ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Toyota แนะนำ Fortuner Leader G Plus ใหม่
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ใหม่ล่าสุด Fortuner Leader G Plus (ฟอร์ทูเนอร์ ลีเดอร์ จี พลัส) เติมเต็มไลน์อัพ ตอกย้ำความเป็นผู้นำตัวจริงในตลาด PPV เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่มีความหรูหรา และคุ้มค่า พร้อมด้วยฟังค์ชันการใช้งานที่ทันสมัย และรุ่นย่อย 2.4 Leader
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ประเภท Pick-up Passenger Vehicle (PPV) เข้าสู่ตลาดเมืองไทยครั้งแรกในปี 2547 ในนาม Toyota Fortune (โตโยตา ฟอร์ทูเนอร์) ซึ่งประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ด้วยดีไซจ์นที่โดดเด่น ทันสมัย และที่สำคัญสมรรถนะการขับขี่อันยอดเยี่ยม ตลอดจนอรรถประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า สร้างความภูมิใจในการเป็นเจ้าของด้วยความเหนือระดับอย่างแท้จริง และสร้างปรากฏการณ์เป็นผู้นำตลาด ด้วยยอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้นมากกว่า 466,000 คัน* (*ข้อมูลยอดขายสะสมของ Fortuner ภายใต้โครงการ IMV ตั้งแต่ปี 2547-สิงหาคม 2568) ยืนยันความสำเร็จด้วยยอดขาย อันดับ 1 ในตลาด PPV 13 ปีติดต่อกัน (2555-2567) อีกทั้งยังส่งออกจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงอันเป็นที่ยอมรับในคุณภาพการผลิตมาตรฐานระดับโลก
พร้อมกับตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า พร้อมกับตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น Toyota (โตโยตา) เติมเต็มไลน์อัพกับอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่มีความหรูหรา และความคุ้มค่า Fortuner Leader G Plus ที่โดดเด่นด้วย ดีไซจ์นภายนอก ที่รองรับทุกบทบาทของผู้นำ ความสะดวกสบายรอบด้าน สมรรถนะที่ทรงพลัง และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน ด้วยราคาที่เหมาะสม 1,439,000 บาท
พร้อมกันนี้ในรุ่นย่อย 2.4 Leader ทั้งหมดยังได้ยกระดับ ระบบช่วยเหลือความปลอดภัยเชิงป้องกัน เพื่อมอบความมั่นใจสูงสุดในการขับขี่ให้แก่ลูกค้า
เลือกเป็นเจ้าของ Fortuner Leader มาพร้อม 4 สีให้เลือก สีขาว Platinum White Pearl สีดำ Attitude Black Mica สีเงิน Silver Metallic สีเทา Dark Grey Metallic
(*Leader S สามารถเลือกได้ 3 สี 1. Platinum White Pearl เพิ่ม 12,000 บาท, 2. Attitude Black Mica, 3. Silver Metallic)
เติมเต็มไลน์อัพ ราคาสุดคุ้ม ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา
- 2.4 Leader V เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 1,600,000 บาท
- 2.4 Leader V เกียร์อัตโนมัติ 1,530,000 บาท
- ใหม่ !…2.4 Leader G Plus เกียร์อัตโนมัติ 1,439,000 บาท
- 2.4 Leader G เกียร์อัตโนมัติ 1,400,000 บาท
- 2.4 Leader S เกียร์อัตโนมัติ 1,239,000 บาท
อีกทั้งยังปรับเพิ่มสเปคให้ครบครันยิ่งขึ้นใน Fortuner Leader ทุกรุ่นย่อย แต่ยังคงราคาจำหน่ายเท่าเดิม เพื่อมอบความคุ้มค่าสูงสุดแก่ลูกค้า
เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นด้วยเงื่อนไขพิเศษ
ทางเลือกที่ 1 : ผ่อนเริ่มต้น 9,884 บาท/เดือน*
คำนวณจาก Fortuner รุ่น Leader S ราคา 1,239,000 บาท ที่ดาวน์ 30 % ผ่อนนาน 96 เดือน ดอกเบี้ย 3.25 % เฉพาะ บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
หมายเหตุ *ผ่อนเริ่มต้น 9,884 บาท/เดือน สำหรับปีแรก (โดยคำนวณจากการรวมโปรแกรมช่วยผ่อน 1,500 บาท/เดือน นาน 12 เดือน) และผ่อน 11,384 บาท/เดือน สำหรับปีที่ 2-ปีที่ 8
ทางเลือกที่ 2 : ดอกเบี้ยพิเศษ 0.89 % พร้อมประกันภัยชั้น 1 Toyota Care PHYD
*เงื่อนไขทั้งหมดเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด กรุณาตรวจสอบเงื่อนไข และสถาบันการเงินที่ร่วมรายการที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่าย Toyota ใกล้บ้านท่าน หรือศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า Toyota 1486 บริการด้วย Voice Bot 24 ชม. ทุกวัน บริการข้อมูลทางอินเตอร์เนท www.toyota.co.th หรือ Line ID : @toyotathailand
แนะนำอุปกรณ์ตกแต่งแท้ Toyota ตอบโจทย์หลากหลายการใช้งานอย่างที่ต้องการ พร้อมการรับประกันสูงสุด 3 ปี หรือ 100,000 กม.*
อุปกรณ์ช่วยผ่อนแรงเปิด-ปิดฝากระโปรงหน้า ราคา 2,400 บาท*
โลโก Fortuner (Hood Emblem) ราคา 1,500 บาท*
ถาดใส่ของท้ายรถ (Luggage Tray) ราคา 800 บาท*
อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ราคา 3,990 บาท*
หมายเหตุ :
* ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % แต่ไม่รวมค่าแรงติดตั้ง
** อุปกรณ์ตกแต่งแท้ Toyota รับประกันสูงสุด 3 ปี หรือ 100,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน อ้างอิงจากคู่มือรับประกันคุณภาพรถยนต์
โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.toyota.co.th/accessories/warranty/tga
Fortuner Leader G Plus มาพร้อมบริการจาก T-Connect ตอบโจทย์ทุกการเดินทาง
ปลอดภัย อุ่นใจด้วยบริการ Find My Car รู้ตำแหน่งรถยนต์แบบเรียลไทม์ SOS ช่วยประสานงานติดตามรถหาย และช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. พร้อมทั้ง TCFR Plus+ ขยายระยะรับประกันคุณภาพรถยนต์สูงสุด 8 ปี หรือ 225,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) เมื่อเชคระยะตามที่กำหนด พร้อมรับสิทธิประโยชน์จากโปรแกรม Alive-X สะสมทุกยอดค่าใช้จ่ายเป็นคะแนน The1 และแลกส่วนลดได้ที่ศูนย์บริการ Toyota ทั่วประเทศ ประกันภัยขับดี ลดให้ (PHYD) คุ้มค่าด้วยส่วนลดต่อประกันภัยด้วยส่วนลดสูงสุด 40 % และอีกกว่า 20 บริการจากแอพพลิเคชัน T-Connect ดาวน์โหลดฟรี “ใช้แล้วเวิร์ค ใช้ได้ทุกวัน ใช้ T-Connect”
สัมผัสประสบการณ์ขับขี่ใหม่ กับบริการเสริมที่หลากหลาย ผ่านเทคโนโลยี T-Connect ด้วย 3 คุณสมบัติหลัก ตอบโจทย์ทุกการเดินทาง
1. Always Located & Protected ให้คุณอุ่นใจ ปลอดภัยไร้กังวลในการเดินทาง
- Find My Car บริการเชคตำแหน่งรถแบบเรียลไทม์ หมดปัญหาจำที่จอดไม่ได้ หารถไม่เจอ
- Theft Track บริการตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรม และประสานความช่วยเหลือตลอด 24 ชม.
- SOS บริการประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม.
- Geo-Fencing บริการแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนออกจากจุดจอด หรือขอบเขตที่คุณกำหนดไว้
2. Telematics Care ดูแลรถได้ง่ายๆ สะดวก พร้อมออกเดินทาง
- TCFR Plus+ สิทธิขยายระยะรับประกันคุณภาพรถยนต์สูงสุด 8 ปี หรือ 225,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)
- Maintenance Reminder บริการแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเข้าศูนย์บริการ พร้อมนัดหมายศูนย์บริการออนไลน์
- Vehicle Information บริการข้อมูลรถ แสดงสถานะรถ เชคประวัติ และสถานะงานซ่อมเรียลไทม์
- PHYD Insurance ประกันภัย “ขับดี ลดให้” ที่ทำให้ลูกค้าสนุกกับคะแนนการขับขี่ และส่วนลดเพิ่มเติม จากค่าเบี้ยประกันภัยพิเศษที่คำนวณจากพฤติกรรม และระยะทางการขับขี่ของลูกค้า
3. Happiness Mobility บริการเติมเต็มความสุข ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
- Toyota Alive-X โปรแกรมสะสมคะแนน The 1 ใช้แลกเป็นส่วนลดในการเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการ Toyota
- Connect You บริการแจ้งสิทธิพิเศษที่คัดสรรสำหรับลูกค้า T-Connect
- Concierge Services บริการผู้ช่วยส่วนตัว ให้คุณสอบถามเส้นทาง จองร้านอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย
หมายเหตุ : การให้บริการของ T-Connect ต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรถเพื่อเข้าใช้งาน สามารถศึกษาข้อกำหนด และเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ www.t-connect.in.th
Kinto ทางเลือกในการเป็นเจ้าของ Fortuner Leader G Plus รูปแบบใหม่
มีรถใช้ แบบไม่ต้องซื้อ บริการให้เช่ารถยนต์ระยะยาวจาก Toyota ที่ออกแบบมาเพื่อให้ชีวิตการขับขี่สะดวกสบาย และง่ายดายยิ่งขึ้น จ่ายราคาเดียวเท่ากันทุกเดือน ในราคาเริ่มต้นเพียง 22,570 บาท/เดือน พร้อมบริการครบวงจร ประกันภัยชั้น 1 การบำรุงรักษา ต่อ พรบ. ภาษี ให้ตลอดอายุสัญญา
...........................................................................................................................................................
Yadea รับการรับรองส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
Yadea Thailand แบรนด์ผู้นำรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับโลก รับใบรับรองส่งเสริมการลงทุน (Investment Promotion Certificate) จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อย่างเป็นทางการ เผยแผนการลงทุน และขยายฐานการผลิตในประเทศไทย
Jack Yang ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Yadea Technology (Thailand) Co., Ltd. กล่าวว่า การได้รับใบรับรองส่งเสริมการลงทุน (Investment Promotion Certificate) จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นับเป็นก้าวสำคัญด้านกลยุทธ์การลงทุน และขยายฐานการผลิตของ Yadea ในประเทศไทย ที่ไม่เพียงสะท้อนถึงมาตรฐานความปลอดภัย และเทคโนโลยีของโรงงาน Yadea Thailand เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของ Yadea (ยาเดีย) สามารถจดทะเบียนได้ตามกฎหมายในไทย และรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี พร้อมปักหมุดก้าวสู่แบรนด์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของไทย
“การได้รับ BOI Certification เป็นก้าวสำคัญของ Yadea Thailand เราไม่เพียงแค่สร้างโรงงาน แต่ยังผสานนวัตกรรมระดับโลกกับการวิจัยเชิงลึกเพื่อนำเสนอมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่สร้างสรรค์มาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ”
แบรนด์อันดับ 1 ของโลก : ทุก 25 วินาที มีรถ Yadea ประกอบแล้วเสร็จ 1 คันในสายการผลิต
Yadea (ออกเสียงว่า ยา-เดีย) เป็นแบรนด์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดในโลกติดต่อกัน 8 ปีซ้อน (ตั้งแต่ปี 2017-2024) มียอดขายสะสมกว่า 120 ล้านคัน และมีโรงงานกว่า 10 แห่งทั่วโลก ทั้งในประเทศจีน ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม เมกซิโก และบราซิล โดยมีสายการผลิตอัจฉริยะรวมกว่า 100 สาย ผลิตได้สูงสุด 30 ล้านคัน/ปี ด้วยระบบอัตโนมัติประสิทธิภาพสูง และความเร็วในการผลิตที่เหนือชั้น จึงสามารถผลิตรถได้ 1 คัน ในทุกๆ 25 วินาที และคุณภาพผ่านเกณฑ์การผลิตกว่า 99.9 % สะท้อนมาตรฐานการผลิตระดับโลก
โรงงานอัจฉริยะในไทย : ศูนย์กลางการผลิตอาเซียน กำลังการผลิต 500,000 คัน/ปี
โรงงาน Yadea Thailand ตั้งอยู่ที่ อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิต และเทคโนโลยีของ Yadea ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้ระบบการผลิตอัจฉริยะเหมือนกับ “Super Factory” ในจีน และมีแผนการขยายกำลังการผลิตรวม 600,000 คัน ภายใน 3 ปี มีสัดส่วนพนักงานไทยมากกว่า 80 % และสร้างงานให้คนไทยมากกว่า 500 ตำแหน่ง และในเชิง กลยุทธ์ยังตั้งเป้าให้เป็นศูนย์นวัตกรรม และการผลิตอัจฉริยะสำหรับตลาดอาเซียน
เทคโนโลยี TTFAR : แบทเตอรีรับประกันนานถึง 2 ปี อึดขึ้น 3 เท่า ทนทุกสภาพอากาศ
เทคโนโลยีหลัก TTFAR (Yadea’s Technology helps you to Travel FAR) ได้รับการพัฒนาจากห้องทดลองขนาด 6,600 ตรม. ในประเทศจีน ผ่านการทดสอบกว่า 220 ชิ้นส่วน และการทดสอบทั้งคัน 41 รายการ เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมสุดโหดจากทั่วโลก สำหรับประเทศไทยที่มีลักษณะภูมิอากาศร้อน ชื้น ฝนตกบ่อย และสภาพถนนที่ไม่เรียบ Yadea ได้ปรับปรุงเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับการใช้งานจริงในประเทศ โดยเฉพาะแบทเตอรีกราฟีน TTFAR ที่ทนความร้อนได้สูงถึง 55 องศาเซลเซียส มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับแบทเตอรีตะกั่ว-กรดทั่วไป และมาพร้อมการรับประกันนาน 2 ปี นอกจากนี้ รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของ Yadea ยังผ่านมาตรฐานกันน้ำ IPX7 สามารถป้องกันน้ำได้ดีในช่วงฤดูฝน ตัวโครงรถผลิตจากเหล็กคาร์บอนความแข็งแรงสูง ผ่านการทดสอบการสั่นสะเทือนกว่า 300,000 ครั้ง และผ่านการทดสอบการป้องกันน้ำเกลือ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความทนทานต่อสนิม และการใช้งานที่ยาวนาน เหมาะสมกับสภาพถนนของประเทศไทยอย่างแท้จริง
ขับขี่มั่นใจทุกคัน : จดทะเบียนได้ตามกฎหมาย
หลังจากได้รับ BOI Certification มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของ Yadea ที่ผลิตในไทยทุกคัน สามารถจดทะเบียนได้ตามกฎหมาย และรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี จึงมั่นใจได้ในคุณภาพ และบริการ รุ่นเด่น เช่น Velax, VoltGuard, RS20, Ova ตอบโจทย์การเดินทางทั่วไป และในเมือง
ขยายช่องทางจำหน่าย : ครอบคลุมทั่วไทย 100 สาขา ภายในปี 2025
ปัจจุบัน Yadea Thailand มีตัวแทนจำหน่ายมากกว่า 70 สาขา พร้อมโซนทดลองขับ และศูนย์บริการครบวงจร และภายในปี 2025 ตั้งเป้าให้มีสาขาครอบคลุมกว่า 100 แห่ง เพื่อให้ผู้บริโภคทั่วประเทศสามารถเข้าถึงร้านค้า และบริการหลังการขายได้อย่างสะดวก และทั่วถึง
..........................................................................................................................................................................................
Yamaha แนะนำจุดกำเนิดแห่งดาร์คครั้งใหม่
Yamaha Riders’ Club ผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ Yamaha Big Bike ในเมืองไทย ภายใต้การบริหารงานโดย บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ส่งมอบความเร้าใจ และความคล่องตัวในการขับขี่ จุดกำเนิดแห่งความดาร์คครั้งใหม่ เปิดตัว New Yamaha MT-07 (ยามาฮา เอมที-07) ใหม่ และ New Yamaha MT-07 Y-AMT (ยามาฮา เอมที-07 วาย-เอเอมที) ใหม่ สุดยอด Hyper Naked ที่ถูกพัฒนาได้อย่างลงตัวกับเจเนอเรชันที่ 4 ของรุ่นนี้ โดยได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด Natural Simplicity for Everyone ที่เรียบง่าย และลงตัวยิ่งขึ้น รูปทรง และสัดส่วนตัวเครื่องกระชับ เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สนุกกับการขับขี่แบบเร้าใจแห่งรัตติกาล
New Yamaha MT-07 New Design ใหม่หมดจดกับ เจเนอเรชัน 4 ดุดัน ล้ำสมัย
ด้วยชุดแฟริงดีไซจ์นใหม่ทั้งหมด และไฟหน้าแบบ LED ดีไซจ์นเฉียบล้ำที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตระกูล MT-Series และให้การกระจายแสงชัดเจน พร้อมไฟหรี่ Position Light ที่ออกแบบให้กลมกลืนยิ่งขึ้น เพิ่มระบบไฟเลี้ยวอัจฉริยะ 3 ฟังค์ชัน (กะพริบ 3 ครั้ง, กะพริบต่อเนื่อง และตัดไฟเลี้ยวอัตโนมัติ) รวมถึงไฟเบรคฉุกเฉิน (Emergency Stop Signaling) เมื่อมีการเบรคกะทันหัน ไฟเลี้ยวทั้ง 2 ข้างจะกะพริบพร้อมกัน เพื่อเตือนผู้ขับขี่คนอื่นว่า รถกำลังลดความเร็ว เพื่อความปลอดภัยสูงสุดพร้อมกับการปรับตำแหน่งแฮนด์บาร์ใหม่ เพื่อตอกย้ำแนวคิด “ควบคุมง่าย มั่นใจทุกโค้ง” พร้อมดีไซจ์นครอบถังน้ำมันให้มีขนาดที่เล็กลงแต่ยังคงความจุเดิมไว้ที่ 14 ลิตร ช่วยให้ผู้ขับสามารถหนีบถังได้แน่น และมั่นคงยิ่งขึ้น
New Yamaha MT-07 สมรรถนะสุดเร้าใจ
เครื่องยนต์ CP2 690 ซีซี แบบ 2 สูบเรียง และเสียงคำรามของเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับการติดตั้งระบบ Yamaha Chip Control Throttle (YCC-T) ระบบคันเร่งไฟฟ้าในเครื่องยนต์ CP2 ที่ถูกใส่มาเป็นครั้งแรก เพื่อให้การควบคุมคันเร่งมีความแม่นยำ และนุ่มนวลในทุกจังหวะการเปิดปิดคันเร่ง พร้อมรองรับ Quick Shifter แบบขึ้น-ลง สามารถรองรับการขับขี่ในสถานการณ์ที่หลากหลาย และมาพร้อมระบบ Assist & Slipper Clutch ที่ปรับปรุงความรู้สึกตอนเปลี่ยนเกียร์ เพิ่มฟันเฟืองเกียร์ เพื่อช่วยลดแรงกระชากขณะเปลี่ยนเกียร์ ทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น พร้อมเบรคหน้าแบบ Radial-Mount เพิ่มความมั่นใจทุกจังหวะเบรคได้อย่างแม่นยำ มาพร้อมล้อ Spin Forged ที่ถูกออกแบบมาใหม่สำหรับ New Yamaha MT-07 โดยเฉพาะ มีนํ้าหนักเบาควบคุมง่าย และคล่องตัวยิ่งขึ้น พร้อมยาง Dunlop Sportmax อายุการใช้งานนาน ยึดเกาะดีเยี่ยมทั้งถนนแห้ง และเปียก เหมาะกับการขับขี่หลายรูปแบบทั้งแบบสนุกสนานเร้าใจ หรือการเดินทางไกลสไตล์ทัวริง พร้อมโหมดเครื่องยนต์ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ รวมถึงระบบ PWR Mode (การตอบสนองคันเร่ง) และ TCS (Traction Control) เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
New Yamaha MT-07 ฟีเจอร์สุดล้ำ
ตอบโจทย์ทุกการขับขี่ กับจอสีแบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว พร้อม 4 ธีม ให้เลือกตามความชอบ และสถานการณ์ในการขับขี่สามารถเชื่อมต่อกับ Smartphone ผ่านแอพพลิเคชัน Y-Connect ที่สามารถเปลี่ยนโหมดการขับขี่ การตั้งค่า Rider Aids ได้ผ่านโทรศัพท์ และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ เช่น ข้อมูลรถ การแจ้งเตือนสายเรียกเข้า หรือข้อความ เปลี่ยนโหมดการตั้งค่าได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่กับตัวรถผ่านแอพพลิเคชันบน Smartphone เก็บบันทึกการตั้งค่าโหมดการขับขี่ได้มากกว่า 40 แบบ บนแอพพลิเคชัน เพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของสภาพถนน
นอกจากนี้ New Yamaha MT-07 มาพร้อมกับทางเลือกใหม่ของระบบเกียร์อัจฉริยะ Y-AMT ในรุ่น New Yamaha MT-07 Y-AMT มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ Yamaha Automated Manual Transmission (Y-AMT) ที่ให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ทั้งโหมด MT (Manual) และ AT (Automatic) ผ่านปุ่มควบคุมบนแฮนด์ โดยไม่ต้องใช้คลัทช์ เหมาะสำหรับทั้งผู้ขับขี่สายสปอร์ท และมือใหม่ และยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกหลากหลายแบบ ดังนี้
- MT Mode: Sport/Street/Custom (เหมือนรุ่น STD)
- AT Mode: D+/D
- D+ รูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะกับการขับขี่แบบสปอร์ทที่รอบเครื่องยนต์สูง
- D รูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะกับการขับขี่ทั่วไปทั้งการขับขี่ในเมือง และแบบสปอร์ท
สำหรับ New Yamaha MT-07 มีโหมดการขับขี่ด้วยกัน 3 โหมด ดังนี้
- Mode Sport การตอบสนองของกำลังของเครื่องยนต์ที่สูง เหมาะกับถนนที่มีทางโค้ง หรือในสนามแข่ง
- Mode Street ครอบคลุมการขับขี่บนถนนหลายแบบ และเหมาะกับการขับขี่ในเมือง
- Mode Custom ที่ผู้ขับขี่ปรับสามารถแต่งฟีเจอร์ช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ หรือจะปิดทั้งหมดก็ได้
บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้จึงวางราคาจำหน่ายในราคาแนะนำของ New Yamaha MT-07 ทั้ง 2 รุ่น คือ รุ่น New Yamaha MT-07 จำหน่ายในราคา 299,000 บาท และรุ่น New Yamaha MT-07 Y-AMT จำหน่ายในราคา 305,000 บาท โดยทั้ง 2 รุ่น มี 3 สี ให้เลือก คือ Icon black, Teck Black และสีใหม่ Ice Storm
..........................................................................................................................................................................................
กรมการขนส่งทางบก รณรงค์ “คาดให้คลิก !!! ก่อนรถออกทุกครั้ง”
ชีพ น้อมเศียร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เดินหน้ารณรงค์สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ ภายใต้แนวคิด “คาดให้คลิก !!! ก่อนรถออกทุกครั้ง” เน้นย้ำให้ผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะทุกที่นั่ง ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง โดยเฉพาะในช่วง เทศกาลกฐิน และฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ที่มีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา และเดินทางเป็นหมู่คณะเป็นจำนวนมาก
กรมการขนส่งทางบกจึงขอความร่วมมือผู้โดยสารทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุบนท้องถนนจากสถิติการบาดเจ็บ และเสียชีวิตในอุบัติเหตุจราจร พบว่าผู้โดยสารที่คาดเข็มขัดนิรภัยมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าผู้ที่ไม่คาดถึง 70 % เนื่องจากเข็มขัดนิรภัยช่วยยึดร่างกายไม่ให้กระแทกกับส่วนต่างๆ ของรถ หรือกระเด็นออกนอกรถในกรณีเกิดเหตุรุนแรง จึงกำชับให้ผู้ประกอบการขนส่งตรวจสอบสภาพความพร้อมของรถโดยสารให้มีเข็มขัดนิรภัยครบทุกที่นั่ง พร้อมติดตั้งป้ายเตือนผู้โดยสารให้เห็นชัดเจน และให้พนักงานขับรถ หรือพนักงานประจำรถแจ้งเตือนก่อนรถออกทุกครั้ง เพื่อร่วมกันสร้างมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในการเดินทาง ในกรณีที่ตรวจพบว่าผู้โดยสารไม่คาดเข็มขัดนิรภัย พนักงานขับรถ หรือพนักงานประจำรถละเลยไม่แจ้งเตือน และไม่ดูแลให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยจะมีความผิดตามกฎหมาย และมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท
การคาดเข็มขัดนิรภัยไม่ใช่เพียงเรื่องของ “กฎหมาย” แต่คือ เรื่องของ “ชีวิต” ที่ทุกคนสามารถปกป้องได้ด้วยตนเอง เพราะในเสี้ยววินาทีของอุบัติเหตุ เข็มขัดนิรภัย คือ สิ่งเดียวที่ยึดชีวิตไว้ได้จริงจึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมแห่งความปลอดภัย ด้วยการ “คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่นั่งรถโดยสาร” ไม่ว่าจะนั่งด้านหน้า ด้านหลัง หรือระยะทางใกล้ไกล เพื่อให้ทุกการเดินทางในช่วงเทศกาลกฐิน และฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี เต็มไปด้วยความสุข ความอุ่นใจ และความปลอดภัยถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยทุกเส้นทาง
..........................................................................................................................................................................................
กรุงศรี ออโต้ ชี้ กว่า 49 % เลือกซื้อมอเตอร์ไซค์เป็นรถคันที่ 2
กรุงศรี ออโต้ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยผลสำรวจจาก “KA the Poll” ชี้ว่า 49 % เลือกซื้อรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะคันที่ 2 แม้มีรถยนต์ส่วนตัว เพราะมองว่า “เวลา” ทุกวินาทีมีมูลค่า และมอเตอร์ไซค์ คือ “ตัวช่วยสำคัญ” ที่จะเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ชีวิตประจำวัน และลดการเสียเวลาบนท้องถนนของคนเมือง โดยข้อมูลนี้สอดคล้องกับแนวโน้มยอดขายรถจักรยานยนต์ในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 1.5-2.5 %/ปีในช่วงปี 2568-2570 [1]
“มอเตอร์ไซค์” เครื่องมือทุ่นเวลาของคนเมืองใหญ่
ผลสำรวจจาก “KA the Poll” แบบสำรวจความคิดเห็นภายในองค์กรที่รวบรวมมุมมองจากพนักงานกรุงศรี ออโต้ ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ใช้รถ จำนวนกว่า 1,478 คน พบว่า 62 % ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่ารถจักรยานยนต์ คือ เครื่องมือในการ “บริหารจัดการเวลา” เพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้น ทั้งจากปัญหารถติด หรือแม้กระทั่งปัญหาที่จอดรถ ดังนั้น การตัดสินใจซื้อรถของพวกเขาจึงให้ความสำคัญกับ “การลงทุนเพื่อซื้อเวลา” ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดรถจักรยานยนต์ยังคงเติบโตด้วยจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนสะสมสูงถึง 22 ล้านคัน อ้างอิงตามรายงานของกรมการขนส่งทางบกในปีที่ผ่านมา
ตลาดยังโต แต่ความท้าทาย คือ เรื่อง “ความปลอดภัย”
แม้มอเตอร์ไซค์จะตอบโจทย์เรื่องเวลา แต่ความปลอดภัยยังเป็นปัจจัยสำคัญ ผลสำรวจพบว่า เหตุผลอันดับ 1 ที่คนส่วนใหญ่กว่า 37 % ยังไม่เลือกซื้อรถจักรยานยนต์ เกิดจากความกังวลเรื่องความปลอดภัย และทักษะการขับขี่ ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากข้อมูลครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่มีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนสูงถึง 424,206 ราย โดยในจำนวนนี้เกิดจากรถจักรยานยนต์มากถึง 91 %[2]
“สินเชื่อที่ยืดหยุ่น” กุญแจเพิ่มการเข้าถึงรถมอเตอร์ไซค์
แบบสำรวจ KA the Poll ยังชี้ว่าปัจจัยสำคัญอันดับ 2 ที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์มาจากเงื่อนไขทางสินเชื่อ เช่น ข้อเสนอผ่อนอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือการผ่อนระยะสั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลการเลือกระยะเวลาสินเชื่อ พบว่า 59 % ของผู้ใช้รถเลือกผ่อนชำระระยะยาว 2-3 ปี มากกว่าผ่อนการชำระระยะสั้น (21 %) หรือการซื้อเงินสด (19 %) สะท้อนว่าความยืดหยุ่นทางการเงิน คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คนเมืองเข้าถึงมอเตอร์ไซค์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยยังเผชิญความท้าทายจาก ภาระหนี้ครัวเรือนสูง และค่าครองชีพเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างเช่นปัจจุบัน
[1] ข้อมูลจาก วิจัยกรุงศรี
[2] ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ เพื่อเสริมเสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน
..........................................................................................................................................................................................
อะไหล่แท้ vs อะไหล่เทียม ต่างกันอย่างไร ? เลือกใช้อะไรคุ้มกว่า
เมื่อถึงเวลาต้องซ่อม หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนในรถยนต์ หลายคนมักลังเลว่าจะเลือกใช้อะไหล่แบบไหน ระหว่าง “อะไหล่แท้” กับ “อะไหล่เทียม” เพราะทั้ง 2 มีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกัน แล้วอะไรคือ สิ่งที่เหมาะกับรถที่สุด เราจะพาไปทำความเข้าใจให้ลึกก่อนตัดสินใจ
อะไหล่แท้คืออะไร (Genuine Parts)
อะไหล่แท้ คือ อะไหล่ที่ผลิตโดยผู้ผลิตรถยนต์โดยตรง หรือผลิตโดยบริษัทที่ได้รับอนุญาตจากแบรนด์รถ (OEM-Original Equipment Manufacturer) ถูกออกแบบมาให้มีมาตรฐานเดียวกับชิ้นส่วนที่ติดตั้งจากโรงงานทุกประการ
ข้อดีของอะไหล่แท้
• คุณภาพสูงสุด และเข้ากับรถได้ 100 %
• มีมาตรฐานการผลิตจากโรงงานเดียวกับรถยนต์
• มีการรับประกันจากศูนย์บริการ
• อายุการใช้งานยาวนาน และปลอดภัยกว่า
ข้อเสียของอะไหล่แท้
• ราคาสูงกว่าอะไหล่เทียมหลายเท่า
• ต้องสั่งจากศูนย์ หรือดีเลอร์ อาจรอนานในบางรุ่น
• ไม่เหมาะกับรถที่หมดอายุประกันแล้วหากต้องซ่อมบ่อย
อะไหล่เทียมคืออะไร (Aftermarket Parts)
อะไหล่เทียม หรือ “อะไหล่ทดแทน” คือ ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทอื่น ไม่ได้อยู่ในเครือของผู้ผลิตรถยนต์โดยตรงบางแบรนด์ผลิตให้ใกล้เคียงของแท้ที่สุด ขณะที่บางแบรนด์อาจพัฒนาต่อยอดให้มีคุณสมบัติที่ต่างออกไป เช่น น้ำหนักเบา หรือราคาถูกลง
ข้อดีของอะไหล่เทียม
• ราคาประหยัดกว่าอะไหล่แท้มาก (บางครั้งถูกกว่า 30-70 %)
• หาซื้อง่าย มีหลายเกรด หลายยี่ห้อ
• บางรุ่นมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ทนความร้อนสูง หรือมีสมรรถนะดีกว่าเดิม
ข้อเสียของอะไหล่เทียม
• คุณภาพไม่สม่ำเสมอ ต้องเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้
• อาจต้องดัดแปลงบางจุดก่อนติดตั้ง
• ไม่มีการรับประกันจากศูนย์บริการ
ทำไมถึงต้องมีทั้งอะไหล่แท้ และอะไหล่เทียม
ความต้องการของผู้ใช้รถไม่เหมือนกัน ตลาดอะไหล่จึงต้องมีทั้ง 2 ประเภท เพื่อรองรับทั้งผู้ใช้รถใหม่ และรถเก่า
• เจ้าของรถใหม่ : เน้นความมั่นใจ ใช้อะไหล่แท้เพื่อรักษามาตรฐาน และการรับประกัน
• เจ้าของรถเก่า : มองหาความคุ้มค่า ใช้อะไหล่เทียมเพื่อลดต้นทุนในการบำรุงรักษา
• รถแต่ง หรือรถสมรรถนะสูง : มักเลือกใช้อะไหล่เทียมพรีเมียม (Performance Aftermarket Parts) ที่ออกแบบเฉพาะด้าน
ดังนั้น “ทั้ง 2 แบบ” จึงมีบทบาทของตัวเอง อะไหล่แท้ให้ความมั่นใจ ส่วนอะไหล่เทียมให้ความคุ้มค่า และความยืดหยุ่น
อะไหล่แท้ หรืออะไหล่เทียม แบบไหนดีกว่ากัน ?
คำตอบ คือ “ไม่มีแบบไหนดีกว่ากันเสมอไป” แต่ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และงบประมาณของแต่ละคนว่าต้องการสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าต้องการความสบายใจ ไม่อยากเสี่ยง ใช้อะไหล่แท้ คือ จบ ถ้าต้องการความคุ้มค่า และเข้าใจระบบรถของตัวเองดี อะไหล่เทียมก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ผิด" ท้ายที่สุด "การเลือกอะไหล่รถที่เหมาะสม” จากอู่ซ่อมที่มีมาตรฐานจะช่วยให้รถของคุณปลอดภัย ขับขี่มั่นใจ และประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ไม่ต้องกังวลปัญหาลุกลามในอนาคต
