ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Toyota แนะนำ Yaris Ativ HEV
Toyota (โตโยตา) แนะนำ New Yaris Ativ HEV (ยารีส เอทีฟ เอชอีวี) ใหม่ ราคาเริ่มต้น 719,000 บาท จนถึงสิ้นปี พร้อมเปิดรับจองสิทธิ์ BEV รุ่น New bZ4X (บีเซด 4 เอกซ์) ในประเทศไทย
โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยยังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแต่ด้วยไลน์อัพของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของ Toyota ทำให้เรายังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด และครองอันดับ 1 ด้วยยอดขายสูงสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้ง 7 เซกเมนท์ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการเติบโตของตลาด XEV และ SUV ซึ่งการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ก็ได้ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ BEV ในกลุ่มตลาด XEV เติบโตขึ้นด้วย หากแต่เมื่อพิจารณาด้านการใช้งานจริงแล้ว เรายังเชื่อมั่นว่ารถยนต์ HEV ยังคงมีบทบาทสำคัญ สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันกับตลาดโลก สำหรับกลุ่มตลาดเอสยูวี มีกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ หรือ D-SUV ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่เป็นรถ BEV ทำให้ยอดขายรถเอสยูวีในปัจจุบันมีสัดส่วนสูงสุดในประเทศไทย
ดังนั้น Toyota แนะนำ 2 รุ่น ที่จะมาช่วยเสริมทัพไลน์อัพผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของ Toyota เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และการเติบโตของตลาดในเซกเมนท์นี้
Yaris Ativ สู่ตลาดอีโคคาร์เซกเมนท์ในประเทศไทยเมื่อปี 2560 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้าชาวไทย ทั้งมีบทบาทสำคัญในตลาดกลุ่มอีโคคาร์เซกเมนท์ ด้วยยอดขายสะสมรวมกว่า 280,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน (ข้อมูลยอดจำหน่ายสะสมตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2560-เดือนกรกฎาคม 2568)
ที่สำคัญ เรามีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ Yaris Ativ ได้มีส่วนสร้างการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างยั่งยืน นับตั้งแต่การมีส่วนร่วมของวิศวกรชาวไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นอกจากนั้น ยังใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศถึง 73 % ผลิตภายใต้คุณภาพมาตรฐานระดับโลกของ Toyota ณ โรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้าเกตเวย์ จ. ฉะเชิงเทรา เพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศ และส่งออกไปจำหน่ายยังกว่า 34 ประเทศทั่วโลก
เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศ ตลอดจนความต้องการของรถยนต์ไฮบริดที่เพิ่มมากขึ้น และต่อยอดการส่งเสริมเศรษฐกิจ และความยั่งยืนของอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทย เราจึงขอแนะนำ New Yaris Ativ HEV ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด "Be Confident & Beyond Expectation" โดยรถยนต์รุ่นนี้จะครองใจลูกค้าในประเทศไทย และเป็นหนึ่งในรุ่นที่สร้างยอดขายให้แก่ Toyota ด้วยเป้าหมายการขายที่ 20,000 คัน ในปีแรก กับทางเลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น HEV Premium และรุ่น HEV GR Sport
นอกเหนือจากดีไซจ์นภายนอกซึ่งได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี และภายในของรถที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันแล้ว ยังมีการปรับขนาดของเครื่องยนต์จาก 1.2 ลิตร เป็น 1.5 ลิตร และด้วยเทคโนโลยีไฮบริดที่เชื่อถือได้ของ Toyota New Yaris Ativ HEV สามารถมอบสมรรถนะอันทรงพลัง และประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนาน โดยมีอัตราสิ้นเปลืองการใช้เชื้อเพลิงไฮบริดที่ดีที่สุดในประเทศไทย ที่ 29.4 กม./ลิตร
สำหรับรุ่น HEV GR Sport ยังโดดเด่นด้วยดีไซจ์นสปอร์ท และระบบช่วงล่างที่เป็นเอกลักษณ์ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เราภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยต่อไป โดย New Yaris Ativ HEV จะใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศเริ่มต้นที่ 65 % โดยเรามีแผนที่จะเพิ่มให้มากขึ้น รวมทั้งมีการส่งออกรถรุ่นนี้ไปยัง 23 ประเทศอีกด้วย
bZ4X ใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า BEV อเนกประสงค์ D-Segment เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่กำลังมองหารถเอสยูวีขนาดใหญ่ โดยในปี 2565 Toyota ได้แนะนำรถ BEV รุ่นแรก คือ bZ4X สู่ประเทศไทย ภายใต้มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 ของรัฐบาลไทย แต่เนื่องจากขีดจำกัดด้านการจัดสรรจำนวนรถในเวลานั้น ทำให้เราขายเพียงแค่ 132 คันเท่านั้น
แต่สำหรับ bZ4X ใหม่ จะนำเข้าจากญี่ปุ่นในรูปแบบ CBU และเข้าร่วมมาตรการ EV 3.5 ด้วยเป้าหมายยอดขายที่มากกว่าเดิมถึง 6,000 คันในช่วงปีแรก
New bZ4X มีดีไซจ์นการออกแบบที่สะดุดตา และน่าดึงดูดใจ ใช้เวลาในการชาร์จเร็วขึ้น และที่สำคัญ ในรุ่นระบบขับเคลื่อนล้อหน้าที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ยังสามารถทำระยะการขับขี่ได้ถึง 600* กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ภายใต้มาตรฐาน NEDC ซึ่งไกลกว่ารถหลายรุ่นด้วยกัน พละกำลังสูงสุดได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และติดตั้งระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบมาตรฐาน Toyota ในทุกรุ่นย่อย
หมายเหตุ : * ข้อมูลระยะทางวิ่งสูงสุดอาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยอยู่ระหว่างการรับรองขั้นสุดท้าย
เสถียรภาพ (Stability) ความรู้สึกในการควบคุมพวงมาลัย (Steering Feel) ความนุ่มนวล (Riding Comfort) และประสิทธิภาพการเบรคนั้นอยู่ในระดับ “สูงสุดในรถระดับเดียวกัน” โดยเราจะจัดให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับรถรุ่นนี้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม เพื่อให้ท่านได้สัมผัสถึงความยอดเยี่ยมของรถรุ่นนี้ด้วยตนเอง และเราจะประกาศราคาอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนตุลาคม โดยคาดว่าจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน เป็นต้นไป ทั้งนี้ เราขอประกาศการเปิดรับจองสิทธิ์เพื่อเป็นเจ้าของล่วงหน้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สำหรับ bZ4X ใหม่ รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าจะมีราคาเริ่มต้นที่ 1,5xx,xxx บาท และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีราคาเริ่มต้นที่ 1,6xx,xxx บาท
นอกจากการที่ bZ4X มีมาตรฐานคุณภาพระดับโลกของ Toyota แล้ว ยังมีระบบการจัดการชิ้นส่วนอะไหล่ และเครือข่ายศูนย์บริการที่ครอบคลุม กับโชว์รูม และศูนย์บริการกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ เราจึงมั่นใจว่า New bZ4X จะมอบความอุ่นใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า จึงอาจกล่าวได้ว่า bZ4X ใหม่ จะไม่เพียงแต่มอบความภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของเท่านั้น แต่ยังมอบความสุขให้แก่ชีวิตผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ในทุกๆ วันอีกด้วย
เราเชื่อมั่นว่ารถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ bZ4X ใหม่ และ New Yaris Ativ HEV จะช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทย ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์แบบครบวงจร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อ Toyota ให้มากขึ้น พร้อมก้าวเดิน และเติบโตไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ เรายังจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มเติมให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยอีก ในปลายปีนี้
ศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า Toyota เป็นผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์ไฮบริด และได้รับความไว้วางใจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 16 ปี อีกทั้งยังมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยลูกค้าสามารถมอบความไว้วางใจให้แก่ Toyota ตลอดการใช้งาน ภายใต้แนวคิด “Toyota No.1 Trusted HEV” โดยมีจุดเด่นดังนี้
1. การรับประกันระบบไฮบริด 5 ปีไม่จำกัดระยะทาง และรับประกันแบทเตอรีสูงสุด 10 ปีไม่จำกัดระยะทาง (เชคระยะตามเงื่อนไข TCFR Plus+)
2. Toyota Service Technician ช่างผู้ชำนาญการ ที่ผ่านการฝึกอบรมจากศูนย์การศึกษา และฝึกอบรม Toyota ที่มีมากกว่า 8,000 คน รวมถึงอุปกรณ์การซ่อมที่ได้มาตรฐานสำหรับรถไฮบริด ที่ศูนย์บริการทั่วประเทศกว่า 450 แห่ง
3. ด้านอะไหล่ เรามีความพร้อมให้บริการ เรามีการจัดเตรียมอะไหล่ไว้รองรับนานกว่า15 ปี และสามารถจัดส่งได้เร็วสุดภายใน 48 ชม.
ด้วยจุดแข็งหลักที่กล่าวมา สามารถพิสูจน์ได้ถึงความไว้วางใจของลูกค้า จากความนิยม และราคาขายต่อรถไฮบริดของ Toyota นั้น ยังคงมีมูลค่าที่สูง และเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง
ซึ่ง New Yaris Ativ HEV เป็นอีกทางเลือกที่เข้าถึงได้ในราคาที่คุ้มค่าสำหรับคนรุ่นใหม่ กับ 2 รุ่นย่อย ได้แก่ HEV Premium และ HEV GR Sport
สำหรับรุ่น HEV Premium มาพร้อมกับเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.5 ลิตร แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขับเคลื่อนล้อหน้า เมื่อเครื่องยนต์ และมอเตอร์ทำงานควบคู่กัน จะได้กำลังสูงสุด 111 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอัตราเร่งในช่วงออกตัว และช่วงการเปลี่ยนระบบส่งกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นเครื่องยนต์ ประหยัดน้ำมันสูงสุดในกลุ่มรถ HEV อยู่ที่ 29.4 กม./ลิตร และยังคงสิทธิพิเศษที่คุ้มค่าตลอดอายุการใช้งาน เช่นเดียวกับรถยนต์ Toyota ทุกรุ่น อาทิ บริการสินเชื่อ Connected Auto Loan (CAL), ประกัน PHYD, โปรแกรมสะสมคะแนน Toyota Alive X, โปรแกรม TCFR Plus+ สิทธิประโยชน์ตามการเชคระยะต่อเนื่อง มาพร้อมสเปคจุดเด่น และจุดที่เพิ่มเติมใหม่ ดังนี้
อุปกรณ์ภายนอก
- กระจังหน้าด้านบนโครเมียมรมดำ และด้านล่างสีเทาเมทัลลิค
- ล้ออัลลอยดีไซจ์นใหม่ ขนาด 16 นิ้ว
อุปกรณ์ภายใน
- เบาะหนังสังเคราะห์สีดำ-เทา
อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
- หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Apple Car Play และ Android Auto แบบไร้สาย
- อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย
- ระบบเบรคมือแบบไฟฟ้า EPB (Electric Parking Brake) พร้อมระบบหน่วงเบรคอัตโนมัติ ABH (Auto Brake Hold)
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง และระบบกรองฝุ่น PM2.5
- ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร (Ambient Light) ปรับได้ 64 เฉดสี
ระบบความปลอดภัย
- ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense (TSS) พร้อมฟังค์ชันใหม่ LKC: Lane Keeping Control หรือระบบช่วยคุมรถให้อยู่ในเลน ที่จะทำงานคู่กับ Adaptive Cruise Control แบบ All-Speed
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM (Blind Spot Monitor)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยจอด RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- กล้องมองรอบคัน PVM (Panoramic View Monitor)
- สัญญาณเตือนกะระยะด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 4 ตำแหน่ง
- กล้องวีดีโอบันทึกภาพด้านหน้า DVR (Digital Video Recorder)
- Airbag 6 ตำแหน่ง
สำหรับผู้ที่มองหาความโดดเด่น สปอร์ท และขับสนุกยิ่งขึ้น เรามีรุ่น HEV GR Sport ไว้ให้เป็นทางเลือก กับสเปคหลักที่เพิ่มขึ้น ดังนี้
- กระจังหน้าดีไซจ์นใหม่ พร้อมโลโก GR
- ชุดแต่ง GR-S ได้แก่ สเกิร์ทกันชนหน้า ชุดสเกิร์ทข้าง สเกิร์ทกันชนหลัง และสปอยเลอร์หลัง
- ล้ออัลลอยดีไซจ์นใหม่ขนาด 17 นิ้ว
- หลังคาดำ
- ช่วงล่าง และพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS พร้อมโลโก GR ปรับแต่งพิเศษ
- กระจกมองข้างสีดำปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว LED และพับเก็บอัตโนมัติ
- เบาะหนังสังเคราะห์ และพวงมาลัยสีดำ พร้อมโลโก GR
- ลำโพง Pioneer 6 ตำแหน่ง
สำหรับสีภายนอก รุ่น HEV Premium มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี และรุ่น HEV GR Sport มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี มาพร้อมหลังคาดำ
เรามั่นใจว่า New Yaris Ativ HEV นั้นจะเข้ามาเติมเต็มความต้องการของลูกค้าในตลาดอีโคคาร์เซกเมนท์ ได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ด้วยทางเลือกที่หลากหลาย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มองหานวัตกรรม คุณภาพ เน้นความคุ้มค่าในระยะยาว และเป็นเจ้าของง่าย ผ่านการสื่อสารที่สะท้อนภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ ที่มุ่งมั่นสู่การพัฒนาตัวเองในทุกจังหวะของชีวิต พร้อมยกระดับชีวิตได้ในทุกมุมมอง ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านพรีเซนเตอร์ที่เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ทั้ง 2 ท่าน ภายใต้คอนเซพท์การสื่อสาร "Your Days Elevated จังหวะที่ใช่ ในแบบเรา"
เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ให้พรีเมียม และโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ทางเราได้จัดเตรียมชุดแต่งใหม่ภายใต้ชื่อ Charismo Drift มาเป็นทางเลือกในรุ่น HEV Premium โดยในชุดจะประกอบไปด้วย สเกิร์ทกันชนหน้า ชุดสเกิร์ทข้าง สเกิร์ทกันชนหลัง และสปอยเลอร์หลัง ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่ต้องการความสปอร์ท แตกต่างไม่เหมือนใคร
เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่เฝ้ารอการเปิดตัว และต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์นั่งไฮบริดตัวเริ่มต้น New Yaris Ativ HEV เราจึงขอมอบราคาพิเศษแนะนำจนถึงสิ้นปีนี้
เพื่อให้ทุกท่านเป็นเจ้าของ New Yaris Ativ HEV ได้ง่ายยิ่งขึ้น เรายังได้เตรียมข้อเสนอสุดพิเศษ ผ่อนเริ่มต้นเพียง 6,443 บาท/เดือน หรือเลือกรับฟรีประกันภัยชั้น 1 Toyota Care พร้อมรับประกันแบทเตอรีไฮบริดสูงสุด 10 ปี (เชคระยะตามเงื่อนไข TCFR Plus+) รวมทั้งบริการ และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย”
เลือกเป็นเจ้าของ New Yaris Ativ HEV ได้ 2 รุ่นย่อย
ราคาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
- รุ่น HEV GR Sport ราคา 779,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
(มาพร้อมสีภายนอก 3 สี ได้แก่ สีดำ Attitude Black Mica/สีขาวมุก หลังคาดำ Platinum White Pearl with Black Roof และสีแดง หลังคาดำ Red Mica Metallic with Black Roof, ภายในสีดำ)
สำหรับสี Platinum White Pearl with Black Roof เพิ่ม 12,000 บาท
สำหรับสี Red Mica Metallic with Black Roof เพิ่ม 5,000 บาท
- รุ่น HEV Premium ราคา 729,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
(มาพร้อมสีภายนอก 5 สี ได้แก่ สีเงิน Metal Stream Metallic/สีเทา Urban Metal/สีดำ Attitude Black Mica/สีขาวมุก Platinum White Pearl และสีแดง Red Mica Metallic, ภายในสีดำ-เทา)
สำหรับสี Platinum White Pearl เพิ่ม 7,000 บาท
ราคาพิเศษช่วงแนะนำ (ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม-31 ธันวาคม 2568)
- รุ่น HEV GR Sport ราคา 769,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
(มาพร้อมสีภายนอก 3 สี ได้แก่ สีดำ Attitude Black Mica/สีขาวมุก หลังคาดำ Platinum White Pearl with Black Roof และสีแดง หลังคาดำ Red Mica Metallic with Black Roof, ภายในสีดำ)
สำหรับสี Platinum White Pearl with Black Roof เพิ่ม 12,000 บาท
สำหรับสี Red Mica Metallic with Black Roof เพิ่ม 5,000 บาท
- รุ่น HEV Premium ราคา 719,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
(มาพร้อมสีภายนอก 5 สี ได้แก่ สีเงิน Metal Stream Metallic/สีเทา Urban Metal/สีดำ Attitude Black Mica/สีขาวมุก Platinum White Pearl และสีแดง Red Mica Metallic, ภายในสีดำ-เทา)
สำหรับสี Platinum White Pearl เพิ่ม 7,000 บาท
พร้อมขยายระยะเวลาการคุ้มครอง TCFR Plus+ มูลค่า 12,000 บาท ขยายระยะรับประกันสูงสุด 5 ปี หรือ 150,000 กม.
และขยายระยะเวลารับรองการใช้งานแบทเตอรีไฮบริด 10 ปี และระบบไฮบริด 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เมื่อเข้าเชคระยะตามกำหนด
(เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)
เปิดรับจองสิทธิ์ เพื่อเป็นเจ้าของ New bZ4X ผ่านช่องทางออนไลน์
ที่ https://stores.toyota.co.th/register/bz4x
- รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ราคาเริ่มต้น 1,5xx,xxxx บาท
- รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ราคาเริ่มต้น 1,6xx,xxxx บาท
(มาพร้อมสีภายนอก 4 สี ได้แก่ Precious Metal Black Roof/Platinum White Black Roof/Emotional Red Black Roof/Attitude Black)
พิเศษ รับทันทีส่วนลดเงินสด 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยพิเศษ 0.99 % เฉพาะ 2,000 สิทธิ์แรก สำหรับลูกค้าที่จองสิทธิ์ตั้งแต่ 21 สิงหาคม-19 ตุลาคม 2568 หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด
(อัตราดอกเบี้ยคำนวณที่ดาวน์ 25 % ขึ้นไป นาน 48 เดือน สำหรับผู้ซื้อที่ผ่านการอนุมัติจาก บริษัท โตโยต้าลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด โดยคำนวณจากดอกเบี้ยต้นงวด และส่วนลดดอกเบี้ยรถไฟฟ้า)
.........................................................................................................................
Honda เปิดตัว Accord ใหม่
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว Honda Accord E:HEV (ฮอนดา แอคคอร์ด อี:เอชอีวี) ใหม่ คุ้มค่ายิ่งขึ้นกับการเพิ่มฟีเจอร์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ใหม่ ! ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Information-BSI) และ ใหม่ ! ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอย (Cross Traffic Monitor-CTM) ในทุกรุ่นย่อย และอัพลุคใหม่ เสริมความสปอร์ทในทุกรุ่นย่อย พร้อมราคาใหม่ เพื่อยกระดับความคุ้มค่าไปอีกขั้น ทั้ง 3 รุ่นย่อย เริ่มต้น 1,479,000 บาท
รุ่น E:HEV E ราคา 1,479,000 บาท
รุ่น E:HEV EL ราคา 1,599,000 บาท
รุ่น E:HEV RS ราคา 1,729,000 บาท
ข้อเสนอสุดพิเศษ ดอกเบี้ย 0.99 %* พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี หรือดอกเบี้ย 1.99 % พร้อมรับ Honda Exclusive Care 5 ปี เมื่อจองตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม-30 กันยายน 2568 และรับรถภายใน 31 ตุลาคม 2568 ร่วมสัมผัส Honda Accord E:HEV ใหม่ ได้ที่งาน Big Motor Sale 2025
โคจิ อิวานามิ ประธานกรรมการบริหาร และซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Honda มุ่งมั่นสู่อนาคตแห่งการขับเคลื่อน ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการ ที่จะยกระดับประสบการณ์ตลอดการใช้งานให้แก่ลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยพร้อมขับเคลื่อน และเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้แก่ชีวิตของผู้คน การเปิดตัว Honda Accord ใหม่ เรารับฟังเสียงของลูกค้าชาวไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบคุณค่าใหม่ๆ ในทุกมิติ โดย Honda Accord E:HEV ใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีการขับเคลื่อน พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอันล้ำสมัย และเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ตอบโจทย์การใช้งาน และไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ดีไซจ์นสปอร์ทพรีเมียมที่สะท้อนตัวตนของผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจน พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่เคียงข้าง และให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใจอยาก
.........................................................................................................................
MG เปิดราคา IM6 Premium Long Range
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG (เอมจี) ในประเทศไทย เปิดตัว New MG IM6 Premium Long Range (เอมจีไอเอม 6 พรีเมียม ลอง เรนจ์) ใหม่ รุ่นย่อยล่าสุดที่เข้ามาเติมเต็มในกลุ่มพรีเมียมอีวีกับจุดเด่น “ชาร์จไวกว่า และวิ่งไกลสุดในคลาสส์” โดยสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดที่ 750 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC พร้อมชาร์จไวกว่าด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนแรงดันไฟฟ้า 800 โวลท์ รองรับการชาร์จไฟกระแสตรง (DC) สูงสุด 396 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จจาก 10-80 % ได้ภายในเวลาเพียง 18 นาที ในราคาพิเศษ 1,499,900 บาท โดยในงานยังมีข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับยนตรกรรมครบทุกรุ่น เริ่มตั้งแต่วันนี้-31 สิงหาคม 2568
พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าการเปิดตัว New MG IM6 Premium Long Range ในครั้งนี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่ง New MG IM6 ถือเป็นหนึ่งในโมเดลยุทธศาสตร์ในการทำตลาดของ MG โดยตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมีนาคม ได้ส่งมอบถึงมือลูกค้าแล้วกว่า 1,000 คัน กับรุ่น Premium 2WD และ รุ่น Performance AWD ได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมอีวีในเรื่องความอัจฉริยะ และความเป็นที่สุดของรถในกลุ่มนี้ ทั้งระบบเลี้ยว 4 ล้อ อัตราเร่งที่โดดเด่น และฟังค์ชันพรีเมียม ที่จัดเต็มมาตั้งแต่รุ่น Premium 2WD
การเพิ่มรุ่นย่อยใหม่นี้ MG ได้รับฟังเสียงจากผู้บริโภค และต้องการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่อยากได้รถไฟฟ้าที่ขับได้ไกลสูงสุดถึง 750 กม. ตามมาตรฐาน NEDC อัตราเร่ง และชาร์จได้ไวสูงสุด 396 กิโลวัตต์ เพื่อความคล่องตัวในการเดินทางระยะไกล ทำให้ New MG IM6 Premium Long Range กลายเป็นทางเลือกที่โดดเด่น และน่าจับตามองในตลาด ตอบโจทย์ทุกความกังวลสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหารถไฟฟ้าคันที่สามารถใช้งานเป็นหลักของบ้านได้ นอกจากการเปิดตัวรุ่นย่อยแล้ว MG ยังได้เพิ่มเติมสีใหม่สำหรับ New MG IM6 ทุกรุ่นย่อย จากปัจจุบันที่มีจำหน่าย 4 สี คือ สีชมพู Ferdinand Pink สีขาว Raphael Beige สีดำ Ares Black และสีเทา Rembrandt Grey เป็น 5 สี โดยมี สีฟ้า Nevis Blue เพิ่มเข้ามาอีกด้วย
ทั้งนี้ New MG IM6 Premium Long Range ยังอัดฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ IM6 มาอย่างจัดเต็ม อาทิ IM Digital Chassis ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้ออัจฉริยะ ระบบ One Touch iAD Auto Parking Assist ที่ช่วยในการจอดอัตโนมัติ การจอด และออกจากช่องจอดรถในพื้นที่จำกัด (One Touch Escape) และการถอยหลังอัตโนมัติเมื่อขับเจอซอยตัน ได้สูงสุด 100 ม. (One Touch Reverse) และระบบความปลอดภัย Advanced Synchronized Protection System ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับ 5 ดาวจาก China NCAP และดีไซจ์น เพื่อรองรับ Euro NCAP โดย MG ยังมอบความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยการรับประกันแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมตลอดอายุการใช้งาน (Lifetime Warranty) เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจ และสบายใจในการใช้งานระยะยาว
New MG IM6 Premium Long Range จัดจำหน่ายในราคาพิเศษ 1,499,900 บาท จากราคาปกติ 1,599,900 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษ
MG Shield ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ. นาน 1 ปี
ฟรี MG Home Charger พร้อมติดตั้ง
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนระดับพรีเมียม นาน 5 ปี
ฟรี ค่าบริการระบบปฏิบัติการ I-Smart นาน 5 ปี
ฟรี บริการค่าจดทะเบียน กรอบป้ายทะเบียน และชุดพรมปูพื้น
สิทธิพิเศษ การบริการ MG Premium Fast Lane
สิทธิพิเศษ การบริการ MG Premium Call Centre
ดอกเบี้ยพิเศษ 1.99 % นาน 48 เดือน
รับประกันแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุม ตลอดอายุการใช้งาน (Lifetime Warranty)
รับประกันคุณภาพรถยนต์นาน 5 ปี หรือ 160,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
ภายในงาน Big Motor Sale 2025 MG ยังได้นำรถยนต์ครบทุกรูปแบบการขับเคลื่อนมาจัดแสดง และจัดจำหน่าย ด้วยหลากข้อเสนอสุดพิเศษ
.........................................................................................................................
Omoda & Jaecoo ประกาศราคา 5 EV
Omoda & Jaecoo (โอโมดา แอนด์ เจคู) ผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก ประกาศราคา "Jaecoo 5 EV" (เจคู 5 อีวี) ยนตรกรรมไฟฟ้า 100 % รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และรักการใช้ชีวิตอย่างมีสไตล์ พร้อมรองรับสำหรับสัตว์เลี้ยงแสนรัก ในราคาเริ่มต้นที่ 629,000 บาท สำหรับ Jaecoo 5 EV Long Range Dynamic และเริ่มต้นที่ 679,000 บาท สำหรับ Jaecoo 5 EV Long Range Max
บิล จาง ผู้อำนวยการบริหารแบรนด์ Omoda & Jaecoo บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Jaecoo 5 EV ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการผจญภัย ครอบครัวที่รักการท่องเที่ยว หรือคนรักสัตว์เลี้ยงที่ต้องการพาสมาชิกตัวน้อยร่วมเดินทางไปด้วยกัน เราใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้ Jaecoo 5 EV เป็นมากกว่ายานพาหนะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่ทำให้ทุกการเดินทางมีความหมายมากขึ้น
Jaecoo 5 EV ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในชีวิตประจำวัน หรือการออกทริพสุดสนุกในวันหยุด ด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง พร้อมระบบความบันเทิงครบครัน รวมถึงโหมดคาราโอเกะในรถที่จะเปลี่ยนการเดินทางให้เป็นพาร์ทีเคลื่อนที่สุดมันกับเพื่อนๆ
Jaecoo 5 EV มีให้เลือก 2 รุ่นย่อยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ได้แก่ Jaecoo 5 EV Long Range Max และ Jaecoo 5 EV Long Range Dynamic โดย Jaecoo 5 EV Long Range Max โดดเด่นด้วยการตกแต่งภายในด้วยเบาะหนังสังเคราะห์พรีเมียม เบาะปรับไฟฟ้า หน้าจอสัมผัสขนาด 13.2 นิ้ว พร้อมไฟเรืองแสงปรับได้ 64 สี ที่ช่วยสร้างบรรยากาศการเดินทางให้สมบูรณ์แบบ มาพร้อมกล้องรอบคัน 540° หลังคาพาโนรามิค (Panoramic Fixed Glass Roof) ที่มีขนาดใหญ่ถึง 1.45 ตร.ม. และประตูท้ายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด โดยมีสีภายนอกให้เลือกถึง 5 สี และสีภายใน 2 สี (ขึ้นอยู่กับ Combination ของแต่ละสีรถภายนอก) ส่วน Jaecoo 5 EV Long Range Dynamic ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ด้วยเบาะผ้าที่ให้ความรู้สึกสปอร์ท และทันสมัย ตรงใจกลุ่มผู้ขับขี่รุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการออกแบบที่ทันสมัย และมีสไตล์ หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว กล้องรอบคัน 360° พร้อมมีสีภายนอกมาให้เลือก 3 สี
น้องๆ สี่ขาก็เที่ยวได้ สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง Jaecoo 5 EV ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษด้วยวัสดุหุ้มเบาะที่ทนทานต่อรอยขีดข่วน ทำความสะอาดง่าย พร้อมจุดยึด Isofix สำหรับติดตั้งที่นั่งสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ให้พาน้องหมา น้องแมวไปเที่ยวได้อย่างปลอดภัย และสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นทริพพาน้องไปอาบน้ำ หรือพักผ่อนริมทะเลในวันหยุด
ห้องเก็บของใหญ่จุใจ พร้อมลุยทุกทริพ พื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการแพคอุปกรณ์แคมพิง บอร์ดเล่นเซิร์ฟ หรือจักรยาน สำหรับทริพท่องเที่ยวสุดสัปดาห์ หรือจะใช้ขนของชอพพิงก็สะดวกสบาย
Jaecoo 5 EV ยังมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ให้ระยะวิ่งไกลถึง 461 กิโลเมตร มาพร้อมระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ADAS 19 ฟังค์ชัน และโครงสร้างตัวถังที่ใช้เหล็กกำลังสูงถึง 77 % เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร
พิเศษสำหรับลูกค้า Jaecoo 5 EV 1,000 ท่านแรกที่จอง และรับรถภายใน 30 กันยายน 2568 รับข้อเสนอสุดพิเศษ ราคาเริ่มต้นที่ 549,000 บาท สำหรับ Jaecoo 5 EV Long Range Dynamic และราคาเริ่มต้นที่ 599,000 บาท สำหรับ Jaecoo 5 EV Long Range Max รับฟรี Wall Charge พร้อมติดตั้ง ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.78 % รวมถึงการรับประกันตัวรถ 8 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร และรับประกันแบทเตอรี 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร* นอกจากนี้ ลูกค้าจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องหลังการขาย ด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง (โทร. 0-2020-8888 กด 1) ฟรี นาน 5 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ครอบคลุมทั่วประเทศไทย พร้อมศูนย์บริการมาตรฐานที่พร้อมดูแลลูกค้าอย่างครบวงจร
.........................................................................................................................
Xpeng จัดงาน Xpeng Vision Night Thailand
Xpeng ประเทศไทย ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค Xpeng (เสี่ยวเผิง) กับบริษัท Xpeng Motors สาธารณรัฐประชาชนจีน จัดงาน "Xpeng Vision Night Thailand" นำเสนอนวัตกรรมการขับเคลื่อนแห่งอนาคต เปิดตัว Xpeng "New G6"
เจมส์ วู รองประธาน Xpeng Motors กล่าวว่า Xpeng มองอนาคตผ่าน 2 เสาหลักใหญ่ คือ AI และพลังงาน เรากำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลการขับขี่จริง ทำให้รถเรียนรู้และขยายศักยภาพไปได้ทั่วโลก ขณะเดียวกันเราก็ยกระดับด้านพลังงาน ด้วยแบทเตอรีที่ประจุไฟได้เร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงกว่าที่เคยทั้งหมดนี้ไม่หยุดอยู่ที่รถยนต์ แต่ยังต่อยอดไปถึงหุ่นยนต์ Humanoid และยานยนต์บินได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์เดินทาง และใช้ชีวิตในอนาคต เป้าหมายของ Xpeng คือ การทำให้ทุกคนรวมถึงลูกค้าในประเทศไทย ได้สัมผัสอนาคตตั้งแต่วันนี้สอดคคลองกับคอนเซพท์ "Live the Next, Now"
อภิวันท์ สิงห์ทวีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Xpeng ประเทศไทย กล่าวว่า Xpeng Vision Night Thailand ไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลองความสำเร็จในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ด้วยยอดส่งมอบรถร่วม 3,000 คัน และการมียอดจดทะเบียนเป็นอันดับ 1 ประเภทรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมจีน ในเดือนมิถุนายน และกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ยังเป็นการประกาศถึงวิสัยทัศน์ และทิศทางของ Xpeng ในการนำประเทศไทยก้าวสู่อนาคค ด้วยเทคโนโลยี AI Mobility ยุคใหม่
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการพัฒนาซอฟท์แวร์อันล้ำสมัย โดยระบบบปฏิบัติการเวอร์ชันถัดไปที่จะเปิดให้ใช้งานในเร็วๆ นี้ จะถูกทยอยปล่อยอัพเดท เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเมือง และสัมผัสฟังค์ชันใหม่ๆ อาทิ โหมดสัตว์เลี้ยง (Pet Mode) ที่ช่วยให้สามารถจอดรถ เปิดระบบปรับอากาศ และลอคประตูเพื่อให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในรถได้อย่างปลอดภัย
แอพพลิเคชัน Karafun ที่มอบความสนุกในการร้องคาราโอเกะ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไมโครโฟน การปรับปรุงระบบช่วยเหลือผู้ขับ ให้ทำงานได้อย่างนุ่มนวล และแม่นย่ายิ่งขึ้น ปรับอุณหภูมิต่ำสุดของระบบปรับอากาศ จาก 18 เป็น 16 องศาเซลเซียส รวมถึงการอัพเกรดด้านความบันเทิง และเพิ่มความความเสถียรของระบบอื่นๆ ซึ่งการค่อยๆ ปล่อยฟังค์ชันใหม่ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความใส่ใจในคุณภาพ และความมั่นใจว่าทุกการอัพเดทได้รับการทดสอบ และปรับปรุง เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ ยังเปิดตัว Xpeng "New G6" โฉมใหม่ของเอสยูวีไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่พร้อมนำพาทุกท่าน ทะยานสู่อนาคตอย่างมั่นใจ ครั้งแรกกับการใช้แบทเตอรี 5C ทุกรุ่นย่อย รองรับกระแสไฟสูงสุด 451 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จจาก 10-80 % เพียง 12 นาที* ปรับโฉมทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร รูปลักษณ์ด้านหน้าพร้อมเดย์ไทม์รันนิงไลท์ดีไซจ์นไหม่แบบ Galaxy Light Wing พาดยาวเป็นเส้นเดียว พร้อมโลโก Xpeng บนฝากระโปรง เปลี่ยนดีไซจ์นฝาท้ายแบบ Ducktail และกันชนหลังแบบ C-Ring ดูสปอร์ท และโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น เข้ากันกับล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลายใหม่ ห้องโดยสารติดตั้งจอกลาง และจอหน้าผู้ขับแบบใหม่ ขนาด 15.6 และ 10.25 นิ้วตามลำดับ ขณะที่พวงมาลัยได้รับการปรับปรุงให้กลมกลืนกับห้องโดยสารมากขึ้น เปลี่ยนมาใช้ช่องแอร์แบบปรับมือตามความต้องการของลูกค้าในไทย และต่างประเทศ กระจกมองหลังสามารถจากกล้องได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารแบบ Starlight Rhythm Matrix โดย New G6 มาพร้อมกับ 2 รุ่นย่อย คือ "Long Range" และ "AWD Performance" ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของ G6 ที่ติดตั้งมอเตอร์คู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ (All-Wheel Drive) กำลังสูงสุด 486 แรงม้า (PS) แรงบิด 600 นิวทันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.13 วินาที สำหรับรุ่น Long Range มีให้เลือก 4 สี คือ ม่วง (Stellar Purple), ขาว (Arctic White), เทา (Graphite Gray) และดำ (Midnight Black) ส่วนรุ่น "AWD Performance" มาพร้อมสีดำ (Midnight Black) ในสไตล์ "Black Edition" ผสานล้ออัลลอยรมดำ ดุดันเต็มพิกัด
มาพร้อมกับรุ่น Long Range 1,349,000 บาท และรุ่น AWD Performance 1,489,000 บาท
นอกเหนือจากการนำเสนอวิสัยทัศน์ นวัตกรรม และยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นล่าสุด Xpeng ประเทศไทย ยังได้จัดแสดงหุ่นยนต์ Humanoid "Iron" และชิพประมวลผลอัจฉริยะ "Turing AI Chip" ภายในงาน
Xpeng Iron เป็นหุ่นยนต์ Humanoid รุ่นล่าสุดของ Xpeng ใช้เวลาพัฒนากว่า 5 ปี มีข้อต่อมากกว่า 60 จุด พร้อมความสามารถในการเคลื่อนไหวกว่า 200 องศาอิสระ มือของ Tron มีขนาดเท่ามือมนุษย์แบบ 1:1 และสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ 22 องศา โดย "Iron มีความสูง 178 ซม. หนัก 78 กก. ปัจจุบันได้มีส่วนช่วยทำงานในสายการผลิตของ Xpeng โดยใช้เทคโนโลยี AI และระบบควบคุมการเคลื่อนไหว ที่อิงจากโมเดลขับขี่สามารถหยิบจับสิ่งของ ประกอบ และเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น และแม่นยำ วางแผนเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2569 และตั้งเป้าขยายการใช้งาน สู่สำนักงาน ร้านค้า รวมถึงครัวเรือนในอนาคต
Xpeng Turing AI Chip คือ ชิพอัจฉริยะรุ่นแรกที่พัฒนาโดย Xpeng สำหรับการขับขี่อัตโนมัติระดับ 4 (Autonomous Driving Level 4) มาพร้อม 40-Core Processor ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงกว่าเดิม 3 เท่า และสามารถประมวลผลข้อมูลได้ถึง 30,000 ล้านพารามิเตอร์ โดยไม่ต้องพึ่งพาการคำนวณจากคลาวด์ (Cloud-Free Intelligence) ช่วยให้การตัดสินใจของรถสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัยมากขึ้น นับเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ ผ่านเทคโนโลยีที่ Xpeng พัฒนาขึ้นเองทั้งหมด
.........................................................................................................................
GWM Thailand ดันยอดขาย 7 เดือนแรกโต 96 %
GWM Thailand ประกาศความสำเร็จ 7 เดือนแรกของปี 2568 ด้วยยอดขายรวมสูงถึง 8,804 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มียอดขายอยู่ที่ 4,490 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตสูงถึง 96 % สะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยต่อผลิตภัณฑ์ และบริการของแบรนด์ การเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากการดำเนินกลยุทธ์ "User-Centric" ที่มุ่งเน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลางควบคู่กับการยกระดับบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืนในประเทศไทยในระยะยาว
เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ GWM Thailand กล่าวว่า ยอดขายรวม 7 เดือนแรกของปีนี้ เติบโตถึง 96 % มียอดขายอยู่ที่ 8,804 คัน สะท้อนถึงศักยภาพ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ GWM ในประเทศไทย โดยยอดขายของ GWM (กเรท วอลล์ มอเตอร์) ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมาจาก GWM ORA (กเรท วอลล์ มอเตอร์ โอรา) 4,218 คัน (48 %), GWM Tank (กเรท วอลล์ มอเตอร์ แทงค์) 3,473 คัน (39 %) และ GWM Haval (กเรท วอลล์ มอเตอร์ ฮาวัล) 1,103 คัน (13 %) โดยเจ้าเหมียวไฟฟ้าขวัญใจชาวไทย GWM ORA Good Cat (กเรท วอลล์ มอเตอร์ โอรา กูด แคท) ยังคงครองสัดส่วนสูงสุดถึง 3,573 คัน หรือคิดเป็น 40 % ของยอดขายรวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 175 % ตามมาด้วย GWM Tank 300 Diesel (กเรท วอลล์ มอเตอร์ แทงค์ 300 ดีเซล) 3,183 คัน และเจ้าเหมียวไฟฟ้าสายสปอร์ทซีดาน ORA 07 กับยอดขาย 645 คัน สำหรับ GWM Tank 300 Diesel ได้รับการตอบรับที่ล้นหลามจากลูกค้าชาวไทย ทำสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกรกฎาคมที่ 1,028 คัน สร้างกระแส Tank Fever ในกลุ่มเป้าหมายที่ทันสมัย และรักการผจญภัย และกลายมาเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งในเซกเมนท์ SUV-C และ PPV
ความสำเร็จ และการเติบโตของ GWM นั้น เป็นผลมาจากการใช้กลยุทธ์ User-Centric หรือการรับฟังเสียงของผู้บริโภค และลูกค้าชาวไทยเพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง โดยผลิตภัณฑ์ที่ GWM เปิดตัวในประเทศไทย ล้วนได้รับการปรับปรุงจากข้อคิดเห็น ความชื่นชอบ และพฤติกรรมการขับขี่ของคนไทย อาทิ All New Haval H6 ที่ได้มีการปรับระบบช่วงล่าง การอัพเกรดระบบปฏิบัติการภายในรถ (UX/UI) ด้วย Coffee OS 3.0 อันล้ำสมัย พร้อม Petal Map ที่มีความละเอียด และแม่นยำสูง หรือแม้แต่การนำเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุดเข้ามาใน New GWM Tank 300 Diesel และ New GWM Tank 500 Diesel ก็เพื่อตอบสนองความชื่นชอบ และการใช้งานของคนไทยเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ GWM Thailand ยังให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านบริการหลังการขาย ที่เป็นจุดสร้างความแตกต่าง และคุณค่าในระยะยาวให้แก่ลูกค้าในการตัดสินใจซื้อ และถือเป็นอีกจุดแข็งสำคัญที่เสริมสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ GWM อย่างเป็นรูปธรรม โดยล่าสุด GWM ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 3 จาก 12 แบรนด์รถยนต์ยอดนิยม ด้านความพึงพอใจของบริการหลังการขายประจำปี 2567 โดย Differential บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำระดับประเทศ และเป็นแบรนด์จากประเทศจีนเพียงแบรนด์เดียวที่สามารถขึ้นสู่ระดับ Top 3 ได้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์บริการหลังการขายให้รวดเร็ว ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง โดย GWM เน้นการบริการผ่าน GWM Smart Service ที่มอบบริการที่ง่าย สะดวกสบาย ผ่านเทคโนโลยีอันล้ำสมัย พร้อมการบริการที่ใส่ใจ เชื่อถือได้ และฉับไว ด้วยการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการอะไหล่ที่มีประสิทธิภาพ การอบรมบุคลากรอย่างเข้มขันทั้งทางภาคทฤษฎี และปฏิบัติ การควบคุมคุณภาพการให้บริการของศูนย์บริการ รวมถึงการขยายโครงการศูนย์สี และซ่อมตัวถังมาตรฐานครบวงจร (GWM Certified Body and Paint) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าไทยอย่างรอบด้าน และยกระดับคุณภาพบริการในระยะยาว
“GWM ขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยที่มอบความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่มีต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการของเรามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายเติบโตถึง 96 % ภายในระยะเวลาเพียง 7 เดือนเท่านั้น เราเชื่อว่าการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น HEV, PHEV, BEV หรือดีเซล ทำให้เรามีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ GWM และพาร์ทเนอร์ชาวไทย สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย และไลฟ์สไตล์ของคนไทยได้อย่างครอบคลุม และครบทุกกลุ่ม นอกจากนี้ เรายังคงเดินหน้าภายใต้กลยุทธ์ "User-Centric" ที่เน้นรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะอย่างใกล้ชิด และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้จริงในทุกมิติเพื่อนำมาพัฒนาในรถยนต์รุ่นถัดๆ ไปให้เหมาะสมกับพฤติกรรมคนไทย และสภาพท้องถนนประเทศไทยให้มากที่สุด รวมถึงการยกระดับบริการหลังการขายให้รวดเร็ว ครอบคลุม และตรงจุด ผ่านการให้บริการที่มีคุณภาพในศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น เราวางแผนที่จะสร้างความแข็งแกร่งของคอมมูนิทีผ่านประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นกับกลุ่มลูกค้าเราให้มากยิ่งขึ้น พร้อมก้าวสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนในตลาดยานยนต์ไทย”
.........................................................................................................................
Geely เปิดตัวระบบขับเคลื่อน EM Super Hybrid
กลุ่มบริษัท Geely Holding หนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำระดับโลกที่มีความโดดเด่นทั้งในการพัฒนา และคิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยียานยนต์ที่ล้ำสมัย เดินหน้ารุกตลาดพลังงานใหม่อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีบริษัท ธนบุรีนอยเสติร์น จำกัด ผู้นำเข้า และผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ Geely (จีลี) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ประกาศเปิดตัวนวัตกรรมระบบขับเคลื่อนรุ่นใหม่ EM Super Hybrid ออกแบบมาเพื่อกำหนดนิยามใหม่ของระบบขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริด พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของเทคโนโลยี GEA (Global Intelligent Electric Architecture) เทคโนโลยีพแลทฟอร์มอัจฉริยะสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเอกสิทธิ์เฉพาะของ Geely เพื่อยกระดับระบบพลัก-อิน ไฮบริดที่ล้ำสมัยที่สุด และยังสามารถรองรับขุมกำลังของรถยนต์พลังงานทางเลือกได้อย่างหลากหลาย โดยระบบไฮบริดดังกล่าวยังมอบสมรรถนะที่ทรงพลัง ระบบความปลอดภัย ระบบอัจฉริยะ และความยืดหยุ่น เพื่อประสิทธิภาพการใช้งานที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้สูงสุดในทุกมิติ
หลังจากเปิดตัว Geely EX5 (อีเอกซ์ 5) รถยนต์อเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้า 100 % ที่พัฒนาบนพแลทฟอร์ม อัจฉริยะ GEA ออกสู่ตลาดประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Geely ในการคิดค้นยานยนต์พลังงานใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย และความยั่งยืนอย่างแท้จริง การพัฒนาระบบพลัก-อิน ไฮบริดบนเทคโนโลยีพแลทฟอร์มอัจฉริยะ GEA ไม่เพียงสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมของแบรนด์ แต่ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ Geely ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะระดับโลก ที่สามารถรองรับขุมพลังทั้งรถยนต์ไฟฟ้า BEV (Battery Electric Vehicle) รถยนต์พลัก-อิน ไฮบริด PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) รถยนต์ไฟฟ้าพร้อมระบบขยายระยะทาง EREV (Extended Range Electric Vehicle) และรถยนต์ไฮบริดเมธานอลไฟฟ้า (E-Methanol) ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยีพแลทฟอร์ม GEA จึงถือเป็นหัวใจสำคัญในการมอบทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพสูงให้แก่ผู้ขับขี่ทั่วโลก
Geely Starray พร้อมระบบขับเคลื่อนพลังงานใหม่จึงได้ถูกคิดค้น และพัฒนาขึ้น เพื่อต่อยอดความสำเร็จของ Geely EX5 โดย Geely Starray ถูกติดตั้งด้วยระบบขับเคลื่อนรุ่นใหม่ ภายใต้ชื่อ “EM PHEV Super Hybrid” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) รุ่นใหม่ล่าสุดของ Geely และได้เปิดตัวต่อสาธารณชนไปแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งยนตรกรรมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริดอย่างแท้จริง โดยระบบขับเคลื่อน EM PHEV Super Hybrid มี 2 รูปแบบ
EM-I เสริมสมรรถนะด้วยระบบอัจฉริยะที่มอบประสิทธิภาพ และสมรรถนะสูงสุด
ระบบขับเคลื่อน EM-I PHEV Super Hybrid เสริมประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ขั้นสูง พร้อมมอบสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น และยังสามารถเพิ่มระยะทางในการขับขี่ได้ไกลขึ้นกว่าเดิม โดยสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 2,100 กม./การเติมน้ำมันเต็มถัง และการชาร์จแบทเตอรีเต็ม 1 ครั้ง โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 2.49 ลิตร/100 กม. ในโหมด Low-SOC (ระดับประจุไฟต่ำ) พร้อมการจัดการพลังงานด้วยเทคโนโลยีระบบ AI ทำให้ขุมพลัง EM-I สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ตามสภาพการขับขี่ สภาพถนน และพฤติกรรมของผู้ขับขี่แบบเรียลไทม์ เพื่อให้เกิดความประหยัด และคุ้มค่าสูงสุดด้านอัตราสิ้นเปลืองทั้งปริมาณน้ำมัน และกระแสไฟฟ้า พร้อมรองรับการอัพเดทระบบซอฟท์แวร์ต่างๆ ผ่าน OTA (Over-the-Air) สะท้อนให้เห็นถึงความมีประสิทธิภาพ และความล้ำสมัยของระบบพลัก-อิน ไฮบริดแบบ EM-I เมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอื่นในระดับเดียวกัน
EM-P สมรรถนะที่มั่นใจ เร้าใจ และปลอดภัย ในทุกสถานการณ์
ระบบขับเคลื่อน EM-P PHEV Super Hybrid ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (All-Wheel Drive) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน และความปลอดภัยในทุกสภาพถนน ขุมพลัง EM-P สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 4.5 วินาที เทียบเท่ากับรถยนต์ซูเพอร์คาร์บางรุ่น สำหรับจุดเด่นของระบบขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริด EM-P ได้แก่ ระบบสำรองพลังงานจาก 5 แหล่ง ได้แก่ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า 2 ตัว เครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง 2 ตัวแบบอิสระ โครงสร้างพลังงานสำรองนี้ช่วยเสริมการควบคุมได้อย่างแม่นยำแม้ในสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมาย เช่น ยางระเบิด หรือสูญเสียแรงยึดเกาะ พร้อมกันนี้ระบบขับเคลื่อน EM-P ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับผสานความมั่นใจด้านระบบความปลอดภัยแบบรถอเนกประสงค์ (SUV) เข้ากับความปราดเปรียวที่แรงเร้าใจแบบรถสปอร์ทได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการทำงานร่วมกันของระบบกระจายแรงบิดอัจฉริยะที่รองรับทุกสภาพถนน รวมถึงระบบการจัดการเสถียรภาพขับขี่ด้วยสุดยอดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัย
ระบบพลัก-อิน ไฮบริดที่ออกแบบเพื่ออนาคต
ระบบขับเคลื่อน EM PHEV Super Hybrid ของ Geely ไม่ได้เป็นเพียงแค่ระบบการขับเคลื่อน แต่เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ด้วยการผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัย แบบครอบคลุมทุกด้าน (Omni-Domain AI) ที่รวมเอาการประมวลผลประสิทธิภาพสูง การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ และการประมวลผลอัลกอริธึมขั้นสูง เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับให้แก่ลูกค้าทั่วโลก
EM PHEV Super Hybrid ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของวงการยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อการขับเคลื่อนสู่อนาคตด้วยนิยามใหม่ของระบบการขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริดระดับโลก ที่ผสานทุกสมรรถนะ ความปลอดภัย และความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ Geely มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดผ่านนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดอย่างรอบด้าน การเปิดตัวนวัตกรรมระบบขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริดดังกล่าวสู่ตลาดยานยนต์ทั่วโลก ตอกย้ำถึงบทพิสูจน์ของสมรรถนะที่เหนือระดับของ EM PHEV Super Hybrid ขุมพลังอัจฉริยะแบบพลัก-อิน ไฮบริดแห่งอนาคต ที่ผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะ ความปลอดภัย ความยั่งยืน และความเร้าใจในการขับขี่ไว้ที่เดียวกันอย่างครบครัน เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ขับขี่ยุคใหม่อย่างแท้จริง
.........................................................................................................................
Mitsubishi คว้าแชมพ์ AXCR 2025
Mitsubishi Motors Corporation (Mitsubishi Motors) ประกาศความยิ่งใหญ่ในวงการมอเตอร์สปอร์ทเอเชียอีกครั้ง เมื่อทีม Mitsubishi Ralliart ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิคจาก Mitsubishi Motors (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ประเทศญี่ปุ่น คว้าแชมพ์รายการแข่งขัน Asia Cross Country Rally 2025 (AXCR 2025) ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 8-16 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยใช้รถกระบะ Triton (ทไรทัน 1) (สเปค T1 หรือรถครอสส์คันทรีดัดแปลง) เข้าแข่งขันบนเส้นทางสุดหฤโหด รวมระยะทางกว่า 2,316.32 กิโลเมตร ซึ่งรวมถึงเส้นทาง Special Stage (SS) 2 กว่า 1,002.95 กิโลเมตร
ในประเภทคะแนนรวม (Overall) ชยพล โยธา คว้าอันดับ 1 ด้วยเวลา 16 ชั่วโมง 15 นาที 12 วินาที ขณะที่ คัตสึฮิโกะ ทากูชิ จบการแข่งขันที่อันดับ 5 และคาสุโตะ โคอิเดะคว้าอันดับที่ 22 นอกจากนี้ ทีม Mitsubishi Ralliart ยังสามารถคว้ารางวัลประเภททีม (Team Award) ได้เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นการทวงคืนแชมพ์ประเภททีมในรอบ 2 ปี ซึ่งรางวัลนี้จะมอบให้แก่ทีมที่มีผู้เข้าเส้นชัย 3 คันขึ้นไป โดยพิจารณาจากเวลารวมของ 2 คันแรกที่ทำผลงานได้ดีที่สุด
การแข่งขัน AXCR ในปีนี้ เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ด้วยพิธีเปิดที่ถนนคนเดินพัทยา แหล่งท่องเที่ยวริมทะเลชื่อดังของเมืองไทย ก่อนเริ่มการแข่งขันในวันถัดมาด้วยเส้นทาง Leg 1 ซึ่งมีระยะทางกว่า 360 กิโลเมตร จากเมืองพัทยามุ่งหน้าสู่จังหวัดปราจีนบุรี ทางภาคตะวันออก ซึ่งรวมถึงเส้นทาง SS ที่ยาวที่สุดในการแข่งขันถึง 199.13 กิโลเมตร
ส่วนการแข่งขัน Leg 2 พาทุกทีมมุ่งขึ้นเหนือไปอีก 500 กิโลเมตร จากจังหวัดปราจีนบุรี สู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยเส้นทาง SS ครั้งนี้ มีทั้งทางหินที่สมบุกสมบัน สลับกับทางเรียบที่ต้องใช้ความเร็วสูงผ่านพื้นที่การเกษตร สะท้อนถึงความหลากหลายของภูมิประเทศ อันเป็นเอกลักษณ์ของการแข่งขัน AXCR ได้อย่างน่าเร้าใจ ส่วนใน Leg 3 เส้นทางยังคงอยู่ในเขตเขาใหญ่ แต่ต้องเจอกับพายุฝนในช่วงบ่าย ทำให้เส้นทางกลายเป็นดินโคลนสุดอันตราย จนทำให้รถแข่งหลายคันต้องเจอปัญหาใหญ่ และฝ่าผ่านไปได้อย่างยากลำบาก
สำหรับการแข่งขัน Leg 4 และ Leg 6 ซึ่งเดิมกำหนดเส้นทางที่มีระยะห่างจากชายแดนกัมพูชาประมาณ 50 กิโลเมตร ได้ถูกยกเลิก เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย ส่วน Leg 5 ยังเดินหน้าจัดแข่งขันตามปกติ โดยมีเส้นทางวกกลับไปยังจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งแม้จะเป็นเส้นทางเดียวกับ SS1 แต่สภาพถนนเลวร้ายลงอย่างหนักจากร่องลึก และหลุมบ่อที่ทีมต่างๆ ทิ้งไว้ในช่วงการแข่งขัน Leg 1 และยังมีต้นไม้หักโค่นจากพายุฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้แม้แต่กลุ่มทีมผู้นำยังติดหล่ม ส่งผลให้การแข่งขัน Leg นี้ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในวันที่โหดหินที่สุดของการแข่งขันปีนี้
ใน Leg 7 ขบวนรถต่างมุ่งหน้ากลับสู่เมืองพัทยา โดยใช้เส้นทางบางส่วนเดียวกับ SS1 และ SS5 ซึ่งมีทั้งถนนแคบผ่านพื้นที่การเกษตร ถนนที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ และการลุยข้ามลำธาร จนกระทั่งถึง Leg 8 ในวันสุดท้าย ซึ่งปิดฉากการแข่งขันลงอย่างยิ่งใหญ่ ณ ท่าเรือบาลีฮาย ในเมืองพัทยา
ผลงานของนักแข่งทีม Mitsubishi Ralliart
ชยพล โยธา นักขับมือหนึ่งของทีม ออกสตาร์ทอันดับที่ 12 แต่สามารถไต่อันดับขึ้นมาอย่างรวดเร็วตั้งแต่การแข่งขัน Leg แรก และปิดวันด้วยอันดับที่ 2 ก่อนจะขึ้นนำได้สำเร็จใน Leg 3 จากฝีมือการนำทางที่แม่นยำของผู้นำทาง พีรพงษ์ สมบัติวงศ์ และทักษะการขับที่รวดเร็วโดยเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายกับตัวรถให้น้อยที่สุด และถึงแม้จะติดหล่มโคลนลึกใน Leg 5 แต่ชยพลยังคงเดินหน้า ทำเกมรุกอย่างต่อเนื่อง พร้อมทำเวลาเส้นทาง SS ได้เร็วสุดเป็นอันดับ 2 ใน Leg 7 และสุดท้ายก็สามารถคว้าแชมพ์คะแนนรวมได้สำเร็จ โดยเฉือนชนะไปเพียง 7 นาที คว้าชัยชนะให้แก่ทีมได้อีกครั้งในรอบ 3 ปี และนับเป็นครั้งที่ 2 ในรายการ AXCR
คัตสึฮิโกะ ทากูชิ ออกสตาร์ทในอันดับ 5 และสามารถเกาะกลุ่มหัวตารางได้ตลอดช่วงแรก แต่ใน Leg 3 ต้องเจอเส้นทางสุดโหด จนทำให้ระบบกันสะเทือนด้านหน้าพัง ส่งผลให้ร่วงไปอยู่ที่อันดับ 10 ก่อนจะกลับมาแสดงพลังการขับที่ดุดันใน Leg 5 ในขณะที่ทีมอื่นๆ กำลังติดหล่ม จนสามารถแซงหน้าคู่แข่งได้ถึง 18 คัน และทำเวลาเร็วที่สุดบนเส้นทาง SS ของวันได้สำเร็จ และทำคะแนนรวมอยู่ในอันดับ 6 และแม้ใน Leg 7 จะเจอปัญหาชิ้นส่วนการ์ด และระบบกันสะเทือนช่วงหลังเสียหาย แต่เขายังสามารถทำคะแนนรวมจบได้ที่อันดับ 5 สร้างผลงานที่ดีที่สุดในหมู่นักแข่งคู่ญี่ปุ่นในปีนี้ ซึ่งนับเป็นการแข่งขันรายการ AXCR ครั้งที่ 3 ของเขา
คาสุโตะ โคอิเดะ ลงแข่งเป็นปีที่ 2 ในฐานะนักขับของ Mitsubishi Motors ต้องพบกับอุปสรรคตั้งแต่การแข่งขันวันแรกจากฝุ่นที่บดบังทัศนวิสัย จนชนเข้ากับรถอีกคันที่หยุดอย่างกะทันหัน และต้องออกจากการแข่งขันในวันนั้นทันที ต่อมาใน Leg 5 เกิดปัญหาเบรคหลังขัดข้อง แม้จะเกิดปัญหามากมาย แต่เขาก็ยังพยายามทำหน้าที่เป็นรถสนับสนุน ช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมทั้งใน Leg 3 และ Leg 8 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และยังทำผลงานได้ดีขึ้นจากปีก่อน โดยจบการแข่งขันที่อันดับ 22 ประเภทคะแนนรวม
เสียงจากทีม Mitsubishi Ralliart
ฮิโรชิ มาซูโอกะ ผู้อำนวยการทีม
”เป้าหมายสูงสุดในปีนี้ของเรา คือ การคว้าชัยชนะ และผมดีใจอย่างยิ่งที่ทีมของเราสามารถทำได้ พร้อมกับพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง และห้าวหาญในแบบฉบับ Mitsubishi Motors-ness การคว้ารางวัลของทีมยังสะท้อนถึงพลังแห่งความร่วมแรงร่วมใจ และความมุ่งมั่นของทุกคน การยกระดับประสิทธิภาพของ Triton ให้โดดเด่นทั้งในด้านเสถียรภาพเมื่อต้องขับขี่ด้วยความเร็วสูง และความคล่องตัวในเส้นทางคดเคี้ยว ทำให้เราก้าวล้ำเหนือกว่าคู่แข่งที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่าได้ และในปีหน้า เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาเพื่อยกระดับศักยภาพของรถให้สูงยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความเป็นต่อในการแข่งขันต่อไป“
ชยพล โยธา นักแข่งรถหมายเลข 112
”ผมดีใจมากที่คว้าแชมพ์คะแนนรวมกลับมาได้อีกครั้ง ต้องขอขอบคุณทีมงานทุกท่านที่ทำงานกันได้อย่างเพอร์เฟคท์ และสร้างรถที่สมบูรณ์แบบให้แก่ผม การแข่งขันปีนี้โหดสุดๆ เพราะมีทั้งทางหิน ถนนโคลน และพื้นลื่น แต่ด้วยความทนทาน และการควบคุมที่ยอดเยี่ยมของ Triton ทำให้ผมสามารถนำรถผ่านโค้งต่างๆ ด้วยความเร็วสูง และวิ่งบนทางโคลนแคบๆ ได้อย่างมั่นใจ จนสร้างผลงานได้ในระดับทอพฟอร์ม ปีหน้าผมจะกลับมาเพื่อป้องกันแชมพ์อีกครั้ง“
คัตสึฮิโกะ ทากูชิ นักแข่งรถหมายเลข 105
“แม้ผมจะจบอันดับ 5 เหมือนปีที่แล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าทีมของเรามีพัฒนาการขึ้นมาก เราสามารถทำเวลาแข่งกับรถเครื่องใหญ่กว่าได้อย่างสูสีทุกรอบ และยังทำสถิติเร็วที่สุดใน Leg 5 อีกด้วย เพราะ Triton มีการยกระดับประสิทธิภาพขึ้นทุกปี โดยเฉพาะระบบกันสะเทือน และการควบคุมมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ทีมผ่านเส้นทางสุดโหดมาได้ และยังช่วยสนับสนุนชัยชนะของชยพล ได้ในที่สุด ซึ่งหลังการแข่งขัน เรายังสามารถหาจุดที่นำไปพัฒนาต่อได้ในหลายด้านที่จะช่วยให้เราทำเวลาได้ดีขึ้น และด้วยการทดสอบอย่างละเอียดเพื่อสร้างจุดแข็งในด้านต่างๆ ผมมั่นใจว่าปีหน้าเราจะทำผลงานได้ดีกว่านี้แน่นอน”
คาสุโตะ โคอิเดะ นักแข่งรถหมายเลข 118
“แม้การแข่งขันจะสร้างความรู้สึกกดดันมาก โดยเฉพาะการที่ต้องออกจากการแข่งขันในวันแรก แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่มีค่ามาก รถ Triton ที่ผมใช้ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติจากรุ่นผลิตจริง แต่สามารถพิสูจน์ถึงความทนทานได้อย่างยอดเยี่ยมท่ามกลางสภาพโหดของการแข่งขัน AXCR ซึ่งประสบการณ์ในการควบคุม และการบังคับพวงมาลัยที่ผมได้รับมานั้น จะกลายเป็นข้อมูลสำคัญต่อการพัฒนารถรุ่นต่อไปของ Mitsubishi และผมตั้งตารอที่จะได้นำข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ไปใช้กับรถยนต์ของ Mitsubishi รุ่นต่อไป”
ผลการแข่งขันคะแนนรวม รายการ AXCR 2025
1. ชยพล โยธา (Mitsubishi Triton) 16 ชั่วโมง 15 นาที 12 วินาที
2. มานะ พรศิริเชิด (Toyota Hilux Revo) 16 ชั่วโมง 23 นาที 3 วินาที
3. เบลีย์ โคล (Ford Raptor) 17 ชั่วโมง 8 นาที 29 วินาที
4. ดิษพงศ์ มณีอินทร์ (Isuzu D-Max) 17 ชั่วโมง 9 นาที 32 วินาที
5. คัตสึฮิโกะ ทากูชิ (Mitsubishi Triton) 17 ชั่วโมง 37 นาที 56 วินาที
6. ณัฐพล อังฤทธานนท์ (Toyota Hilux Revo) 17 ชั่วโมง 46 นาที 52 วินาที
...
22. คาสุโตะ โคอิเดะ (Mitsubishi Triton) 29 ชั่วโมง 34 นาที 31 วินาที