Quattroruote ลองของแรง
ASTON MARTIN VALHALLA ความรื่นรมย์เหนือกาลเวลา
ไฮเพอร์คาร์รุ่นนี้กำเนิดขึ้นจากสายเลือดของ VALKYRIE (วัลคีรี) รุ่นที่มีความสุดขั้วกว่าเดิม ชื่อของ VALHALLA (วัลฮารา) คือ การเชื่อมต่อที่สมบูรณ์แบบระหว่างความเร้าใจ และพละกำลังที่ดุดันของรถแข่งขนานแท้ กับการตอบสนองของการบังคับควบคุมที่ไม่ยากเกินไปในโลกของรถสปอร์ทสำหรับใช้งานจริง (แม้จะยังคงมีความสุดโต่งอยู่ในตัวก็ตาม)
“VALHALLA, MR. BEALE.” คือ คำพูดเปิดฉากจากหนึ่งในลำดับเหตุการณ์ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์โลกภาพยนตร์จากเรื่อง CITIZEN KANE (ฉายในปี 1976) ผลงานการกำกับของ SIDNEY LUMET โดยมี PETER FINCH รับบทเป็น HOWARD BEALE ผู้มีวิสัยทัศน์ และ NED BEATTY รับบท ARTHUR JENSEN ประธานเครือข่ายโทรทัศน์ UBS ในแสงสลัวของห้องประชุมบอร์ดบริหาร JENSEN กล่าวต้อนรับ BEALE และเอ่ยคำๆ หนึ่งออกมา เป็นถ้อยคำที่ไม่ได้สื่อถึงสรวงสวรรค์ของนักรบในตำนานนอร์ส หากแต่เป็น “ประตู” สู่อาณาจักรที่เข้าถึงได้ยาก นำไปสู่ใจกลางลึกลับของอำนาจที่เหนือโลก สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่กฎเกณฑ์ของโลกภายนอกไม่มีผลใดๆ เหลือเพียง “กฎเหล็ก” ที่เปลือยเปล่าในความจริงอันลึกซึ้งของเรื่องเล่า ที่นั่นไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีเผ่าพันธุ์ ไม่มีศาสนา มีเพียง “ผลประโยชน์ที่ลงตัว” เท่านั้น BEALE ยังไม่รู้เลยว่าคำนั้น คือ จุดเริ่มต้นของบทพูดที่จะทำลายภาพลวงทั้งหมดของเขา สู่การเปิดเผย “ความจริงสูงสุด” ของยุคสมัยว่าเศรษฐกิจ คือ อำนาจที่อยู่เหนือทุกสถาบันของสังคม
ใจความสำคัญของเรื่องราวดังกล่าวเปรียบเสมือน “การก้าวเข้าสู่โลกอีกด้านหนึ่ง” ที่กฎเกณฑ์เปลี่ยนไป และมาตรฐานทั่วไปใช้ไม่ได้อีกต่อไป ทำให้ชื่อ VALHALLA กลายเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังสำหรับซูเพอร์คาร์รุ่นใหม่ของ ASTON MARTIN (แอสตัน มาร์ทิน) การเอ่ยชื่อมันออกมา ก็เสมือนการข้ามเส้นพรมแดนเข้าสู่ดินแดนที่มีกฎแห่งเหตุผลอีกรูปแบบหนึ่ง พื้นที่ซึ่งทุกการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นพละพลัง การบังคับควบคุม หรือความเข้มข้นทางประสาทสัมผัส ล้วนถูกผลักให้ถึงขีดสุด ในแง่มุมนี้เองที่รถยนต์รุ่นใหม่จากเมือง GAYDON ค้นพบ “เสียงสะท้อน” จากตัวตนที่ซ่อนอยู่ภายใน
ASTON MARTIN เคยบุกเบิกเส้นทางนี้มาแล้วกับตัวแรงรุ่น VALKYRIE ไฮเพอร์คาร์ที่เกิดจากความร่วมมือกับ ADRIAN NEWEY และ RED BULL ADVANCED TECHNOLOGIES สปอร์ทตัวแรงที่เปรียบได้กับ “รถแข่ง LE MANS ที่ติดป้ายทะเบียนได้” ซึ่งจริงๆ แล้วค่ายรถแห่งนี้ส่งตัวแข่งเข้าร่วมในรายการ FIA WORLD ENDURANCE CHAMPIONSHIP ด้วยซ้ำ VALKYRIE ถูกสร้างขึ้นภายใต้บริบทของโครงสร้างดังกล่าว วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์แบบโมโนคอก พร้อมแอโรไดนามิคแบบแอคทีฟในระดับรถแข่ง และขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V12 จาก COSWORTH แบบไร้ระบบอัดอากาศ สร้างพละกำลังสูงสุดระดับ 1,160 แรงม้า ทั้งหมดนี้ คือ บทพิสูจน์แห่ง “ความล้ำหน้าทางวิศวกรรมล้วนๆ” โดยไม่สนใจความสมดุลระหว่างสมรรถนะ และการใช้งานจริงแม้แต่น้อย แต่เมื่อ ASTON MARTIN เปิดตัวรถแนวคิด AM-RB 003 (เอเอม-อาร์บี 003) ในงาน GENEVA MOTOR SHOW ปี 2019 ซึ่งต่อมา คือ โครงการ VALHALLA (ชื่อภายในรหัสโครงการว่า SON OF VALKYRIE) เป็นความชัดเจนว่าภารกิจในครั้งนี้แตกต่างออกไป เป้าหมาย คือ การ “ถ่ายทอดดีเอนเอของ VALKYRIE” มาสู่รถสปอร์ทที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง โดยไม่สูญเสียความดุดันเร้าใจของการขับขี่
โครงการเริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์ วี 6 สูบ ไฮบริด เทอร์โบคู่ ขนาด 3.0 ลิตร ที่พัฒนาเองภายในโรงงานผู้ผลิต มีขนาดกะทัดรัดแต่มีพละกำลังสูง และทำงานร่วมกับระบบ KERS ที่ถ่ายทอดมาจาก VALKYRIE เพื่อทะลุขีดจำกัดของสมรรถนะระดับ 1,000 แรงม้าเต็มพิกัด จากกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารภายในหลายครั้ง ทำให้แนวคิดทางเทคนิคของ VALHALLA ถูก “ปรับแต่งใหม่” อีกครั้ง เครื่องยนต์ วี 6 สูบ ที่พัฒนาเองภายในจึงถูกยกเลิก และแทนที่ด้วยเครื่องยนต์รหัส AMG M178 LS2 แบบ วี 8 สูบ ขนาด 4.0 ลิตร พร้อมระบบอ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง และเพลาข้อเหวี่ยงแบบตัดเรียบ เครื่องยนต์บลอคเดียวกับที่ใช้ใน MERCEDES-AMG GT BLACK SERIES แต่ได้รับการปรับแต่งใหม่เพื่อให้เข้ากับเอกลักษณ์ของ ASTON MARTIN โดยเฉพาะ เครื่องยนต์สันดาปภายในนี้ให้กำลังสูงสุด 828 แรงม้า ขณะที่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าซึ่งประกอบด้วยมอเตอร์ 3 ตัว โดย 2 ตัวติดตั้งที่เพลาหน้า และอีก 1 ตัวที่เพลาหลัง ช่วยเสริมแรงบิดรวมสูงสุดเป็น 1,100 นิวทันเมตร/112.2 กก.ม. และให้กำลังสูงสุดรวมทั้งระบบที่ 1,079 แรงม้า ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมระบบกระจายการส่งกำลังของล้อคู่หน้า ทำงานร่วมกับโครงสร้างวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์โมโนคอก และการจัดวางชุดระบบไฮบริดอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักของตัวรถแบบไม่รวมของเหลวไว้ได้เพียง 1,650 กก. เท่านั้น
ในด้านอากาศพลศาสตร์ ระบบแอโรไดนามิคแบบแอคทีฟ สามารถสร้างแรงกดได้สูงสุดถึง 600 กก. ที่ความเร็ว 240 กม./ชม. โดยปรับมุมของปีกเสริม และดิฟฟิวเซอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ได้แรงกดสูงในโค้ง และลดแรงต้านในทางตรง จนสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 350 กม./ชม. ระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับระบบขับเคลื่อนไฮบริดของรถสปอร์ทรุ่นนี้ ผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า และเพลาส่งกำลังด้านหลังควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิคส์อย่างแม่นยำ และแม้จะเป็นซูเพอร์คาร์ที่เน้นความดุดันเป็นหลัก แต่ในโหมดขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วน มอเตอร์คู่ด้านหน้าสามารถขับเคลื่อนรถได้ระยะทางประมาณ 14 กม. ถือเป็นช่วงเวลาแห่ง “ความเงียบสงบ” ท่ามกลางองค์ประกอบแห่งพละกำลังที่ถูกออกแบบมาเพื่อสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง
ตำแหน่งเบาะผู้ขับของ VALHALLA ใกล้เคียงกับรถแข่งต้นแบบ มีลักษณะของพนักพิงที่เอนต่ำ เบาะนั่งให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และเท้าวางสูงกว่าระดับสะโพก แม้จะไม่สุดโต่งเท่า VALKYRIE ที่ต้องนั่งแทบจะในท่าของรถแข่งสูตรหนึ่ง (F1) แต่ยังคงยึดถือแนวคิดเดียวกัน คือ “ให้ร่างกายของผู้ขับอยู่ภายใต้หลักอากาศพลศาสตร์” ด้านหน้ากระจังแบบ ASTON MARTIN GRILLE ถูกผสานไว้อย่างลงตัวกับสันจมูกที่เตี้ยต่ำ ภายในนั้น คือ กลไกของปีกหน้าแบบปรับได้ ส่วนด้านหลังมีสปอยเลอร์ไฟฟ้าที่ในโหมดปกติจะเรียบเสมอกับตัวถัง แต่เมื่อเข้าสู่โหมด RACE จะยกตัวขึ้นสูงสุด 255 มม. และขยับออกมาด้านนอกเล็กน้อย มุมของปีกจะปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องให้สมดุลกับด้านหน้า และยังสามารถทำหน้าที่เป็นเบรคอากาศได้ด้วย อากาศพลศาสตร์ในที่นี้ไม่ใช่เพียง “ลูกเล่นตกแต่ง” แต่คือส่วนหนึ่งของโครงสร้างหลัก ไม่ถึงขั้นสุดขั้วแบบ VALKYRIE ทว่าเป็นการตีความที่เข้าถึงได้มากกว่าภายใต้บริบทของการออกแบบเดียวกัน
บรรยากาศภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกเรียบง่าย เคร่งขรึม และเน้นฟังค์ชันการใช้งานเป็นหลัก พื้นผิวแบบคอมโพสิทถูกลดทอนจนเหลือเพียงจุดที่จำเป็น เสริมการตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์แทบทุกจุด ทั้งแผงด้านในประตู พวงมาลัย แผงหน้าปัด และคอนโซลกลางแบบบางเฉียบ ลูกค้าที่ต้องการความพิเศษเฉพาะตัวสามารถปรับแต่งได้อย่างไร้ขีดจำกัดผ่านแผนก Q BY ASTON MARTIN ส่วนกระจกมองหลังนั้นไม่มีอยู่จริง เพราะด้านหลังเบาะนั่งเป็นแผ่นปิดทึบ กล้องจึงทำหน้าที่แทนระบบมองด้านหลังทั้งหมด บางส่วนของแผงควบคุมยังใช้ชิ้นส่วนร่วมกับรุ่นอื่น เช่น ปุ่มเลือกเกียร์ และปุ่มปรับโหมดการขับขี่ ซึ่งมีให้เลือก 4 โหมด ได้แก่ PURE EV, SPORT, SPORT+ และ RACE โดยในโหมด PURE EV การตอบสนองของ VALHALLA จะกลายเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถแล่นได้ด้วยความเร็วระดับทางด่วน แม้ระยะทางจะสั้นเพียงไม่กี่กิโลเมตร แต่มากพอที่จะโชว์ศักยภาพของระบบไฮบริด มากกว่าจะเน้นภาพลักษณ์รักษ์โลก (มอเตอร์ไฟฟ้ายังใช้สำหรับถอยหลังได้ด้วย) ขณะที่โหมด SPORT เป็นโหมดเริ่มต้นที่ใช้ระบบขับเคลื่อนทั้งชุดร่วมกัน แต่เมื่ออยู่ในสนาม โหมด SPORT+ และ RACE คือ จุดที่ปลดปล่อยพลังเต็มที่กับ 1,079 แรงม้าออกมาอย่างแท้จริง โดยแต่ละโหมดจะปรับการทำงานของชุดควบคุมการส่งกำลัง, ระบบการส่งกำลังแบบไฮบริด, การปรับแต่งช่วงล่าง และการทำงานของระบบแอโรไดนามิคให้เหมาะสมที่สุด
ชุดเพลาหน้าพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าปลดปล่อยพละกำลังออกมาอย่างชัดเจนเมื่อออกจากโค้งที่ความเร็วต่ำ แต่ไม่ได้ทำให้บุคลิกของตัวรถเปลี่ยนไป VALHALLA ยังคงให้ความรู้สึกเสมือน “ขับเคลื่อนล้อหลัง” อย่างแท้จริง พวงมาลัยตอบสนองฉับไว และมีการสื่อสารกับผู้ขับที่ชัดเจน จนให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับรุ่น VANTAGE ในเชิงอารมณ์การขับขี่ แม้จะไม่ใช่ในเชิงเทคนิค ระบบเบรคแบบ BRAKE-BY-WIRE แม้มีความซับซ้อน แต่กลับให้การตอบสนองเป็นธรรมชาติอย่างน่าประหลาด การแบ่งแรงเบรคระหว่างมอเตอร์หน้า และจานเบรคคาร์บอนเซรามิคทำได้อย่างแนบเนียน จนถึงขั้นสามารถใช้การชะลอความเร็วแบบอสมมาตรระหว่างล้อหน้าเพื่อเพิ่มการควบคุมที่เฉียบคมกว่าเดิม พวงมาลัยทรงสี่เหลี่ยมแม้จะเหมาะกับการขับแบบสปอร์ท แต่ในกรณีที่มีอาการท้ายปัด หรือขณะแก้อาการโอเวอร์สเตียร์ อาจจะพบจังหวะที่ “เบาหวิว” อยู่บ้าง
เมื่อเข้าสู่โหมด RACE หน้าจอมาตรวัดจะลดข้อมูลเหลือเพียงรอบเครื่องแบบดิจิทอลคล้ายรถต้นแบบ และแม้เครื่องยนต์ วี 8 สูบ จะให้รอบเครื่องยนต์ที่จัดจ้านอย่างน่าเร้าใจ แต่ก็อดสังเกตไม่ได้ว่ารถคันนี้ไม่มีไฟแอลอีดีแสดงรอบแบบ FERRARI (แฟร์รารี) อยู่ด้านบน แรงส่งจากเครื่องยนต์ 1,079 แรงม้านั้นต่อเนื่อง และเป็นเส้นตรง ไม่ได้ระเบิดพลังแบบฉับพลัน แต่ค่อยๆ ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับสนามแข่งที่เราได้ทดลองขับ คือ สนาม STOWE แม้ไม่ได้แคบจนกลายเป็นสนามโกคาร์ทอย่างที่คิด แต่ก็เปิดพื้นที่ให้ VALHALLA ได้ปลดปล่อยพละกำลังจนแตะเกียร์ 4 และความเร็วกว่า 200 กม./ชม. ได้อย่างง่ายดาย เสียงของเครื่องยนต์ วี 8 สูบ เทอร์โบคู่ ฟังดูสุภาพเกินคาด (ส่วนหนึ่งอาจเพราะหมวกกันนอคพร้อมวิทยุในตัว) แต่คาดได้เลยว่าเจ้าของรถตัวจริงคงไม่ลังเลที่จะ “เปิดระบบวาล์วไอเสีย” อย่างแน่นอน เพื่อปลุกพลังของรถสปอร์ทรุ่นนี้ให้ดังขึ้น ASTON MARTIN ตั้งใจให้มีแรงสั่นสะเทือนเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารเล็กน้อย เพื่อให้ประสบการณ์การขับขี่มีความรู้สึกที่เร้าใจ และดิบห้าวในระดับที่เหมาะสม ต่างจาก VALKYRIE ที่ใช้เครื่องยนต์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหลัก ขณะที่ VALHALLA เครื่องยนต์ถูกติดตั้งบนโครงสร้างตัวถังแบบอลูมิเนียมบริเวณด้านหลัง ซึ่งแม้จะไม่สุดขั้วเท่า แต่ให้การดูแล และควบคุมง่ายกว่ามาก
ในโหมด RACE รถคันนี้แสดงความแม่นยำในระดับสูงยิ่งขึ้น แม้แรงกดกว่า 600 กก. จะยังเป็นเพียงตัวเลขทางทฤษฎีในสนามที่ใช้ทดสอบ (ออกแบบมาให้เกิดผลเต็มที่เมื่อเกิน 240 กม./ชม. ขึ้นไป และจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 350 กม./ชม.) แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจจริงๆ คือ “ความละเมียด” ในการถ่ายทอดพละกำลัง ไม่มีความหยาบกระด้าง หรืออาการรุนแรงที่มักพบในรถสปอร์ทระดับ 1,000 แรงม้า การจัดการแรงบิดอันมหาศาลเป็นไปอย่างแนบเนียน และมีความเหมาะสม พูดให้ตรงประเด็น คือ VALHALLA ไม่ใช่รถสปอร์ทที่ข่มผู้ขับ แต่กลับเชื้อเชิญให้ผู้ขับสนุกไปกับการขับขี่ และนั่นคือ สิ่งที่คาดไม่ถึงจากซูเพอร์คาร์พลังเกิน 1,000 แรงม้า เช่นเดียวกับใน VANTAGE (วานเทจ) ระบบควบคุมการลื่นไถลแบบ 9 ระดับ สามารถปรับตั้งได้อย่างละเอียด เพื่อให้ผู้ขับเลือกจุดสมดุลระหว่างเสถียรภาพ และอิสระได้ตามใจ เมื่อปิดระบบอีเลคทรอนิคส์ทั้งหมดลง คุณสามารถควบคุมผ่านปุ่มหมุนได้โดยตรง จัดเป็นวิธีการที่เป็นธรรมชาติมาก และช่วยให้ผู้ขับเรียนรู้ไปพร้อมกับรถ หลังจากเพียง 1 รอบสนามผ่านพ้นไป คุณจะพบว่าตัวเองกำลังทะยานไปกับ ASTON MARTIN คันนี้เข้าสู่โค้ง ทำให้ตัวรถมีอาการลื่นไถลเล็กน้อย ควบคุมด้วยการไถลไปแนวขวางข้างได้ราวกับกำลังขับ MAZDA MX-5 (มาซดา เอมเอกซ์-5) อยู่
รถต้นแบบที่ทดสอบติดตั้งยาง MICHELIN PILOT SPORT S5 รุ่นพิเศษที่พัฒนาสำหรับรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ ซึ่งถือว่าเป็นยางที่เน้นการขับบนถนนมากกว่า เมื่อเทียบกับสิ่งที่คาดไว้สำหรับรถระดับนี้ แต่หากเลือกใช้เนื้อยางแบบ CUP 2 พร้อมลวดลายไหล่ดอกยางแบบพิเศษ (เป็นออพชันเสริม) ก็จะได้ความแม่นยำในการควบคุม และเสถียรภาพของแรงยึดเกาะที่สูงขึ้นภายใต้แรงกดอากาศเต็มที่ แปลเป็นภาษาที่เรียบง่ายขึ้น คือ ให้การควบคุมที่มั่นใจได้มากขึ้นในขณะหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง และกล้าเหยียบคันเร่งต่อในจังหวะที่สัญชาตญาณอยากให้ยกคันเร่ง จุดสำคัญของ VALHALLA ไม่ได้อยู่ที่เวลาต่อรอบในสนาม (ซึ่งสนาม STOWE เองก็ไม่ใช่สนามที่ให้คำตอบชัดเจนในหัวข้อเรื่องนี้อยู่แล้ว) ระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ แม้จะไม่ได้ให้แรงสะบัดแบบดุดันราวกับรถสปอร์ทของ LAMBORGHINI (ลัมโบร์กินี) แต่ก็ยังคงแม่นยำ และรวดเร็วตามที่ต้องการ
ส่วนระบบเบรคสามารถทนทานต่อการขับเต็มรอบสนามได้โดยไม่มีอาการล้า แต่ต้องใช้วินัยของผู้ขับเข้าช่วยเล็กน้อย ทั้งการกดแป้นเบรคที่มั่นคง และการปล่อยเท้าที่เหมาะสม เพราะ VALHALLA มีระบบเบรคหนักแน่นดีกว่าที่ผู้ขับกล้าทำในตอนแรก ขณะที่พวงมาลัยไม่ได้แข็งกระด้างแบบหินแกรนิท แต่ให้การตอบสนองที่ชัดเจน รับรู้ได้เลยว่าควรหยุดดันหัวรถเมื่อใด และเมื่อไหร่ที่ควรเริ่มทำงานร่วมกับการถ่ายเทน้ำหนักของตัวรถ และคันเร่ง ส่วนระบบรองรับ บนพื้นผิวที่เป็นคลื่นของสนามจะมีอาการอ่อนยวบเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ความนุ่มนวลแบบหลวมๆ ระบบรองรับของรถคันนี้ คือ การดูดซับแรงสั่นสะเทือนแบบเจาะจง ที่ช่วยลดแรงสะเทือนโดยไม่ทำให้โครงสร้างหลักของตัวรถสูญเสียเสถียรภาพ คุณสมบัตินี้เองที่สร้างความแตกต่างเมื่อวิ่งบนถนนจริง
เมื่อจบช่วงการทดลองขับ เรามีความประทับใจ 3 ข้อที่ชัดเจน ประการแรก คือ แรงกดอากาศที่ไม่ใช่แค่คำพูดโฆษณา แต่เป็นสิ่งที่รู้สึกได้จริงตลอดเวลา เป็นเสมือนแรงโน้มถ่วงเสริมที่ช่วยให้รถนิ่ง มั่นใจ และควบคุมได้ง่ายขึ้น ระบบไฮบริดไม่ใช่ข้อจำกัดที่ต้องยอมรับเพื่อให้ผ่านมาตรฐาน แต่กลับเป็น “ตัวขยาย” ที่ทำให้จังหวะ และความแม่นยำของรถเฉียบขึ้น VALHALLA ไม่ได้แสวงหาความเป็น “ฮีโร” ของผู้ขับ แต่กลับแสวงหา “ความสุขในการขับ” เมื่อคุณยอมเปิดใจให้มัน คุณจะพบกับจังหวะที่สอดประสานกันอย่างสมบูรณ์ ทั้งพวงมาลัย เบรค และคันเร่ง ผสานการทำงานไป-มาด้วยความแม่นยำในทุกๆ รอบ และในจังหวะนั้น รถที่มีกำลังกว่า 1,000 แรงม้า ก็จะไม่ใช่สัตว์ร้ายที่น่ากลัวอีกต่อไป แต่มีบุคลิกกลายเป็น “เครื่องมือที่แม่นยำสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง” อย่างแท้จริง นั่นคือ ผลลัพธ์ที่หายาก และสำหรับนักขับสิ่งนี้ คือ สิ่งล้ำค่าที่สุด
ASTON MARTIN VALHALLA ไม่ได้เป็นเพียงบทใหม่ของประวัติศาสตร์ของค่าย ASTON MARTIN แต่ไฮเพอร์คาร์รุ่นนี้ คือ “ภาพสะท้อน” ที่จับต้องได้ของตัวถังวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และอลูมิเนียม ภาพสะท้อนต่ออนาคตของรถสมรรถนะสูงที่เกิดขึ้นในเงาของ VALKYRIE รุ่นพี่ที่มีความสุดโต่ง แต่เลือกจะเดินในเส้นทางที่ต่างออกไป ไม่ใช่ความสุดขั้วที่เข้าถึงยาก แต่เป็น “การผสมผสาน” ที่พยายามเชื่อม 2 โลกเข้าด้วยกัน นั่นคือ โลกของ “การเปลี่ยนผ่าน” ที่ต้องมีระบบพลัก-อิน ไฮบริด และโหมดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน เพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย และอีกโลกหนึ่งที่ยังคงรักษา “อารมณ์ และจิตวิญญาณของเครื่องยนต์สันดาป” เอาไว้ คุณสมบัตินี้เอง อาจเป็นทางออกที่น่าสนใจอย่างแท้จริงต่อการสิ้นสุดของ “รถยนต์ที่ให้อารมณ์ความเร้าใจ” ไม่ใช่การปฏิเสธความทันสมัยอย่างดื้อรั้น แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะผสานระหว่างกฎใหม่เข้ากับการตอบสนองที่สามารถปลุกความฝันขึ้นมาอีกครั้ง หาก VALKYRIE คือ การเปรียบเสมือนแดนสวรรค์แห่งสุดท้ายของโลกที่หลงใหลในความดุดันของสมรรถนะในระดับเกินขีดสุด VALHALLA ถือเป็นความพยายามที่จะแปรเปลี่ยนแดนสวรรค์ในอุดมคติแห่งนั้น ให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นมนุษย์กว่า อ่อนโยนกว่า แต่ก็ยังทรงพลัง รถสปอร์ทรุ่นนี้อาจไม่ใช่ชัยชนะของความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นหลักฐานอันทรงคุณค่า ว่าในยุคแห่งข้อบังคับสารพัด และยุคสมัยของการขับเคลื่อนด้วยแบทเตอรี เรายังสามารถมี “รถสปอร์ทที่ทำให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวา” ไม่ใช่แค่รถยนต์ที่บังคับให้เราต้องอยู่ภายใต้ตามกฎเดิมๆ ตลอดเวลา
ข้อมูลจำเพาะของรถทดสอบจากผู้ผลิต
เครื่องยนต์
- วางตามยาวกลางลำตัว
- แบบ เบนซิน เทอร์โบคู่ วี 8 สูบ (ทำมุม 90 องศา)
- ความจุ 3,982 ซีซี
- กำลังสูงสุด 609 กิโลวัตต์/828 แรงม้า ที่ 6,700 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 857 นิวทันเมตร/87.4 กก.ม.
ระบบไฮบริด
- การส่งกำลังแบบคู่ขนาน
- มอเตอร์ กำลังสูงสุด 184.5 กิโลวัตต์/251 แรงม้า
กำลังสูงสุดทั้งระบบ
- กำลังสูงสุด 793 กิโลวัตต์/1,079 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 1,100 นิวทันเมตร/112.2 กก.ม.
ชุดแบทเตอรี
- แบบ ลิเธียม-ไอออน ความจุ 6.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
- ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
- ชุดควบคุมการส่งกำลังของเพลาขับควบคุมด้วยไฟฟ้า
สมรรถนะ
- ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.
- 0-100 กม./ชม. 2.5 วินาที
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่ระบุ
- อัตราการปล่อยไอเสียเฉลี่ย ไม่ระบุ
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,760 มม.
- ความยาว 4,430 มม. กว้าง 2,010 มม. สูง 1,160 มม.
- น้ำหนักโดยรวม (ไม่รวมของเหลว) 1,665 กก.
ราคา
- 1,005,000 ยูโร (ประมาณ 37,634,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
VALHALLA กำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนา สู่การส่งมอบจริงเร็วๆ นี้ กำลังจำนวนการผลิตทั้งหมดถูกจำกัดเอาไว้เพียง 999 คันเท่านั้น
เครื่องยนต์แบบ วี 8 สูบ เน้นการส่งกำลังที่ไหลลื่นต่อเนื่อง มากกว่าการกระแทกกระทั้นอย่างดุดัน ใครจะคาดคิดว่าตัวแรงขั้นสุดจะมีบุคลิกเช่นนี้
องค์ประกอบที่แปรผันได้
ส่วนสปอยเลอร์หลังสามารถปรับองศาได้ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้ โหมดการขับขี่ และการปรับแต่งโดยผู้ขับ ช่วยให้ตัวรถสามารถรักษาความสมดุลระหว่างแรงกดสูงสุดสำหรับล้อแต่ละตำแหน่ง และการลู่ลมของอากาศพลศาสตร์ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการใช้ความเร็วสูงบนทางตรง
สายพันธุ์ตัวแข่งขนานแท้
การออกแบบห้องโดยสารมีการใช้งานที่ครบครันของ VALHALLA โดดเด่นด้วยการเลือกใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เห็นลวดลายได้ชัดเจน ปุ่มใช้งานบางส่วนถูกนำมาจากรถสปอร์ทร่วมค่าย รวมถึงช่องแอร์ และแผงคอนโซลเกียร์ องค์ประกอบต่างๆ ใกล้เคียงกับตัวแข่ง มีความดุดันไม่น้อย แป้นหมุนบริเวณปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์สามารถเลือกโหมดการขับขี่ และปรับแต่งการทำงานของระบบป้องกันการลื่นไถล
ผ่านมือนักขับรถแข่ง F1 มาแล้ว
VALHALLA คันจริงถูกขับบนท้องถนนเป็นครั้งแรกโดยนักแข่ง F1 นั่นคือ FERNANDO ALONSO เป็นระยะทางสั้นๆ ในช่วงของรอบฝึกซ้อมของการแข่งขันที่สนามประเทศโมนาโก นักแข่งผู้นี้มีประวัติการเป็นแชมพ์โลกของ F1 ถึง 2 สมัย และปัจจุบันเป็นหนึ่งในนักขับของทีม ASTON MARTIN ด้วย นอกจากนี้เขายังครอบครองไฮเพอร์คาร์รุ่น VALKYRIE โดยเป็นสปอร์ทตัวแรงที่ถูกออกแบบโดย ADRIAN NEWEY และยังเป็นรถที่เขาขับใช้งานอยู่เป็นประจำ (ร่วมกับรถยนต์หลายรุ่นที่เขาครอบครอง) รถคันนี้ถือเป็นของขวัญที่ทางค่าย ASTON MARTIN มอบให้เขา พร้อมกับป้ายทะเบียน (ของเมืองมอนเท คาร์โล) คือ 014S ซึ่งเป็นตัวเลขของนักแข่ง F1 ผู้นี้ใช้งานมาตั้งแต่ปี 2001
วิศวกรผู้พัฒนารถรุ่นนี้ตั้งใจให้มีแรงสั่นสะเทือนหลงเหลืออยู่ ด้วยเหตุผล คือ ความเร้าใจ และความดิบห้าวคล้ายกับรถสปอร์ทยุคดั้งเดิม
ทุกรายละเอียดล้วนสำคัญ
ภาพด้านบน แสดงให้เห็นช่องชาร์จไฟฟ้าแบบที่ 2 ของระบบพลัก-อิน ไฮบริดตามสมัยนิยม เพื่อชาร์จแบทเตอรีความจุ 6.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ภาพทางซ้าย ส่วนท่อของระบบไฮดรอลิคควบคุมด้วยไฟฟ้า ทำหน้าที่ควบคุมองศาของสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ ถัดมา คือ ส่วนของท่อไอเสีย มีตำแหน่งการติดตั้งที่สูงขึ้นมาพอสมควร และอยู่ตรงกลางตัวถังส่วนท้าย เหมาะสมกับสำหรับรถสปอร์ทสมรรถนะสูงเช่นนี้ ภาพทางขวา แสดงให้เห็นถึงส่วนประกอบทางอากาศพลศาสตร์รอบตัวถัง ช่วยจัดเรียงอากาศที่ผ่านใต้ท้องรถ ช่วยให้มีแรงกดสูงสุด



