ทดสอบ
FORD EVEREST PLATINUM/FORD RANGER WILDTRAK V6
4 WHEELS นํา FORD EVEREST PLATINUM (ฟอร์ด เอเวอเรสต์ พแลทินัม) เอสยูวี 7 ที่นั่ง FORD RANGER WILDTRAK V6 (ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวลด์ทแรค วี 6) พิคอัพสไตล์โหด มาทดสอบ เพื่อพิสูจน์ถึงสมรรถนะ ดีเซล เทอร์โบ วี 6 สูบ 3.0 ลิตร 250 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ
EXTERIOR ภายนอก
FORD EVEREST 3.0L V6 TURBO PLATINUM 4WD 10AT เป็นรถสำหรับครอบครัวที่รักความท้าทาย และการผจญภัย ชอบสมรรถนะ และเทคโนโลยีที่เหนือชั้น รวมทั้งดีไซจ์นที่เป็นเอกลักษณ์แบบ PLATINUM เน้นความเท่ แข็งแกร่ง และมีสไตล์ ภายในห้องโดยสารหรูหรา สะดวกสบาย
กระจังหน้าขนาดใหญ่ดีไซจ์นใหม่ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ FORD EVEREST PLATINUM พร้อมตัวอักษร “PLATINUM” สีโครเมียมบนฝากระโปรงหน้า บานประตูคู่หน้า และฝาท้าย
หลังคา PANORAMIC MOONROOF สีดำ (BLACK ROOF) พร้อมราวหลังคาสีเงินโครเมียมแบบยกสูง ระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน ควบคุมการเปิดไฟส่องสว่างภายนอกตัวรถ เมื่อต้องการแสงสว่างในการทำกิจกรรมต่างๆ ในตอนกลางคืน
ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว พร้อมยางขนาด 275/45 R21
มิติภายนอก 4,914/1,923/1,842 ม. เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว FORD EVEREST ใหม่ ยังมีความยาวตัวรถ และระยะฐานล้อ 2,900 มม. มากกว่าคู่แข่ง ISUZU MU-X (อีซูซุ มิว-เอกซ์) (4,850/1,870/1,875 ม. และ 2,855 ม.) MITSUBISHI PAJERO SPORT (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ท) (4,825/1,815/1,835 ม. และ 2,800 ม.) NISSAN TERRA (นิสสัน แตร์รา) (4,890/1,865/1,865 ม. และ 2,850 ม.) และ TOYOTA FORTUNER (โตโยตา ฟอร์ทูเนอร์) (4,795/1,855/1,835 มม. และ 2,750 มม.)
INTERIOR ภายใน
ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบาย ตกแต่งด้วยสีดำเป็นเอกลักษณ์ ด้วยโลโกซิกเนเจอร์ PLATINUM เบาะนั่งคนขับ และเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง พร้อมระบบปรับอากาศ และระบบบันทึกตำแหน่งเบาะที่นั่ง ฟังค์ชันการปรับตำแหน่งคนขับให้เข้า/ออกสะดวก สำหรับเบาะนั่งคนขับ (EASY ENTRY AND EXIT)
เบาะนั่ง 2 แถวหน้ามีชุดทำความร้อน และระบายอากาศ ที่สามารถควบคุมได้ผ่านหน้าจอ SYNC
ระบบเสียงชั้นนำ BANG & OLUFSEN พร้อมลำโพง 12 ตัว รวมซับวูเฟอร์
เบาะแถว 3 แยก 50:50 พับเก็บด้วยไฟฟ้า บรรทุกสัมภาระได้ถึง 2,010 ลิตร มีช่องเก็บของมากกว่า 30 ช่อง พร้อมช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับเบาะหน้า/หลัง และตัวยึดเบาะนั่งพิเศษสำหรับเด็กเล็กบริเวณเบาะนั่งแถว 2 และ 3
เหนือกว่าคู่แข่งด้วยจอแสดงผลบนมาตรวัดแบบสีขนาด 12.4 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส MULTI-TOUCH ขนาด 12 นิ้ว ใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A รองรับ WIRELESS APPLE CAR PLAY และ ANDROID AUTO ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ กล้องมองหลัง รวมทั้งระบบแผนที่นำทาง และช่องต่อ USB 4 จุด ช่องต่อไฟ 12 โวลท์ 3 ช่อง พร้อมช่องต่อไฟ 230 โวลท์ (400 วัตต์) 1 ช่อง และแท่นชาร์จไร้สาย กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย/ขวา และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง แถว 2 และ 3 พร้อมช่องแอร์เหนือศีรษะ ประตูท้ายรถเปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ
ระดับเสียงในห้องโดยสาร จากความเร็วคงที่ 60/80/100/120 กม./ชม. วัดได้ 48/51/54/58 เดซิเบล อยู่ในระดับดี เงียบกว่าคู่แข่งอย่าง TOYOTA FORTUNER (49/52/55/59) MITSUBISHI PAJERO SPORT (55/57/62/67) และ NISSAN TERRA (57/60/63/67)
FORD RANGER DOUBLE CAB WILDTRAK 3.0L V6 TURBO 4WD 10AT ภายนอกเพิ่มความดุดัน มีสไตล์ แต่จะเปลี่ยนแปลงตัวอักษรที่ซุ้มล้อหน้าเป็น V6 สีดำ มาแทนที่ BI-TURBO และล้ออัลลอยดีไซจ์นเฉพาะรุ่น WILDTRAK V6 สีเทา BOULDER GREY ขนาด 20 นิ้ว ที่เอามาจาก EVEREST รุ่น WILDTRAK เท่ ดุดัน รับกับพละกำลังที่มากยิ่งขึ้น
มิติตัวรถ ยาว/กว้าง/สูง 5,370/1,918/1,884 มม. ฐานล้อ 3,270 มม. มีระยะห่างจากพื้น 235 มม. ยาวใหญ่กว่าคู่แข่ง ทั้ง ISUZU V-CROSS 4x4 (อีซูซุ วี-ครอสส์ 4x4) 4 ประตู 5,265/1,870/1,790 มม. กับ 3,125/240 มม. MITSUBISHI TRITON DOUBLE CAB 4WD GT-PREMIUM (มิตซูบิชิ ทไรทัน ดับเบิลแคบ โฟร์วีลดไรฟ จีที-พรีเมียม) 5,300/1,815/1,795 มม. กับ 3,000/220 มม. และ NISSAN NAVARA DOUBLE CAB PRO-4X (นิสสัน นาวารา ดับเบิลแคบ พโร-4 เอกซ์) 5,260/1,875/1,840 มม. กับ 3,150/225 มม. รวมทั้ง TOYOTA HILUX REVO DOUBLE CAB 4x4 2.8 ROCCO (โตโยตา ไฮลักซ์ รีโว ดับเบิลแคบ 4x4 2.8 รอคโค) 5,325/1,900/1,815 มม. กับ 3,085/217 มม.
มิติกระบะ ยาว/กว้าง/สูง 1,564/1,584/540 มม. พื้นปูกระบะท้าย พร้อมช่องต่อไฟ 12 โวลท์ และ 230 โวลท์ (400 วัตต์) ฝาท้ายแบบผ่อนแรง และยังมีบันไดเหยียบข้างกระบะท้ายใกล้กันชนหลัง สปอร์ทบาร์ ราวหลังคา WILDTRAK และฝาท้ายแบบผ่อนแรง
ENGINE เครื่องยนต์
เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ วี 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว ขนาด 3.0 ลิตร 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 61.2 กก.-ม. ขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์บวก/ลบ
อัตราเร่งช่วงต้น 0-100 กม./ชม. ในเวลา 10.1 วินาที และ 0-400 ม. ในเวลา 17.4 วินาที 0-1,000 ม. ทำได้ 27.4 วินาที ดีกว่ารุ่น 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ (10.9/17.8/32.8 วินาที) MITSUBISHI PAJERO SPORT (12.4/18.7/33.8 วินาที) NISSAN TERRA (11.6/18.2/33.5 วินาที) และ TOYOTA FORTUNER (12.0/18.3/33.7 วินาที)
จังหวะเร่งแซง ในเมือง 60-100 กม./ชม. และนอกเมืองช่วง 80-120 กม./ชม. ทำได้ 5.1 และ 6.3 วินาที ดีกว่ารุ่น 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ (6.0/8.0 วินาที) ดีกว่าคู่แข่งทั้ง MITSUBISHI PAJERO SPORT (6.4/8.2 วินาที) NISSAN TERRA (6.0/7.8 วินาที) TOYOTA FORTUNER (5.8/7.4 วินาที)
ภายในห้องโดยสารยังคงเน้นโทนสีดำ และความสะดวกสบายเหมือนกับ WILDTRAK รุ่น BI-TURBO และที่วางแก้วน้ำบนคอนโซลหน้าใต้ช่องแอร์ทั้งซ้าย/ขวา
เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง แท่นชาร์จไร้สาย กุญแจรีโมทอัจฉริยะ พร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย/ขวา และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร พวงมาลัยไฟฟ้า พร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย การเชื่อมต่อ และความบันเทิงภายในรถ หน้าจอแสดงผลบนหน้าปัดแบบสีขนาด 8 นิ้ว
FORD RANGER WILDTRAK รุ่น V6 มาพร้อมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงมากมาย อาทิ หน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส MULTI-TOUCH ขนาด 12 นิ้ว ใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A รองรับ WIRELESS APPLE CARPLAY และ ANDROID AUTO ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ ระบบ FORD PASS CONNECT ช่องต่อ USB 4 จุด รวมถึงบนกระจกมองหลัง และลำโพง 6 ตำแหน่ง
ส่วนระดับเสียงในห้องโดยสาร จากความเร็วคงที่ 60/80/100/120 กม./ชม. วัดได้ 44/48/53/59 เดซิเบล เงียบกว่าคู่แข่งทั้ง MAZDA BT-50 (มาซดา บีที-50) (52/56/59/63 เดซิเบล) NISSAN NAVARA PRO-4X (55/60/65/68 เดซิเบล) TOYOTA HILUX REVO ROCCO (58/62/65/68 เดซิเบล) และ MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (59/62/63/66 เดซิเบล)
WILDTRAK รุ่น V6 เพิ่มระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน (ZONE LIGHTING) ควบคุมการเปิดไฟส่องสว่างภายนอกตัวรถ เมื่อต้องการแสงสว่างในการทำกิจกรรมต่างๆ ในตอนกลางคืน ได้แก่ ไฟหน้า ไฟส่องพื้นจากกระจกข้างรถ ไฟในกระบะท้าย และไฟส่องแผ่นป้ายทะเบียน โดยสามารถเลือกเปิด/ปิดเฉพาะบางโซน หรือทุกโซนพร้อมกันได้ ผ่านหน้าจอ SYNC
SUSPENSION ระบบรองรับ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ฟูลล์ไทม์ เลือกปรับรูปแบบการขับขี่ได้ 4 รูปแบบ คือ NORMAL สำหรับพื้นถนนทั่วไป SAND สำหรับพื้นทราย SNOW OR MUD สำหรับพื้นหิมะ โคลน หรือทุ่งหญ้า และ ROCK CRAWL สำหรับพื้นหินขรุขระ พร้อมโหมด 4L และระบบลอคเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน
ระบบวัตต์ลิงค์ ที่ช่วยให้หน้ายางตั้งฉากกับพื้นถนนเมื่อรถเข้าโค้ง ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ให้รถเกาะถนน และทรงตัวดี พวงมาลัยไฟฟ้า ควบคุมได้ง่าย และแม่นยำมาก ใช้ในเมืองคล่องตัวจริงๆ
ผลทดสอบเบรคที่ความเร็ว 60-0/80-0/100-0 กม./ชม. หยุดนิ่งได้ในระยะ 17.6/30.9/49.3 ม. ล้อขนาด 21 นิ้ว ยางขนาด 275/45 R21 ดูจะส่งผลให้ใช้ระยะทางเช่นเดียวกับ รุ่น 2.0 ลิตร (17.5/32.6/50.2 ม.) ทำให้ใช้ระยะทางมากกว่า MITSUBISHI PAJERO SPORT (17.0/31.0/46.7 ม.) NISSAN TERRA (17.0/30.1/45.8 ม.) และ TOYOTA FORTUNER (16.0/27.0/43.9 ม.)
ความปลอดภัยอย่าง ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ STOP & GO ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัจฉริยะ ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด กล้องมองรอบคัน 360 องศา ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง และระบบตรวจเชคลมยาง ก็สมเหตุสมผล ส่วนจะรับหรือไม่รับก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ 3.0 ลิตร วี 6 สูบ กำลังสูงสุด 250 แรงม้า ที่ 3,250 รตน. แรงบิดสูงสุด 61.2 กก.-ม. (600 นิวตันเมตร) ที่ 1,750-2,250 รตน. ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ แบบ E-SHIFTER ตอบสนองคันเร่งเร็ว และต่อเนื่องกว่าดีเซล เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร 4 สูบ 210 แรงม้า ที่ 3,750 รตน. แรงบิด 51.0 กก.-ม. ที่รอบเท่ากัน ในรุ่น BI-TURBO
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ 4A 4WD สามารถปรับอัตราการส่งกำลังระหว่างล้อหน้า/หลัง ตั้งแต่ 0:100 ถึง 50:50 และมีตัวเลือกโหมดการขับขี่ 6 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ (NORMAL), โหมดประหยัด (ECO), โหมดลากจูง (TOW/HAULl), โหมดถนนลื่น (SLIPPERY), โหมดโคลน และหิน (MUD/RUTS) และโหมดทราย (SAND) ใช้งานง่าย และสะดวกขึ้นกว่าเดิม
อัตราเร่งช่วงตีนต้น 0-100 กม./ชม. และ 0-400 ม. อยู่ที่ 9.1/16.7 วินาที และอัตราเร่งตีนปลาย 0-1,000 ม. อยู่ที่ 30.4 วินาที ดีกว่า 2.0 ลิตร (10.1/17.3/31.8 วินาที) MAZDA BT-50 (10.7/17.6/32.3 วินาที) TOYOTA HILUX REVO ROCCO (11.2/17.9/32.5 วินาที) MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (11.2/17.9/32.9 วินาที) และ NISSAN NAVARA PRO-4X (12.1/18.4/33.9 วินาที)
ขณะที่อัตราเร่งยืดหยุ่นช่วง 60-100/80-120 กม./ชม. ทําเวลาได้ 4.6/5.9 วินาที เร็วกว่าตัว 2.0 ลิตร (5.3/7.0 วินาที) MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (5.8/7.5 วินาที) MAZDA BT-50 (6.0/7.6 วินาที) NISSAN NAVARA PRO-4X (6.4/8.7 วินาที) แต่ช้ากว่า TOYOTA HILUX REVO ROCCO (5.5/6.8 วินาที)
ระบบช่วงล่างที่ต้องยอมรับว่าเกาะหนึบทุกการเข้าโค้ง หรือการใช้ความเร็วสูง ขุมพลังดีเซล เทอร์โบ 3.0 ลิตร วี 6 ให้กำลังสูงสุด 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 61.2 กก.-ม. ทำให้รู้สึกสนุกในการขับขี่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ 4A 4WD ทำงานได้อย่างลงตัว ส่งกำลังต่อเนื่อง และพอกับความต้องการแม้ในขณะขึ้นทางชัน
ประสิทธิภาพของระบบเบรค ที่ความเร็ว 60/80/100 กม./ชม. ใช้ระยะ 17.5/30.9/47.8 ม. ดีกว่ารุ่น 2.0 ลิตร (17.8/31.1/49.6 ม.) แต่เป็นรอง MAZDA BT-50 (16.5/28.5/45.0 ม.) MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (16.2/28.6/45.0 ม.) NISSAN NAVARA PRO-4X (16.6/28.2/43.8 ม.) และ TOYOTA HILUX REVO ROCCO (15.6/27.8/42.4 ม.)
อุปกรณ์ความปลอดภัย ถุงลมนิรภัย 7 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมบริเวณหัวเข่า ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า/หลัง กล้องมองรอบคัน 360 องศา ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน และระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ เบรคมือไฟฟ้าพร้อมระบบ AUTO HOLD
อีกทั้งยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะครบครัน ได้แก่ ดิฟฟ์ลอคหลังแบบไฟฟ้า และระบบเลือกโหมดการขับขี่ 6 โหมด แบบหมุน (เฉพาะรุ่น 4x4) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ STOP & GO และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัจฉริยะ ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ
FORD EVEREST PLATINUM
FORD EVEREST 3.0L V6 TURBO PLATINUM 4WD 10AT กับราคา 2,279,000 บาท แลกกับสมรรถนะ ดีเซล เทอร์โบ วี 6 สูบ 3.0 ลิตร 250 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ ตอบสนองความต้องการที่มากกว่า 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่
FORD RANGER WILDTRAK V6
FORD RANGER DOUBLE CAB WILDTRAK รุ่น V6 ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว นั่งสบายในทุกตำแหน่ง สำหรับราคา 1,519,000 บาท เพิ่มจากรุ่น BI-TURBO (2.0 ลิตร เทอร์โบคู่) 210 แรงม้า 2 แสนบาท สำหรับคนชอบของแรงน่าจะตอบโจทย์มากกว่า RAPTOR (แรพเตอร์) ที่ต่างกับ WILDTRAK BI-TURBO ถึง 5 แสนบาท