำหรับรุ่น XC90 Recharge Plus T8 Plug-in Hybrid Dark พร้อมรับฟรี
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เป็นเวลา 3 ปี
บริการรับประกันคุณภาพแบทเตอรีแรงดันสูง 8 ปี หรือ 160,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)
รับฟรี เครื่องชาร์จไฟแบทเตอรีแรงดันสูงแบบติดผนัง รับประกันอายุการใช้งาน 18 เดือน พร้อมบริการตรวจสภาพระบบไฟฟ้าภายในบ้านพร้อมติดตั้ง
รับข้อเสนอพิเศษเมื่อจอง และซื้อรถไฟฟ้า 100 % อาทิ รุ่น EX90, EC40, EX40 EX30 หรือรถพลัก-อิน ไฮบริด S90, S60, XC60 หรือ V60 โดยตัวอย่างข้อเสนอพิเศษ อาทิ
ฟรี ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 สูงสุดเป็นเวลา 3 ปี
ฟรี Volvo Premium Service Package-Pro (VPSP Pro) ซึ่งประกอบด้วย บริการรับประกันคุณภาพ, บริการบำรุงรักษา และบริการให้ความช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง หรือฟรีบริการหลังการขาย ซึ่งประ กอบด้วย บริการรับประกันคุณภาพ และบริการให้ความช่วยเหลือ 24 ชม.
บริการรับประกันคุณภาพแบทเตอรีแรงดันสูง
ฟรี เครื่องชาร์จไฟแบทเตอรีแรงดันสูงแบบติดผนัง และการรับประกัน และฟรีบริการตรวจสภาพระบบไฟฟ้า และติดตั้ง
................................................................................................................................
Omoda & Jaecoo เปิดตัวพร้อมประกาศราคา Jaecoo 7 SHS
Omoda & Jaecoo (โอโมดา แอนด์ เจคู) ภายใต้บริษัท Chery Automobile (เชอรี ออโทโมบิล) ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก เปิดตัวพร้อมประกาศราคา Jaecoo 7 SHS (Super Hybrid System) ราคาคาดการณ์เริ่มต้น 899,000 บาท พร้อมแถลงภาพรวมการตลาดของ Omoda & Jaecoo และแผนการนำ Chery แบรนด์ชั้นนำระดับโลก มาทำการตลาดในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “New Energy, New Eco, New Era” พร้อมยกทัพเทคโนโลยียนตรกรรมสุดล้ำ และดีไซจ์นทันสมัยจากโมเดลใหม่ล่าสุดหลากหลายรุ่น ทั้งจาก Omoda & Jaecoo และ Chery มาจัดแสดงพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ ตั้งแต่วันนี้-6 เมษายน 2568 ณ IMPACT ชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี
พิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน รองประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Jaecoo 7 SHS (เจคู 7 เอสเอชเอส) เป็นยนตรกรรมที่ก้าวข้ามข้อจำกัดของรถพลัก-อิน ไฮบริดทั่วไป มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ผสานจุดเด่นของทั้งรถไฟฟ้า และรถยนต์ไฮบริด ไว้ในคันเดียว ไม่ว่าผู้ใช้จะต้องการความเงียบ และประหยัดพลังงานสำหรับการเดินทางในเมือง หรือสมรรถนะอันทรงพลังสำหรับการเดินทางไกล Jaecoo 7 SHS พร้อมตอบสนองทุกความต้องการอย่างลงตัว นี่คือ ตัวอย่างชัดเจนของปรัชญาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นนวัตกรรมล้ำสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ครอบครัวยุคใหม่ในราคาที่เข้าถึงได้ รวมถึงยังประหยัดค่าใช้จ่ายการเดินทาง และค่าบำรุงรักษาอีกด้วย
ปีนี้ Jaecoo ได้นำเสนอรุ่นเริ่มต้น Jaecoo 6 EV Long Range 2WD Pro (เจคู 6 อีวี ลอง เรนจ์ 2WD พโร) เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนในเมืองที่หลงใหลในรูปทรง One Box Style และต้องการขับรถที่ลดมลภาวะทางอากาศ ด้วยราคาคาดการณ์ 899,000 บาท และสีใหม่ Cyber Yellow ที่สร้างความโดดเด่นสะดุดตาบนท้องถนน
Jaecoo 7 SHS (Super Hybrid System) ประกอบด้วย 2 รุ่นย่อยได้แก่
· Jaecoo 7 SHS Dynamic - ราคาคาดการณ์ 899,000 บาท
· Jaecoo 7 SHS Max - ราคาคาดการณ์ 999,000 บาท
ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยี และคุณสมบัติที่ได้รับ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการใช้งานที่ประหยัดกว่า
1. ฟรีค่าบำรุงรักษาเป็นระยะเวลา 2 ปี
2. "Eco Bonus" Campaign เงินสนับสนุน 10,000 บาท* เมื่อนำเล่มจดทะเบียนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป หรือ HEV มาแสดง
3. การรับประกันครอบคลุมระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 200,000 กิโลเมตร
4. ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
ค่าบำรุงรักษารถยนต์ Jaecoo 7 SHS |
ค่าบำรุงรักษา รถ Plug-in Hybrid นวัตกรรมเดิม |
ค่าบำรุงรักษา รถ Hybrid |
ค่าบำรุงรักษา รถสันดาป |
เฉลี่ย 27,051 บาท/5 ปี |
เฉลี่ย 39,837 บาท /5 ปี |
เฉลี่ย 40,631 บาท /5 ปี |
เฉลี่ย 39,071 บาท /5 ปี |
จากความสำเร็จของ Omoda & Jaecoo ในตลาดไทยที่ผ่านมา ได้เป็นแรงผลักดันสำคัญให้บริษัทแม่อย่าง Chery Automobile ตัดสินใจเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มตัว โดยจะเข้ามาเพิ่มฐานลูกค้า และเครือข่ายการตลาดที่ Omoda & Jaecoo สร้างไว้ พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น
ในงานครั้งนี้ Chery ได้นำรถยนต์รุ่นใหม่ 3 รุ่นมาจัดแสดงเป็นครั้งแรก ได้แก่ Chery Arrizo 8L (เชอรี อาร์ริโซ 8 แอล) รถซีดานพลัก-อิน ไฮบริดสุดลักชัวรี, Chery Tiggo 9 (เชอรี ทิกโก 9) เอสยูวีพลัก-อิน ไฮบริดสำหรับครอบครัว และ Chery Tiggo Cross (เชอรี ทิกโก ครอสส์) คอมแพคท์เอสยูวีไฮบริดสำหรับคนรุ่นใหม่ การขยายตลาดในประเทศไทยของ Chery นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ ผ่านหลักการ "Green, Technology, Family, Companionship" และให้ความสำคัญกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย และมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก
ข้อเสนอสุดพิเศษให้แก่ลูกค้าที่จองรถยนต์ ภายในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
Omoda C5 EV Model Year 2025 (โอโมดา ซี 5 อีวี ปี 2025) รถไฟฟ้าที่ก้าวข้ามขีดจำกัดสู่โลกอนาคต สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขอบเขต ผสมผสานการออกแบบที่ทันสมัย และเทคโนโลยีแห่งอนาคตได้อย่างลงตัว มาพร้อมกับส่วนลดสูงสุด 220,000 บาท (จำนวนจำกัด)
· Omoda C5 EV Long Range Ultimate Model Year 2025 ราคาหลังหักส่วนลด 729,000 บาท (จาก 949,000 บาท)
· Omoda C5 EV Long Range Plus Model Year 2025 ราคาหลังหักส่วนลด 679,000 บาท (จาก 899,000 บาท)
สำหรับ Jaecoo J6 EV (หรือ iCAR 03 ในจีน) มาพร้อมกับส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท Jaecoo 6 EV มีให้เลือก 2 รุ่น
· รุ่น Long Range 4WD : สมรรถนะ 279 แรงม้า ระยะทางขับขี่ 418 กม. (NEDC) พร้อม 9 โหมดการขับขี่ (Eco, Normal, Sport, Custom, All road, Slippery, Beach, Muddy, Bumpy) ราคาหลังหักส่วนลด 1,149,000 บาท (จาก 1,249,000 บาท)
· รุ่น Long Range 2WD : สมรรถนะ 184 แรงม้า ระยะทางขับขี่ 426 กม. (NEDC) พร้อม 4 โหมดการขับขี่ (Eco, Normal, Sport, Custom) ราคาหลังหักส่วนลด 999,000 บาท (จาก 1,099,000 บาท)
· ฟรี ! ประกันภัยชั้น 1 ระยะเวลา 1 ปี*
· ฟรี ! Home Charger พร้อมติดตั้ง มูลค่า 25,000 บาท*
เพียงจอง และออกรถ Jaecoo 6 EV (หรือ iCAR 03 ในจีน) ตั้งแต่วันนี้-30 เมษายน 2568
พร้อมรับข้อเสนออื่นๆ
* หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
* เงื่อนไขทั้งหมดเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด และบางข้อเสนอพิเศษนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับรายการโปรโมชันอื่นๆ ได้
Jaecoo ได้จัดแคมเปญ “One Box Design” Contest สำหรับแฟนๆ ผู้ชื่นชอบแต่งรถ Jaecoo 6 EV ร่วมประกวดชุดแต่งที่ถูกใจมหาชนมากที่สุด ต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ของผู้ใช้งาน โดยมี
· รางวัลที่ 1 มูลค่า 100,000 บาท
· รางวัลที่ 2 มูลค่า 50,000 บาท
· รางวัลที่ 3 มูลค่า 25,000 บาท
· รางวัลที่ 4-10 อีก 7 รางวัล มูลค่า 10,000 บาท ต่อรางวัล
โดยเริ่มส่งรูปเข้าประกวดได้ตั้งแต่ 26 มีนาคม-31 กรกฎาคม 2568 และเริ่มโหวทวันที่ 1-26 สิงหาคม 2568 ประกาศผลผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของ Omoda & Jaecoo ในวันที่ 27 สิงหาคม 2568
โปรโมชันพิเศษในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
ลูกค้าที่สนใจสามารถเยี่ยมชม Jaecoo 7 SHS, Jaecoo 6 EV Long Range 2WD Pro และรถรุ่นอื่นๆ จาก Omoda & Jaecoo ได้ที่บูธหมายเลข A23 ในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 พร้อมรับข้อเสนอพิเศษ เฉพาะจองวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษายน 2568 เท่านั้น
1. ฟรีค่าบำรุงรักษาเป็นระยะเวลา 2 ปี
2. "Eco Bonus" Campaign เงินสนับสนุน 10,000 บาท* เพียงนำเล่มจดทะเบียนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป หรือ HEV มาแสดง
เมื่อซื้อรถไฟฟ้า Jaecoo 7 SHS Dynamic และ Jaecoo 7 SHS Max
3. ฟรี การรับประกันครอบคลุมระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 200,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*
• การรับประกันคุณภาพรถใหม่ (Warranty)
• การรับประกันระบบมอเตอร์ขับเคลื่อน (Driving motor system)
• การรับประกันแบทเตอรีแรงดันสูง (High Voltage Battery)
• การรับประกันระบบพลัก-อิน ไฮบริด (PHEV-HEV systems warranty)
• การรับประกันหน้าจอแบบสัมผัส (Display Touchscreen warranty)
4. ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
เรเว่ ออโตโมทีฟฯ เปิดตัว BYD Lab เป็นครั้งแรกของไทย
บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่าย และให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD (บีวายดี) และ Denza (เดนซา) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ เปิดตัว BYD Lab เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ณ IMPACT เอกซิบิชัน ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี โดยผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสกับนวัตกรรมล่าสุดมากมายจาก BYD ผ่านกิจกรรมที่น่าตื่นตาหลายรูปแบบ รวมถึงการทดลองขับรถยนต์ภายในอาคาร ผ่านสถานีจำลองที่มีความท้าทาย, นิทรรศการแสดงเทคโนโลยีผ่านสื่อหลายรูปแบบ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่สำคัญ กิจกรรม BYD Lab เปิดให้เข้าชมฟรี ทั้งยังมีสิทธิพิเศษมากมายให้แก่ลูกค้าของ เรเว่ ออโตโมทีฟฯ ที่มาร่วมกิจกรรม ทั้งลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้าที่จองรถในงานมอเตอร์โชว์
ประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า BYD เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ เรเว่ ออโตโมทีฟฯ จึงได้ร่วมมือกับสำนักงานใหญ่ของ BYD เพื่อจัดกิจกรรม BYD Lab ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งรูปแบบของกิจกรรมผ่านการปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการ ของผู้บริโภคชาวไทย ให้ทุกท่านได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้ เทคโนโลยียานยนต์แห่งโลกอนาคต ที่ติดตั้งในรถยนต์ BYD เรามั่นใจว่างานนี้ควรค่าแก่การเยี่ยมชม เนื่องจากมีกิจกรรมตื่นตาหลายรูปแบบ ซึ่งอัดแน่นอยู่บนพื้นที่จัดแสดงขนาด 5,000 ตรม.
ประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า งาน BYD Lab มีกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์มากมาย รวมถึงครั้งแรกของไทยกับการสาธิตระบบขับเคลื่อนรถยนต์เหนือน้ำในกรณีฉุกเฉิน หรือ Emergency Floating Function ซึ่งติดตั้งมาใน Yangwang U8 (หยางหว่าง ยู 8) ทั้งยังมีการสาธิตระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ แบบ Crab Walk ใน Denza Z9 GT (เดนซา เซด 9 จีที) อีกด้วย นอกจากนั้น ยังมีรถยนต์ BYD และ Denza ให้สัมผัสในงาน ทั้งรถยนต์จัดแสดง และรถยนต์ทดลองขับ หากคุณ คือ ผู้ที่สนใจเทคโนโลยียานยนต์ล่าสุด BYD Lab คือ งานที่คุณไม่ควรพลาด
BYD Lab แบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลักด้วยกัน ประกอบด้วย Creation-Lab, Tech-Lab, Vision-Lab, Simulation-Lab และ Test-Lab โดยแต่ละสถานีผ่านการพัฒนา และออกแบบมาภายใต้ 3 แนวคิดหลัก เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้ สังเกต (Observing), เรียนรู้ (Learning) และทดสอบ (Testing) จุดเริ่มต้นของกิจกรรมอยู่ที่จุดลงทะเบียน ซึ่งทุกท่านจะได้รับ E-Passport ไว้สะสม E-Stamp หลังจากที่เข้าร่วมกิจกรรมจนเสร็จสิ้นในแต่ละส่วน ซึ่งจะมีของที่ระลึกจาก BYD Lab มอบให้แก่ผู้เข้าเยี่ยมชมงานที่สะสม E-Stamp จนครบตามที่กำหนดด้วย
แต่ละส่วนของ BYD Lab ล้วนมีไฮไลท์อยู่ ซึ่งทั้งหมดรวบรวมอยู่บนพื้นที่จัดแสดงกว่า 5,000 ตรม. โดยส่วนแรกของกิจกรรมนั้น คือ Creation-Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ค้นพบนวัตกรรม และเทคโน โลยีรถยนต์ไฟฟ้าจาก BYD ผ่านนิทรรศการที่มีสื่อหลากหลายรูปแบบ รวมถึงรถยนต์จัดแสดง ในสถานีถัดไปเป็น Tech-Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานได้เรียนรู้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าผ่านการจัดแสดง E-Platform
ส่วนที่ 3 ของ BYD Lab คือ Vision-Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสกับ Yangwang U8 คันจริง ร่วมกับการใช้กล้อง Interactive AR เพื่อศึกษาเทคโนโลยีในรถยนต์ผ่านภาพเสมือนจริง ในส่วนถัดไปเป็น Simulation-Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานชมศักยภาพของ Yangwang U8 ที่สามารถขับเคลื่อนได้ในสระน้ำความลึก 1.5 ม. ในส่วนสุดท้าย ผู้เข้าร่วมงานจะได้ทดลองขับรถยนต์ BYD รุ่นที่ชื่นชอบผ่านสถานีจำลองรูปแบบต่างๆ ในส่วน Test-Lab
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีคอนเสิร์ทจากนักร้องชื่อดังที่งาน BYD Lab อีกด้วย พิเศษสำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์ BYD หรือ Denza ในงานมอเตอร์โชว์ จะได้รับ BYD Card เพื่อรับสิทธิ์เข้าใช้บริการใน BYD Exclusive Lounge สำหรับลูกค้าปัจจุบันของ เรเว่ ออโตโมทีฟฯ เพียงโชว์ BYD App ที่หน้างาน สามารถเข้าร่วมงาน พร้อมรับสิทธิ์ใช้บริการในพื้นที่พิเศษ ซึ่งมีอาหาร และเครื่องดื่มไว้ให้บริการโดยเฉพาะ
เชิญพบกับนวัตกรรมยานยนต์แห่งโลกอนาคตจาก BYD ได้ที่ BYD Lab ซึ่งเปิดให้เข้าชมฟรีที่ IMPACT เอกซิบิชัน ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น. ในวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษา ยน 2568 พร้อมพบกับทัพนตรกรรม BYD และ Denza ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต ได้ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ณ IMPACT เมืองทองธานี บูธหมาย เลข A20 สำหรับ BYD และ A18 สำหรับ Denza ซึ่งจัดคู่ขนานกับงาน BYD Lab และไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหว เพียงติดตาม Official Facebook Page: BYD Rever Thailand ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมของรถยนต์ BYD ทุกรุ่นได้ที่ reverautomotive.com
................................................................................................................................
ลดราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล 1 บาท/ลิตร
ข่าวดี ! กบน. ลดราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล 1 บาท/ลิตร ปรับ 2 ครั้ง เริ่มรอบแรกพรุ่งนี้ 28 มีค. นี้
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลงสำหรับกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลงรวม 1 บาท/ลิตร
ซึ่งการปรับลดราคาดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 2 ระยะ ครั้งละ 50 สตางค์/ลิตร คือ
- ครั้งที่ 1 วันที่ 28 มีนาคม 2568 : 50 สตางค์/ลิตร
- ครั้งที่ 2 วันที่ 4 เมษายน 2568 : 50 สตางค์/ลิตร
สำหรับมติให้ปรับลดราคาน้ำมันเป็น 2 ครั้ง โดยครั้งละ 50 สตางค์ รวมเป็น 1 บาทนั้น สาเหตุมาจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอาจกระทบผู้ให้บริการ ถ้าประกาศลดทีเดียว 1 บาท ดังนั้น การค่อยๆ ปรับลดลงจะทำให้เกิดผลกระทบกับคู่ค้าน้อยลง และไม่ต้องมีประเด็นโต้แย้งมากมาย อย่างไรก็ตาม กบน. เตรียมกำหนดแนวทางดูแลราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้สอดรับกับสถานการณ์ และความเหมาะสม โดยพิจารณาจากแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เริ่มมีรายรับเพิ่มขึ้น
