"ฟอร์มูลา" สนทนาธุรกิจกับ พิมพา ชลาลัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีคูล กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟีล์มกรองแสงรถยนต์ ฟีล์มอาคาร และฟีล์มนิรภัย V-KOOL แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยฟอร์มูลา : นโยบายสำหรับตลาดเมืองไทยของฟีล์มกรองแสง วี-คูล เป็นอย่างไร? พิมพา : วีคูล กรุ๊ป (ประเทศไทย) ฯ ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทแม่ แต่งตั้งให้เป็นผู้จำหน่ายฟีล์มกรองแสงรถยนต์ ฟีล์มอาคาร และฟีล์มนิรภัย V-KOOL แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2558 ซึ่งจะทำให้ภาพรวมในการทำงานชัดเจนขึ้น สำหรับ EASTMAN เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านเคมีภัณฑ์ระดับโลก โดยมีผลิตภัณฑ์มากมายที่ผู้บริโภคทั่วโลกใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน, EASTMAN'S PERFORMANCE FILM BUSINESS เป็นผู้นำอันดับ 1 ของการผลิตฟีล์มคุณภาพสูง ได้แก่ บแรนด์ V-KOOL และ IQUE ซึ่งเป็นบแรนด์ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก และเป็นผู้นำในด้านคุณภาพของสินค้าที่ดีเยี่ยมด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ บริษัทแม่มีนโยบายปรับภาพลักษณ์ของร้านค้า เรียกว่า วี-คูล ฟูลล์ ฟเลกซ์ เป็นการปรับรูปลักษณ์ของร้านให้มีความหรูหรา โดดเด่น มีป้ายชัดเจน และเน้นทำการตลาดฟีล์มอาคาร IQ BY V-KOOL ที่สามารถป้องกันความร้อนได้สูง ให้ทัศนวิสัยที่ดี รวมถึงป้องกันกระจกแตก เห็นได้ว่าปัจจุบัน บ้าน คอนโด โรงแรม อาคารสำนักงาน จะเป็นกระจกทั้งนั้น บริษัท ฯ จึงเน้นทำการตลาดส่วนนี้เพิ่มขึ้น ฟอร์มูลา : วางแผนการลงทุนเพิ่มอีกหรือไม่ ? พิมพา : บริษัท ฯ วางแผนที่จะทุ่มงบ 15-20 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมภาพลักษณ์ตราสินค้า รีบแรนด์ให้แข็งแกร่ง และเป็นที่รู้จักในตลาดฟีล์มกรองแสงกลุ่มพรีเมียมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังจะมีการปรับปรุงศูนย์บริการมาตรฐาน "วี-คูล ฟูลล์ ฟแลกซ์" ให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด โดยคืบหน้าไปกว่า 90 % แล้ว คาดว่าในช่วงปลายของไตรมาสที่ 1 จะแล้วเสร็จ ซึ่งในช่วงแรกจะเปิดศูนย์บริการต้นแบบ 2 แห่ง และจะขยายเพิ่มเป็น 5 แห่ง ฟอร์มูลา : ตั้งเป้าสำหรับ วี-คูล ฟูลล์ ฟเลกซ์ ไว้อย่างไร ? พิมพา : แผนที่วางไว้ คือ มี 40 แห่งทั่วประเทศ ตั้งเป้าเปิด 1 สาขา ทุกๆ 3 เดือน โดยช่วงแรกจะเปิดในกรุงเทพ ฯ ก่อน แล้วจึงขยายไปตามหัวเมืองใหญ่ ทั่วประเทศ เดิมมีดีเลอร์อยู่ 60 แห่ง ซึ่งเราได้ทำความเข้าใจ และพูดคุยเกี่ยวกับนโยบายและทิศทางของ V-KOOL กับดีเลอร์เก่าก่อน ว่าเห็นด้วยและยอมรับไหม ถ้าตกลงก็ให้ส่งแผนการตลาดเข้ามาที่บริษัท ฯ แล้วเราจะคัดเลือกร่วมกับบริษัทแม่อีกที เพราะบริษัทแม่จะเป็นผู้ออกแบบเพื่อให้มีรูปลักษณ์เหมือนกัน ฟอร์มูลา : นโยบายการแต่งตั้งดีเลอร์เป็นศูนย์ วี-คูล ฟูลล์ ฟเลกซ์ เป็นอย่างไร ? พิมพา : ในการแต่งตั้งดีเลอร์เป็นศูนย์ วี-คูล ฟูลล์ ฟเลกซ์ ต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ 1. ดูว่าผู้ประกอบการเจ้านี้ โฟคัสที่บแรนด์ V-KOOL มากน้อยแค่ไหน 2. มีสถานที่ที่เหมาะสมกับการให้บริการ อย่างน้อยสามารถจอดรถได้ 2 คัน มีพื้นที่รับรองลูกค้า และมุมสำหรับเทสต์สินค้า 3. บุคลากร คือ พนักงานต้อนรับ และช่างที่มีความเชี่ยวชาญในการติดตั้ง 4. การตลาด ที่จะประชาสัมพันธ์ไปในแนวทางเดียวกัน นอกจากนี้เรายังมีการส่งทีมช่างเข้าไปทเรนช่างของดีเลอร์ หรือถ้าดีเลอร์ต้องการส่งช่างมาทเรนกับเราที่บริษัท ฯ นอกจากนี้ยังมีทีมงานจากต่างประเทศเข้ามาแลกเปลี่ยนเรื่องของเทคนิคการติดตั้งให้มีรูปแบบ และมาตรฐานเดียวกัน ฟอร์มูลา : คุณวางแผนการรุกตลาดปีนี้ไว้อย่างไร ? พิมพา : กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ วี-คูล คือ รถหรูราคาเกิน 1 ล้านบาท โดยฟีล์มกรองแสง วี-คูล จะมีราคาเริ่มต้นที่ 14,000-15,000 บาท ดังนั้นการรุกตลาดจะเน้นการส่งทีมเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในรูปแบบของโซเชียลเนทเวิร์ค การออกอีเวนท์ โรดโชว์ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองคุณภาพสินค้าด้วยตัวเอง จัดโฟคัสกรุพ กับกลุ่มเป้าหมายของ V-KOOL ฟอร์มูลา : การแข่งขันในตลาดฟีล์มกรองแสงเป็นอย่างไร ? พิมพา : การแข่งขันก็รุนแรงเหมือนตลาดอื่นๆ แต่เรามองว่าถ้ามีการแข่งขัน แสดงว่าธุรกิจนี้มันยังโตอยู่ ถ้าวันใดไม่มีการแข่งขันแสดงว่าตลาดมันไม่น่าสนใจ ตลาดมันเล็กเกินไป วันนี้ทุกคนมาสนใจทำธุรกิจฟีล์มกรองแสงกัน ฉะนั้น V-KOOL ซึ่งอยู่มานาน 23 ปี ก็น่าจะทำอะไรที่มันแตกต่าง คิดต่าง และเปลี่ยนแปลงให้ทันกับสถานการณ์ เรามองว่ามันท้าทาย และพร้อมที่จะเข้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งเรามั่นใจว่า V-KOOL มีจุดแข็ง ไม่เหมือนใคร สินค้าของเรามีคุณภาพ ที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ มีบริการก่อนและหลังการขายที่ดี ฟอร์มูลา : ใน 3-5 ปีข้างหน้า ธุรกิจฟีล์มในเมืองไทยจะเป็นอย่างไร ? พิมพา : อากาศประเทศไทยร้อนขึ้นเรื่อยๆ ฟีล์มกรองแสง V-KOOL สามารถป้องกันความร้อนได้สูงสุด 98 % ณ ตอนนี้มันอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด ในเมื่อตอนนี้ผู้บริโภคไม่ได้ซื้อสินค้า ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะกำลังเก็บเงิน และรอดูสถานการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโอเคไหม การเมืองนิ่งไหม ถ้าการเมืองนิ่ง เศรษฐกิจโอเค คนก็พร้อมที่จะกลับมาใช้จ่าย แต่อาจจะจ่ายอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่าเศรษฐกิจจะต้องโตขึ้นแน่นอน และโตอย่างแข็งแกร่ง เราอยู่ในธุรกิจนี้มา 23 ปีแล้ว เห็นว่าตลาดมีขึ้นและลงตลอด เรามีความเชื่อมั่นในสินค้าของเราจะไปได้อีกไกล เพราะมีการพัฒนาคุณภาพ รวมถึงมีเนทเวิร์คที่แข็งแกร่ง