ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
BYD ประกาศผลิต Seal 5 DM-I ในไทย
บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่าย และบริการหลังการขายรถยนต์พลังงานใหม่ BYD (บีวายดี) และ Denza (เดนซา) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ฉลองความสำเร็จ บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตรถยนต์ BYD ในประเทศไทย ครบรอบ 1 ปี พร้อมส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทย 90,000 คัน ประกาศผลิต BYD Seal 5 DM-I (ซีล 5 ดีเอม-ไอ) รถยนต์ขุมพลัง PHEV รุ่นแรกของไทย ส่งมอบเดือนสิงหาคมนี้
หลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 โรงงาน BYD ได้ส่งมอบรถยนต์คันแรกอย่างเป็นทางการรุ่น BYD Dolphin (ดอลฟิน) ทั้งยังเป็นรถยนต์พลังงานใหม่คันที่ 8,000,000 ของโลก ที่ BYD ส่งมอบด้วย นอกจากนั้น โรงงานแห่งนี้ยังเป็นโรงงานแห่งแรกของ BYD ที่ตั้งอยู่นอกประเทศจีน และมีกำลังการผลิตสูงสุด 150,000 คัน/ปี ปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีการลงทุนในประเทศไทยแล้วรวมประมาณ 35,925 ล้านบาท และมีการจ้างงาน 6,100 อัตรา
โรงงานแห่งนี้ ผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศ และเพื่อการส่งออก โดยผลิตรถยนต์ 3 รุ่น ประกอบด้วย BYD Dolphin, BYD Atto 3 (อัตโต 3) และ BYD Sealion 6 DM-I (ซีไลออน 6 ดีเอม-ไอ) มีสัดส่วน Local Content ประมาณ 45-50 % ทั้งยังมีรถยนต์ 2 รุ่นที่ได้รับใบรับรอง Made in Thailand และในอนาคตอันใกล้ จะมีการเพิ่มรุ่นที่ 4 อย่าง BYD Seal 5 DM-I ซึ่งจะเปิดตัวในฐานะรถยนต์ขุมพลังพลัก-อิน ไฮบริด PHEV ในกลุ่ม B-Segment รุ่นแรกของไทย และผลิตขึ้นที่โรงงานแห่งนี้ พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ วันที่ 8 สิงหาคมนี้
นอกจากนี้ ยังฉลองการส่งมอบรถยนต์ครบ 90,000 คัน โดยรถคันนี้ คือ Denza D9 (ดี 9) และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว BYD ประเทศไทย ได้มอบรถยนต์พลังงานใหม่คันนี้ให้แก่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ถึงความร่วมมือระหว่างฟุตบอลทีมชาติ ที่จะมีขึ้นกับ เรเว่ ออโตโมทีฟฯ และ BYD ประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในเร็วๆ นี้
.......................................................................................................................
Porsche เสริมทัพตระกูล 911 รุ่นใหม่
Porsche ประเทศไทย เดินหน้าขยายไลน์อัพรถสปอร์ทในตระกูล 911 ด้วยการเปิดตัวรุ่นใหม่ล่าสุดในระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรวม 3 รุ่น ได้แก่ 911 Carrera 4S (911 คาร์เรรา 4 เอส) ใหม่ ทั้งในเวอร์ชันคูเป และ Cabriolet (กาบริโอเลต์) รวมถึงรุ่น Targa 4S (ทาร์กา 4 เอส) โดยทั้ง 3 รุ่นนี้เข้ามาเสริมไลน์อัพ 911 รองจากรุ่น GTS อันทรงพลัง การเปิดตัวครั้งนี้จึงส่งผลให้กลุ่มรุ่นย่อยของ 911 ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเป็น 6 รุ่น โดยรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อใหม่นี้มาพร้อมระบบส่งกำลังที่ได้รับการพัฒนาครั้งใหญ่ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน อีกทั้งยังมาพร้อมทางเลือกการปรับแต่งเพิ่มเติม และรายการอุปกรณ์มาตรฐานที่ได้รับการอัพเกรดให้ครบครันยิ่งขึ้น
ประมาณครึ่งหนึ่งของลูกค้าที่เลือกซื้อ 911 รุ่น S เลือกรุ่นที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่มีสภาพอากาศแปรปรวน หรือสภาพถนนที่มีความท้าทาย ระบบนี้จะช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะสูงสุดแม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย และมอบความมั่นใจขณะขับขี่ในทุกสถานการณ์ เช่นเดียวกับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้ออื่นๆ ของ 911 รุ่น S ใหม่ ได้รับการออกแบบให้เน้นการส่งกำลังไปยังล้อหลังเป็นหลัก เพื่อคงบุคลิกของรถสปอร์ทในแบบ Porsche (โพร์เช) และเมื่อจำเป็น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ (Porsche Traction Management) จะส่งแรงบิดเพิ่มเติมไปยังเพลาหน้าโดยอัตโนมัติ เพื่อเสริมเสถียรภาพ และเพิ่มการยึดเกาะบนถนน ชุดคลัทช์ในเฟืองท้ายหน้ายังคงใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ และควบคุมการทำงานผ่านระบบอีเลคทรอเมคคานิคที่ผสานการทำงานระหว่างกลไก และไฟฟ้าอย่างแม่นยำ โดยมีการปรับอัตราทดเกียร์เล็กน้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายทอดกำลัง ทั้งนี้ ตัวถังแบบ Targa ของ 911 มีวางจำหน่ายเฉพาะในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น
สมรรถนะการขับขี่ที่พัฒนาเหนือชั้น
รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อใหม่ของ Porsche 911 มาพร้อมระบบส่งกำลังที่ได้รับการอัพเกรดจากรุ่น Carrera S โดยติดตั้งเครื่องยนต์บอกเซอร์ 6 สูบ เทอร์โบคู่ ขนาด 3.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 353 กิโลวัตต์ (480 แรงม้า) เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าถึง 22 กิโลวัตต์ (30 แรงม้า) สมรรถนะที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลจากการออกแบบระบบอินเตอร์คูเลอร์ใหม่ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรุ่น 911 Turbo โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอุณหภูมิอากาศก่อนเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ส่งผลให้เกิดการจุดระเบิดอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งด้านกำลัง และแรงบิด ระบบเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่แบบ 8 จังหวะ ถ่ายทอดพละกำลังสู่ทั้ง 4 ล้อได้อย่างต่อเนื่อง และแม่นยำ ส่งผลให้ 911 Carrera 4S Coupe (911 คาร์เรรา 4 เอส คูเป) สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 3.3 วินาที (เมื่อมาพร้อมแพคเกจ Sport Chrono) และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 308 กม./ชม.
60 ปี Porsche 911 Targa: สืบทอดแนวคิดเหนือกาลเวลา
ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา Porsche 911 Targa ได้ผสมผสานความสนุกในการขับขี่แบบเปิดประทุนเข้ากับความสะดวกสบายของรถคูเปที่สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งปี รุ่นต้นแบบของ Targa ถือเป็นการตอบสนองของ Porsche ต่อความกังวลในตลาดสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับความปลอดภัยของรถเปิดประทุนในยุคนั้น โดย 911 Targa เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายน ปี 2508 ที่งาน IAA ณ เมืองฟรังค์ฟวร์ท โดยได้รับฉายาว่า “Cabriolet เพื่อความปลอดภัย” เช่นเดียวกับนวัตกรรมหลายอย่างของ Porsche เสาโรลล์บาร์ที่กว้าง และดูสง่างามนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากมอเตอร์สปอร์ท มาพร้อมหลังคาที่สามารถถอดได้ และกระจกหลังพับเก็บได้ มอบอิสระในการขับขี่แบบเปิดโล่ง โดยไม่ละทิ้งความปลอดภัยที่ลูกค้าให้ความสำคัญ โดยชื่อ “Targa” มีที่มาจากการแข่งขันรถทางไกลอันโด่งดังในเกาะซิซิลี คือ รายการ Targa Florio ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามแข่งที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของแบรนด์
ในปัจจุบัน Porsche 911 Targa ได้กลายเป็นหนึ่งในไอคอนสำคัญของแบรนด์ ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งด้านวิศวกรรม และการออกแบบมาตลอด 6 ทศวรรษ โดยในปี 2536 (รุ่น 911 เจเนอเรชัน 993) Porsche ได้ยกระดับความสะดวกสบายด้วยระบบหลังคาที่ไม่ต้องถอดด้วยมืออีกต่อไป และตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา 911 Targa มีวางจำหน่ายเฉพาะในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น และตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา 911 Targa มาพร้อมกลไกหลังคาเปิด-ปิดอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ซึ่งสามารถเปลี่ยนจากรถคูเปสู่รถเปิดประทุนได้ภายในเวลาเพียง 19 วินาที กระจกหลังจะพับย้อนขึ้น และหลังคาถูกเก็บอย่างแนบเนียน เสาโรลล์บาร์กว้าง และกระจกหลังทรงโค้งที่โอบล้อมห้องโดยสารยังคงถ่ายทอดดีไซจ์นดั้งเดิมไว้อย่างมีเอกลักษณ์ หลังคาของ Targa รุ่นปัจจุบันมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีดำ สีน้ำเงิน สีแดง และสีน้ำตาล ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการความโดดเด่นเฉพาะตัว
ยกระดับอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อประสบการณ์ที่เร้าใจกว่าที่เคย
Porsche 911 รุ่นใหม่มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ได้รับการพัฒนาอย่างมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ครอบคลุมตั้งแต่ล้อ Carrera S ขนาด 20 นิ้วในล้อหน้า และ 21 นิ้วในล้อหลัง ที่มาพร้อมดีไซจ์นใหม่ และการจัดสัดส่วนขนาดยางหน้า-หลังแบบไม่เท่ากัน ซึ่งไม่เพียงแต่เสริมภาพลักษณ์ความสปอร์ท แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนให้เฉียบคมในทุกเส้นโค้ง ระบบ Porsche Torque Vectoring Plus (PTV+) ถูกติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ช่วยกระจายแรงบิดไปยังล้อหลัง เสริมสมรรถนะการเข้าโค้ง และการทรงตัว เน้นให้การควบคุมเป็นไปอย่างแม่นยำ พร้อมระบบท่อไอเสียสปอร์ทที่มอบเสียงเร้าใจอันเป็นเอกลักษณ์ของ 911 อย่างเต็มอารมณ์ ระบบเบรกคุณภาพสูงซึ่งยกมาจากรุ่น GTS ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานในรุ่นใหม่นี้ โดยมาพร้อมคาลิเพอร์เบรคสีแดง และจานเบรคขนาด 408 มม. ที่ด้านหน้า และ 380 มม. ที่ด้านหลังสำหรับรุ่น 911 Targa 4S ยังมาพร้อมระบบช่วยเลี้ยวล้อหลังซึ่งช่วยให้ควบคุมรถได้คล่องตัวยิ่งขึ้นทั้งในความเร็วต่ำ และสูง
ภายในห้องโดยสารของรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อทั้งหมดตกแต่งด้วยแพคเกจหนังคุณภาพสูง พร้อมติดตั้งไฟหน้าแบบเมทริกซ์แอลอีดี นอกจากนี้ ยังมีแท่นชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย กระจกมองข้างพับไฟฟ้าพร้อมไฟล้อมรอบกระจก แพคเกจไฟตกแต่งภายใน (Light Design Package) กระจกมองหลัง และกระจกข้างปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมเซนเซอร์วัดฝน และระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน นอกจากนี้ ยังมาพร้อมตัวเลือกในการปรับแต่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสีตัวถังสุดพิเศษ วัสดุตกแต่งภายในที่คัดสรรอย่างพิถีพิถัน ระบบเสียงคุณภาพสูง ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ ไปจนถึงกลไกระบบหลังคาที่ตอบโจทย์ทั้งความงาม และประโยชน์ใช้สอย
Porsche 911 Carrera 4S รุ่นใหม่ เปิดให้สั่งจองในประเทศไทยแล้ววันนี้ ณ ตัวแทนจำหน่าย Porsche อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ในราคาเริ่มต้นที่ 14,790,000 บาท สำหรับรุ่น 911 Carrera 4S, Cabriolet มีราคาเริ่มต้นที่ 16,090,000 บาท และ 911 Targa 4S มีราคาเริ่มต้นที่ 16,190,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
.......................................................................................................................
Ducati แต่งตั้ง เอเอเอส กรุ๊ป เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่าย
Ducati Motor ประเทศไทย ประกาศแต่งตั้ง บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ให้เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ Ducati (ดูคาติ) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 การแต่งตั้งในครั้งนี้เป็นผลมาจากกระบวนการคัดเลือกอย่างรอบคอบ และถือเป็นอีกก้าวสำคัญในกลยุทธ์การเติบโตของ Ducati ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มาร์โค บิออนดิ รองประธานฝ่ายขาย และการตลาด ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค Ducati กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับเอเอเอส กรุ๊ป เข้าสู่ครอบครัว Ducati ในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์ในการดูแลแบรนด์ยานยนต์ระดับโลก รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก ทำให้เรามั่นใจว่า เอเอเอส กรุ๊ป จะสามารถยกระดับแบรนด์ Ducati ในตลาดประเทศไทยได้อย่างแน่นอน
อนุวัชร อินทรภูวศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการณ์ ส่วนจักรยานยนต์ เอเอเอส กรุ๊ป กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจาก Ducati ในการแต่งตั้งให้เราเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศไทย เรามีวิสัยทัศน์ร่วมกันที่ชัดเจนในด้านความพึงพอใจของลูกค้า และการเติบโตของแบรนด์ ด้วยความพร้อมทั้งด้านการตลาด การขาย การบริการหลังการขาย และการพัฒนาบุคลากร เรามั่นใจว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้า Ducati ในประเทศไทยได้อย่างแข็งแกร่ง และพร้อมร่วมมือกับทีมงานของ Ducati เอเชียแปซิฟิค ในการส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ชุมชน Ducatisti
.......................................................................................................................
กรุงศรี ออโต้ เผยพฤติกรรมผู้ใช้รถใหม่ทั่วภูมิภาค
“กรุงศรี ออโต้” ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยอินไซท์ผู้ใช้รถตามภูมิภาค อ้างอิงจากข้อมูลการขอสินเชื่อยานยนต์ ชี้กรุงเทพฯ และปริมณฑล นำทเรนด์ใช้รถอีวี เน้นผ่อนสั้น-จบไว ภาคเหนือนิยมรถกระบะ และรถเก๋งขนาดกลางเน้นความคุ้มค่า และความทนทาน ภาคอีสาน ใช้กระบะเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ของคนทุกเจเนอเรชัน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นสร้างตัว ขณะที่ภาคตะวันออกขับเคลื่อนด้วยรถเก๋งขนาดกลาง และขนาดใหญ่ในเขตเมืองอุตฯ ส่วนภาคใต้ใช้กระบะฝ่าภูเขา-ชายฝั่ง พร้อมขึ้นแท่นภูมิภาคที่มีการใช้บริการสินเชื่อยานยนต์ดิจิทอลสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ
คงสิน คงคา ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศไทยมีความหลากหลายในเชิงภูมิประเทศ และโครงสร้างประชากร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวโน้มการเลือกซื้อ และการขอสินเชื่อยานยนต์ ซึ่งจากการที่ กรุงศรี ออโต้ ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้รถในแต่ละภูมิภาค พร้อมนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบว่า รถเก๋งขนาดกลาง-ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มไฮบริด ได้รับความนิยมมากขึ้น ในขณะที่ผู้ใช้รถ Gen X อายุระหว่าง 45-60 ปี ที่มีรายได้ตั้งแต่ 45,000 บาทขึ้นไป ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้มเลือกใช้รถเก๋งขนาดใหญ่ และรถกระบะ เพื่อความสะดวกสบาย ใช้งานในครัวเรือน และการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม
“จากอินไซท์ความแตกต่างของผู้ใช้รถในแต่ละภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นประเภทรถที่ได้รับความนิยม อาชีพ รายได้ พฤติกรรมการขอสินเชื่อ หรือแม้แต่การใช้พแลทฟอร์มดิจิทอล ทำให้กรุงศรี ออโต้ ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถทั่วประเทศ เพื่อเป้าหมายในการเป็นที่หนึ่งในใจผู้ใช้รถ ที่สามารถออกแบบโซลูชันให้สามารถตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด ครอบคลุม และเข้าใจบริบทของผู้ใช้รถในแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง”
เมืองหลวงนำทเรนด์ ! คนกรุงนิยมรถใหม่ พร้อมเทใจให้รถอีวี
กรุงเทพฯ ยังคงเป็นหัวใจของธุรกิจยานยนต์ในประเทศไทย โดยครองอันดับ 1 ของประเทศในด้านยอดขายรถยนต์ ด้วยสัดส่วนที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นอย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างชัดเจน คือ รถยนต์ไฟฟ้า และรถเก๋งขนาดใหญ่ โดยในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า มีแบรนด์ยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ BYD (บีวายดี), Aion (ไอออน), MG (เอมจี), Deepal (ดีพอล) Changan (ฉางอัน) และ GWM ORA (กเรท วอลล์ มอเตอร์ โอรา) ส่วนหนึ่งมาจากการติดตั้งสถานีชาร์จที่ครอบคลุมทั่วพื้นที่กว่า 1,500 แห่ง รวมถึงการติดตั้งที่ชาร์จภายในบ้าน หรือที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับความต้องการนวัตกรรมยานยนต์ที่ทันสมัย และประหยัดพลังงาน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องเผชิญกับการจราจรหนาแน่นในชีวิตประจำวัน ขณะที่รถเก๋งขนาดใหญ่ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน เนื่องจากมีทางเลือกที่หลากหลาย ทั้งจากแบรนด์ญี่ปุ่น และยุโรป และในหลากหลายรูปแบบขุมพลัง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ไฮบริด (HEV) หรือพลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ใช้รถ นอกจากนี้ พฤติกรรมการขอสินเชื่อของผู้ใช้รถในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวโน้มเลือกผ่อนชำระในระยะเวลาที่สั้นกว่าภูมิภาคอื่น โดยส่วนใหญ่เลือกผ่อนในช่วง 4-5 ปี สะท้อนถึงศักยภาพในการชำระหนี้ และการวางแผนปิดภาระทางการเงินภายในระยะเวลาที่สามารถควบคุมได้
รถเล็ก-ใหญ่ครองใจ คนภาคกลางเลือกรถตอบโจทย์ทั้งชีวิต และธุรกิจ
นอกเหนือจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ความนิยมในรถเก๋งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก เพิ่มขึ้นในเขตภาคกลางเช่นกันซึ่งรวมกันคิดได้เป็นสัดส่วนสูงถึง 43.3 % ของทั้งภูมิภาค สะท้อนถึงพฤติกรรมการเลือกใช้รถที่หลากหลาย และตอบโจทย์ตามลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน สำหรับรถเก๋งขนาดใหญ่ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการขยายตัวของเมือง และพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของกิจการ นิยมเลือกใช้รถที่รองรับการเดินทางไกล และใช้งานในเชิงธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่รถเก๋งขนาดเล็กก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ด้วยขนาดที่กะทัดรัด คล่องตัว และประหยัดค่าใช้จ่าย เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
คนเหนือใช้งานจริงจัง กระบะ-เก๋งขนาดกลางตอบโจทย์
ภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มียอดขายรถกระบะ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดกลางสูงที่สุด เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ โดยไม่นับรวมกรุงเทพฯ และปริมณฑล สะท้อนพฤติกรรมการเลือกใช้รถที่สอดคล้องกับลักษณะการใช้ชีวิต และภูมิประเทศของพื้นที่ โดยรถกระบะได้รับความนิยมสูงสุดจากความสามารถในการรองรับการใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางข้ามจังหวัดในพื้นที่ภูเขา หรือการใช้งานในเชิงพาณิชย์ และธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของภาคเหนือในฐานะหัวเมืองท่องเที่ยว และศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ขณะเดียวกัน รถเก๋งขนาดกลางก็ยังคงเป็นอีกตัวเลือกหลัก จากความอเนกประสงค์ในการใช้งานที่เหมาะกับทั้งชีวิตประจำวัน และการเดินทางระยะไกล นอกจากนี้ ภาคเหนือยังเป็นภูมิภาคที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุดในประเทศเมื่อไม่รวมกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าประเภทซีดาน ซึ่งเริ่มได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น
อีสเทิร์นซีบอร์ดไลฟ์สไตล์ครบครัน ! รถเก๋งขนาดกลาง-ใหญ่ และรถไฟฟ้ารุกตลาด
ภาคตะวันออก ประกอบด้วยจังหวัดสำคัญที่ผสานศักยภาพด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กับการท่องเที่ยวอย่างลงตัว โดยเฉพาะจังหวัดระยองที่มีโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า 165 แห่ง และพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อย่างจังหวัดชลบุรี และฉะเชิงเทรา พร้อมกับการเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งมีประชากรแฝง และความต้องการใช้งานรถยนต์ส่วนบุคคลในระดับสูง โดยรถเก๋งขนาดกลาง และใหญ่ได้รับความนิยม และมีสัดส่วนถึง 51.7 % ของยอดขายรถทั้งหมด และภาคนี้ยังมีการเติบโตของรถไฟฟ้าอเนกประสงค์ ที่มากที่สุดอยู่ที่ 62 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
กระบะ คือ ของมันต้องมี ! อีสาน Gen Z ใช้สร้างตัว
ภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ และครอบคลุมหลายจังหวัด ทำให้ผู้ใช้รถ นิยมทั้งรถเก๋งขนาดใหญ่ และรถกระบะเพื่อรองรับการเดินทาง และการใช้งานที่หลากหลาย โดยรถเก๋งขนาดใหญ่ได้รับความนิยมในฐานะตัวเลือกที่สะดวกสบายสำหรับการเดินทางระยะไกล ขณะที่รถกระบะยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักของผู้ใช้รถในภาคอีสาน โดยมีสัดส่วนยอดขายรองลงมาจากภาคเหนือ ด้วยความเหมาะสมสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และประกอบอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z (อายุไม่เกิน 28 ปี) ที่มักเลือกใช้รถกระบะตอนเดียวสำหรับประกอบอาชีพ และกลุ่ม Gen X (อายุ 45-60 ปี) รวมถึง Baby Boomer (อายุมากกว่า 61 ปี) ที่นิยมรถกระบะสองตอนซึ่งใช้งานได้หลากหลาย ทั้งกิจกรรมครอบครัว และการเดินทางส่วนตัว โดยทั้ง 2 ประเภทนี้รวมกันมีสัดส่วนถึง 43.1 % ของยอดขายทั้งหมด
ภาคใต้ขับกระบะลุยภูเขา-ชายฝั่ง คล่องเทคโนโลยีติดอันดับ 2 สินเชื่อยานยนต์ดิจิทอล
ภาคใต้เป็นภูมิประเทศที่มีความหลากหลายทั้งภูเขา และชายฝั่งทะเล ทำให้ผู้ใช้รถในภาคใต้นิยมใช้รถกระบะ และรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (PPV) ที่ตอบโจทย์ด้านการใช้งานในพื้นที่ ทั้งในชีวิตประจำวัน และในบริบทของการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ซึ่งมีสัดส่วนถึง 40.6 % ของยอดขายรถทั้งหมด สะท้อนถึงความต้องการใช้งานรถที่เน้นความทนทาน และสมรรถนะ นอกจากนี้ อีกพฤติกรรมเด่นของผู้ใช้รถในภาคใต้ คือ การเปิดรับช่องทางดิจิทอล เห็นได้จากสัดส่วนการขอสินเชื่อยานยนต์ดิจิทอลถึง 80 % เป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากกรุงเทพฯ ที่ 94 % แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้รถในภาคใต้ไม่เพียงมีความคุ้นเคยกับการใช้งานออนไลน์ แต่ยังไว้วางใจบริการทางการเงินผ่านระบบดิจิทอลเป็นอย่างมาก
.......................................................................................................................
รัฐ-เอกชน หนุนสวมหมวกกันนอค-หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย
สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมซึ่งกรมการขนส่งทางบก และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน ภายใต้แนวคิด “เลิกพฤติกรรมเสี่ยง = รอด เป็นห่วงนะ ใส่หมวกกันนอคกันเถอะ” เพื่อสร้างวินัยจราจรในกลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์ และผู้โดยสาร ส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎหมาย และลดเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
ทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังคงสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับทางม้าลาย คนเดินถนน และจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ใช้รถใช้ถนน และการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่ทั่วถึงเพียงพอ ผู้ตรวจการแผ่นดินในฐานะองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริง และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อสิทธิของประชาชน จึงได้ใช้อำนาจตามมาตรา 32 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พศ. 2560 ในการผลักดันให้เกิดการจัดการความปลอดภัยทางถนนอย่างเป็นระบบ ผ่านการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วน กิจกรรมในครั้งนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอให้ปี 2568-2569 เป็น “ปีแห่งการสร้างวินัย และความปลอดภัยทางถนน” และเสนอแนะเป้าหมายในระยะยาวว่า ประเทศไทยจะต้องลดอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือศูนย์ หรือ “Vision Zero” ภายในปี 2593 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอแนวทางจัดทำแผนปฏิบัติการแบบบูรณาการใน 5 เรื่องหลัก ได้แก่ ความปลอดภัยทางม้าลาย และความปลอดภัยของคนเดินถนน การขับขี่โดยใช้ความเร็วไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด การไม่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรการสวมหมวกนิรภัย และการไม่ดื่มแล้วขับ
กลไกการขับเคลื่อนผ่านกลุ่มประสานงานหลัก (Core Group) ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานหลัก อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพฯ และ สสส. โดยหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้า และร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี รวมถึงการจัดตั้งกลุ่มประสานงานเฉพาะด้าน ได้แก่ ด้านเยาวชน และการศึกษา และด้านข้อมูล สถิติ และงานวิจัย เพื่อส่งเสริมให้ความรู้ ความตระหนักรู้ และพฤติกรรมที่ปลอดภัยปลูกฝังตั้งแต่ในระบบการศึกษา และเพื่อให้แผนปฏิบัติการแบบบูรณาการเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม การรณรงค์ครั้งนี้จึงร่วมกันผลักดันแนวคิด “เลิกพฤติกรรมเสี่ยง = รอด” ไปสู่การปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน โดยเน้นพฤติกรรมเสี่ยงที่ควรเลิกอย่างเร่งด่วนในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะ “3 เลิก = รอด” ได้แก่ เลิกจอดทับทางม้าลาย เลิกฝ่าไฟแดง เลิกขับรถเร็ว ควบคู่กับการสวมหมวกกันนอคทุกครั้ง ทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร อยากให้พฤติกรรมง่ายๆ เหล่านี้ได้ช่วยชีวิต ลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนได้อย่างยั่งยืน
จิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกกล่าวว่า เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้เหลือ 12 คน/แสนประชากรภายในปี 2570 กรมการขนส่งทางบกร่วมขับเคลื่อนการป้องกัน และแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนรณรงค์ปลูกจิตสำนึกการขับขี่ที่ปลอดภัยผ่านแผนงาน โครงการ และมาตรการต่างๆ เพื่อให้การควบคุมกำกับ ดูแลระบบการขนส่งทางบกถนนมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องการสวมหมวกนิรภัย มีการกำหนดเป็นมาตรการองค์กรด้านความปลอดภัย ได้แก่ ไม่ขับรถเร็ว ไม่ขับขี่ขณะเมาสุรา รณรงค์การคาดเข็มขัดนิรภัย การสวมหมวกนิรภัย การหยุด ชะลอ และจอด เมื่อมีผู้ข้ามทางม้าลาย และการหลีกทางให้รถพยาบาล หรือรถฉุกเฉิน อีกทั้งได้กำหนดให้เขตพื้นที่กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ เป็นพื้นที่สวมหมวกนิรภัย 100 % โดยได้ดำเนินการขยายผลยังภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และสถานศึกษาทั่วประเทศที่เข้าร่วมกิจกรรมโครงการนักเรียนรุ่นใหม่ มีใบขับขี่ ในการดำเนินการตามมาตรการองค์กรด้านความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนโดยเฉพาะครู อาจารย์ และบุคลากรต้องเป็นตัวอย่างด้านความปลอดภัยทางถนน มุ่งหวังให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของประชาชน ช่วยลดอุบัติเหตุทางถนน และลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน รวมถึงให้ความสำคัญกับการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้ประชาชนเกิดการรับรู้ จนไปสู่การมีพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนที่ปลอดภัยอีกด้วย
เพื่อเสริมสร้างแนวคิดด้านความปลอดภัยทางถนนที่เหมาะสมสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย กรมการขนส่งทางบกได้พัฒนา “คลังข้อมูลเรียนรู้การใช้รถใช้ถนนสำหรับเด็ก และเยาวชน” ซึ่งเป็นรูปแบบคอร์สเรียนออนไลน์บนเวบไซท์ขับขี่ปลอดภัย ที่เด็ก และเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเตอร์เนท รวมทั้งเมื่อผู้เรียนได้ศึกษาบทเรียนครบถ้วน และผ่านการทดสอบ ผู้เรียนจะได้รับประกาศนียบัตรรับรอง โดยมีเนื้อหา และรูปแบบเน้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ และผสมผสานความบันเทิงเข้ากับความรู้ความเข้าใจในการใช้รถใช้ถนน ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติผ่านสื่อ และกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคุณครู-นักเรียน ผู้ปกครอง-บุตรหลาน โดยจัดกลุ่มข้อมูลความรู้ รูปแบบสื่อ และกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย แบ่งเป็นระดับอนุบาล ช่วงอายุ 3-6 ปี ระดับประถมศึกษา ช่วงอายุ 7-12 ปี และระดับมัธยมศึกษา ช่วงอายุ 13-18 ปี ในส่วนของเวบไซท์ขับขี่ปลอดภัย หรือ “ขับขี่ปลอดภัย by DLT” ก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นช่องทางการสื่อสารความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนบนพแลทฟอร์มออนไลน์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึง และร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในพื้นที่การเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนนได้ตลอดเวลา กรมการขนส่งทางบกยังได้พัฒนาระบบข้อมูลขนาดใหญ่ และระบบการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนโดยนำเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) มาใช้ โดยได้รับความร่วมมือจาก บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด บูรณาการเชื่อมโยงข้อมูล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้ทุกภาคส่วนสามารถนำข้อมูลไปใช้ประกอบการตัดสินใจขับเคลื่อนในเชิงนโยบาย กำหนดแนวทาง และมาตรการในการป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. สนับสนุนการทำงานด้านความปลอดภัยทางถนนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งองค์ความรู้ ข้อมูลวิชาการ การสื่อสารสาธารณะ โดยมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับภาคีทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันวาระ "ถนนปลอดภัย" ให้กลายเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทย ปลูกฝังพฤติกรรมตั้งแต่ระดับปฐมวัย ชุมชน โรงเรียน โดยได้พัฒนาและขยายผล “ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนน” กว่า 400 แห่งทั่วประเทศ โดยมุ่งเสริมสร้างวินัยจราจรตั้งแต่ระดับปฐมวัย และส่งเสริมให้ชุมชนมีบทบาทร่วมกันในการจัดการปัญหาด้านกายภาพของถนนบริเวณที่มีความเสี่ยง อีกหนึ่งกลไกสำคัญ คือ การสนับสนุนการทำงานในระดับพื้นที่เสี่ยง 220 อำเภอทั่วประเทศ ผ่านการบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น อำเภอ ท้องถิ่น โรงเรียน ดำเนินมาตรการลดอุบัติเหตุในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์อย่างจริงจัง หมวกกันนอคที่ใช้ในกิจกรรมครั้งนี้ ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ของโครงการ แต่คือ เครื่องยืนยันว่า ภาครัฐและสังคมไทยให้ความสำคัญกับทุกชีวิตบนท้องถนน สร้างพฤติกรรมเล็กๆ อย่าง "การหยุดรถให้คนข้าม" หรือ "การสวมหมวกกันนอค" กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ที่จะนำไปสู่วัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างยั่งยืน
สสส. ได้ดำเนินงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของ แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน ฉบับที่ 5 พศ. 2565-2570 ที่มีเป้าลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุให้เหลือไม่เกิน 12 คน/ประชากรหนึ่งแสนคน ภายในปี 2570 โดยในปี 2568 ได้ขับเคลื่อนแคมเปญสำคัญหลายประเด็น เช่น แคมเปญ “กันนอคก่อนขี่... หมวกกันนอค สมองไม่นอค” ที่เน้นการสื่อสารให้ผู้ใช้จักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง ทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร แคมเปญ “ดื่มแล้วขับ อาจเป็นฆาตกร” เน้นการลดอุบัติเหตุจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล การรณรงค์ “ลดเร็ว ลดเสี่ยง” ควบคู่กับการส่งเสริมให้หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ผ่าน TikTok และช่องทางสื่อออนไลน์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่”
.......................................................................................................................
เรเว่ ออโตโมทีฟฯ เผยยอดจดทะเบียนรถใหม่ เดือนมิถุนายน 2568
แบรนด์ |
รุ่น** / เดือน (**รวมทุกรุ่นย่อย) |
ยอดจดทะเบียนรถยนต์ |
|||
เมย. 68 |
พค. 68 |
มิย. 68 |
รวม |
||
BYD |
BYD Atto 3 |
352 |
746 |
1,941 |
3,039 |
BYD Dolphin |
616 |
1,681 |
2,141 |
4,438 |
|
BYD M6 |
215 |
254 |
308 |
777 |
|
BYD Seal |
118 |
164 |
122 |
404 |
|
BYD Sealion 6 DM-I |
2,640 |
1,562 |
743 |
4,945 |
|
BYD Sealion 7 |
831 |
1,380 |
1,124 |
3,335 |
|
BYD E6 |
1 |
- |
1 |
2 |
|
BYD T3 |
7 |
- |
166 |
173 |
|
Denza |
Denza D9 |
149 |
551 |
246 |
946 |
4,929 |
6,338 |
6,792 |
18,059 |
.......................................................................................................................
Yamaha ย้อนรอยอดีต 70 ปี
Yamaha Motor Co.,Ltd. กำเนิดขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคม 2498 ปีนี้ครบรอบ 70 ปี ของการก่อตั้ง กับจุดเริ่มเรื่องราวของ Yamaha (ยามาฮา) โดย เกนอิจิ คาวาคามิ ประธาน Nippon Gakki Co., Ltd. รุ่นที่ 4 บริษัทผู้ผลิตเครื่องดนตรีเบอร์ 1 ของประเทศญี่ปุ่น ที่มีประวัติมาอย่างยาวนานจากการก่อนตั้งของ โทรากุสึ ยามาฮา ในการผลิตออแกน และเพียโน ที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น และได้ก่อตั้ง Nippon Gakki Co., Ltd. ขึ้นเมื่อปี 2430 จนผลัดสู่การบริหารงานของ เกนอิจิ คาวาคามิ ที่มีความสนใจในการมองหาโอกาสทางธุรกิจในอนาคต และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการทำงานอยู่เสมอ ด้วยความชื่อชอบ และหลงไหลในรถมอเตอร์ไซค์ชนิดที่ว่าเข้าเส้น จากความเชื่อนั้น เขาจึงตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจรถจักรยานยนต์ ในฐานะกิจการใหม่ ควบคู่ไปกับธุรกิจการผลิตเครื่องดนตรี
เมื่อโลกเข้าสู่สภาวะสงคราม จนก่อตัวเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัท ห้างร้านต่างๆ ภายในประเทศญี่ปุ่นได้ถูกรัฐบาลบังคับให้เปลี่ยแปลงการผลิตทุกอุตสหกรรมให้เป็นการผลิตยุธภัณฑ์ทางการทหาร ซึ่งในเวลานั้น Nippon Gakki Co., Ltd. ได้เป็นผู้เป็นผู้ผลิตใบพัดไม้ และโลหะสำหรับเครื่องบิน การเข้าสู่ธุรกิจรถจักรยานยนต์จึงเป็นส่วนหนึ่งในการประยุกต์ใช้อุปกรณ์เครื่องจักรกลของ บริษัทให้เกิดประโยชน์ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองปกติสุขหลังจากสภาวะสงครามโลกได้สิ้นสุดลง
ในช่วงเวลานั้น เกนอิจิ คาวาคามิ จึงได้ตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจใหม่อย่างเต็มตัวจากที่ได้ค้นคว้า และประเมินความเป็นไปได้ของธุรกิจใหม่ ด้วยการสร้างประโยชน์อันสูงสุดจากเครื่องจักรผลิตใบพัดเครื่องบินที่มีอยู่ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลระบบการออกใบอนุญาตขับขี่ครั้งใหญ่ โดยมีแนวโน้มว่าจะมีผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในการเดินทางกันมากขึ้น ซึ่งในขณะนั้นได้มีบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ภายในประเทศญี่ปุ่นมากถึง 180 ราย ที่เปิดตัวธุรกิจมาก่อน แต่ Nippon Gakki ได้เดินเกมด้วยวิศัยทัศน์ และการประเมินความสามารถทางเทคโนโลยีที่มีอยู่ของบริษัท จึงไม่ได้เพียงแต่วางเป้าหมายไว้เป็นเพียงแบรนด์ชั้นนำภายในประเทศ หากแต่บริษัทนั้นตั้งเป้าหมายไปเป็นแบรนด์ระดับโลกให้ได้ พร้อมกับคำประกาศไว้ว่า "สิ่งใดที่ไม่ได้มีคุณภาพระดับโลก สิ่งนั้นไม่ถือว่าเป็นสินค้า" และ "ถ้าจะทำอะไรก็ต้องเป็นที่สุด" นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความท้าทายของธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น ซึ่งเป็นความทะเยอทะยานอย่างยิ่งใหญ่ และน่าจับตามองในเวทีโลก
การเข้าสู่ธุรกิจรถจักรยานยนต์นั้น Nippon Gakki Co., Ltd. ได้ดำเนินงานเป็นพโรเจคท์ลับ โดยมีการดำเนินการ และพัฒนาด้วยบุคคลากรทีมีจำนวนจำกัด โดยมี เกนอิจิ คาวาคามิ และคณะวิศวกรผู้บุกเบิก ได้ร่วมกันผลิตรถจักรยานยนต์คันแรกออกมาจากการถอดแบบของรถจักรยานยนต์จากเยอรมันตะวันตก ที่ใช้ในช่วงสงครามโลกอย่าง DKW RT125 จนเป็นต้นกำเนิดของจักรยานยนต์รุ่นแรกของ Yamaha ในรุ่น YA-1 และทีมพัฒนายังคงมุ่งมั่นทดสอบ เจ้า YA-1 คันนี้อย่างต่อเนื่อง และได้ทำการเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการกับเครื่องยนต์ 2 จังหวะ 1 ลูกสูบ ขนาด 125 ซีซี และพัฒนาเป็นเกียร์แบบ 4 จังหวะ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาของญี่ปุ่นได้ดียิ่งขึ้น ระบบสตาร์ทด้วยเท้า (คิคสตาร์ท) เป็นพื้นฐานเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน และที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร คือ คันเกียร์ และคันสตาร์ทเท้าถูกออกแบบให้อยู่บนแกนเดียวกัน ในรูปแบบการจัดวางอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อกับสีสันที่ล้ำสมัย และโดดเด่นจนเป็นที่กล่าวขานไปทั่วประเทศกับการออกแบบสีของรถจักรยานยนต์ Yamaha YA-1 ด้วยสีแดงเลือดหมู ตัดกับสีขาวของงาช้าง เป็นทูโทนที่โดดเด่นจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก (ซึ่งในสมัยนั้นรถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นจะเน้นการใช้งานในลักษณะทั่วไป และใช้ขนส่งสินค้า จึงนิยมออกแบบตัวรถเป็นสีดำ หรือสีเข้ม ที่ช่วยซ่อนคราบสกปรก) และด้วยเหตุนี้ ตัวรถที่เพรียวบาง สีสันสดใสของ YA-1 จึงโดดเด่นตัดกับบรรยากาศของเมืองที่ดูไร้สีสัน และยังคงทิ้งร่องรอยจากสงคราม จนผู้คนพากันเรียกกันว่า "Akatombo" หรือ "แมลงปอแดง"
Yamaha YA-1 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม พศ. 2498 ทว่าหลังจากนั้นในวันที่ 1 กรกฎาคม Yamaha Motor Co.,Ltd. ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ในปีเดียวกันนั้นเอง โดยเป็นการแยกธุรกิจรถจักรยานยนต์ออกจาก Nippon Gakki Co., Ltd. และก่อตั้งกิจการเป็นอิสระ โดยในปีแรกของการก่อตั้ง Yamaha Motor Co.,Ltd. ได้ครองตำแหน่งสูงสุดในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และแม้จะเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ที่ใหม่ที่สุด ชื่อเสียงของบริษัท ได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาที่ฐานเงินเดือนของบัณฑิตจบใหม่ในประเทศญี่ปุ่น เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10,000 เยน แต่ราคาของ YA-1 ซึ่งสูงถึง 138,000 เยน ถือเป็นยานยนต์ที่มีราคาสูงเกินกว่าที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะเข้าถึงได้ แต่อย่างไรก็ตาม YA-1 กลับประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และสามารถทำยอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้นถึง 11,000 คัน ตลอดระยะเวลา 3 ปีของการผลิต และนี่คือ ต้นกำเนินอันยิ่งใหญ่ของ Yamaha แบรนด์รถจักรยานยนต์ที่มีต้นกำเนินมาถึง 70 ปี กับการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของคุณภาพของสิงค้า เทคโนโลยีใหม่ๆ ส่งต่อมายังปัจจุบัน
......................................................................................................................
เชคความพร้อม ก่อนขับมอเตอร์ไซค์เดินทางไกล
สายสองล้อคนไหนมีทริพท่องเที่ยวเดินทางไกลๆ สิ่งที่สำคัญ และต้องทำ คือ การเตรียมตัว เเละเตรียมรถให้พร้อม แต่จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย...
ศึกษาเส้นทาง วางแผนการขับขี่
ต้องรู้จักเชคระยะทางที่จะเดินทางไป-กลับ หรือเส้นทางที่จะแวะไป ตรงนี้จะทำให้เราสามารถวางแผนการขับขี่ รวมถึงเลือกเส้นทางที่ขับขี่ได้ง่าย รวมถึงเชคจุดพักรถ สำหรับหยุดพักมอเตอร์ไซค์คู่ใจ และร่างกายเราเอง
เชคสภาพร่างกาย
ผู้ขับขี่ต้องรู้จักประเมินความพร้อมตัวเอง พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการเดินทางไกลด้วยมอเตอร์ไซค์นั้นเสี่ยงต่อภาวะเหนื่อยมากกว่าปกติ เมื่อเทียบกับการเดินทางทั่วไปด้วยรถยนต์ ร่างกายต้องทำงานหลายส่วน ใช้พลังงานค่อนข้างมาก รวมไปถึงสภาพอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายของผู้ขับขี่ได้ (ระหว่างเดินทาง อย่าลืมแวะพักทุกๆ 1-2 ชม. หรือ 100-200 กม. เพื่อลงมายืดเส้นยืดสาย ก่อนออกเดินทางต่อ เพราะการเดินทางไกลนั้นอาจทำให้เกิดอาการล้าจากการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน)
![]()
เตรียมรถให้พร้อม
ตรวจเชคระบบการทำงานของรถให้พร้อม เช่น ระบบไฟ ของเหลวต่างๆ รวมถึงตรวจสอบล้อ, ยาง, เบรค, โซ่รถ, คลัทช์ เป็นต้น หากพบสิ่งผิดปกติต้องรีบแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง และอย่าลืมพกอุปกรณ์ซ่อมรถพื้นฐานไปด้วย
เชคอุปกรณ์การขับขี่
เตรียมอุปกรณ์ป้องกันร่างกายต่างๆ ให้พร้อม ทั้งหมวกกันนอคแบบเต็มใบ, โม่งคลุมหัวเพื่อช่วยซับเหงื่อ, ชุดที่รัดกุม, ถุงมือ, รองเท้าหุ้ม, เสื้อการ์ด, กางเกงการ์ด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้หากเกิดอุบัติเหตุจะช่วยรับแรงกระแทก และลดอาการบาดเจ็บได้มาก (ควรเลือกใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรอง มีคุณภาพดี)
ขับขี่ปลอดภัย
สิ่งสำคัญที่สุดของการเดินทางไกลด้วยรถมอเตอร์ไซค์นั้น คือ การขับขี่อย่างปลอดภัย ดังนั้น ต้องใช้ความเร็วให้เหมาะสม ไม่ควรขับเร็วเกินไป และมีการใช้สัญญาณไฟ สัญญาณเสียงทุกครั้งที่จะทำการแซง หรือเปลี่ยนช่องทาง เพื่อให้สัญญาณกับผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
