ชีวิตอิสระ
ผจญภัย 3,200 กม. บนทางสายไหม กับ ไฮลักซ์ รีโว คาราวาน ทริพ
"4 WHEELS" ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การเดินทางด้วยรถยนต์ จากกรุงเทพฯ ถึงเมืองเวนิศ ประเทศอิตาลี ตามเส้นทางสายไหม กับคาราวาน โตโยตา ไฮลักซ์ รีโว เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของรถพิคอัพที่ผลิตโดยคนไทย ระยะทางร่วม 2 หมื่น กม. ใช้เวลา 45 วัน ผ่าน 2 ทวีปใน 17 ประเทศการเดินทางแบ่งออกเป็น 5 ช่วง "4 WHEELS" ร่วมเดินทางในช่วงที่ 2 จากเมืองตุนหวง ประเทศจีน ไปถึงเมืองทัชเคนท์ ประเทศอุซเบกิสถาน ระยะทางกว่า 3,200 กม. ใช้เวลา 10 วัน ต้องเผชิญความหลากหลายทั้งสภาพถนน ภูมิประเทศ และภูมิอากาศ จึงเป็นบททดสอบที่ท้าทายสำหรับนักเดินทาง และสมรรถนะของรถ ระหว่างทางจะมีสถานที่ใดน่าสนใจ คาราวานต้องพบกับอุปสรรคอะไรบ้าง ร่วมลุ้นไปด้วยกันกับ "ชีวิตอิสระ" ฉบับนี้ครับ
วันแรก กรุงเทพฯ-ปักกิ่ง-ตุนหวง ความลับที่ซ้อนเร้น กลางทะเลทราย
คณะเราออกเดินทางโดยเครื่องบิน จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปสนามบินปักกิ่ง (สาธารณรัฐประชาชนจีน) เพื่อต่อเครื่องไปยังสนามบินตุนหวง ระหว่างทางเราต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวนอยู่หลายครั้ง ใช้เวลานานกว่า 12 ชม. จึงถึงอย่างปลอดภัย เมืองตุนหวง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู (GANSU) ระหว่างทะเลทรายโกบี และทะเลทรายตากลิมากัน (TAKLIMAKAN) ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญจากจีนไปยังเอเชียกลาง และยุโรป ที่นักเดินทางทุกคนต้องแวะพักเพื่อจัดเตรียมเสบียง จึงเป็นเมืองชุมทางการค้าที่เจริญรุ่งเรืองในอดีต ช่วงบ่ายเราเดินทางไปยัง "เนินทรายหมิงซาซาน" สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังประจำเมือง เมื่อไปถึง ผมต้องตาค้างกับเนินทรายที่ใหญ่มหึมาสูงกว่า 100 ม. รายล้อมรอบตัวเราทุกทิศทุกทาง ทั้งสวยงาม และน่ากลัว ที่แห่งนี้ยังมี "อูฐ" สัตว์ทะเลทรายให้ขี่หลังถ่ายรูปด้วย รวมถึงรถขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องร่อน หรือแม้แต่เฮลิคอพเตอร์ก็มีให้บริการ...เอากับเขาสิ ! เมื่อเดินลึกเข้าไปสักพักใหญ่ จะพบกับโอเอซิส หรือ "สระน้ำวงพระจันทร์" เป็นบ่อน้ำผุดที่ไม่เคยแห้ง ลักษณะของบ่อคล้ายกับเสี้ยวพระจันทร์ อยู่ท่ามกลางทะเลทราย 360 องศา บริเวณบึงมีสถาปัตยกรรมจีนที่ถูกสร้างขึ้นมา ดูงดงาม น่าชื่นชมวันที่สอง ตุนหวง-ฮามี ถ้ำโมเกา แหล่งพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน
เช้าวันที่สอง เราได้เดินทางไปเที่ยวชม "ถ้ำโมเกา" (MOGAO) หรือ "เซียนฝอต้ง" (ที่แปลว่าพระพุทธรูปพันองค์) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ตั้งแต่ปี 1987 และได้รับการยกย่องเป็นแหล่งพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน เราต้องนั่งรถบัสเข้าไปกลางทะเลทรายหลาย 10 กม. เมื่อไปถึง ผมตกตะลึงกับความอลังการของสถานที่นี้ (อีกแล้ว !) หน้าผาหินถูกเจาะเป็นถ้ำกว่า 492 ถ้ำ ภายในเป็นที่บรรจุพระพุทธประติมากรรม และภาพเขียนพุทธประวัติต่างๆ ในอดีตกาล ทุกตารางนิ้วของผนังถ้ำเต็มไปด้วยภาพวาด และรูปสลักทางศาสนา อุณหภูมิภายในถ้ำเย็นมาก แต่ด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัดจึงไปได้เพียงแค่ 4-5 จุด และน่าเสียดายที่ภายในถ้ำ เขาห้ามถ่ายภาพ ถ้ำโมเกา ดำเนินการก่อสร้างนานนับพันปี ตั้งแต่ราชวงศ์ฉิน ถึงราชวงศ์หยวน รวม 10 ราชวงศ์ โดยยุคทองอยู่ในช่วงราชวงศ์ถัง นับเป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งพุทธปฏิมาศิลป์ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร และได้รับการอนุรักษ์ไว้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดของโลกจนถึงปัจจุบัน จนได้รับฉายานามว่า "เพชรน้ำหนึ่งแห่งศิลปะตะวันออก" ช่วงบ่าย ก็ถึงเวลาที่คาราวานของเรากลุ่ม 2 จะได้ขับรถกันเสียที "4 WHEELS" ได้รถหมายเลข "06" เป็น โตโยตา ไฮลักซ์ รีโว แบบ 4 ประตู ตัวทอพสุด เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ นับเป็นเรื่องที่ดีมากๆ สำหรับเราในครั้งนี้ เพราะได้ขับรุ่นทอพสุด ออพชันจัดมาเต็ม ทั้งเบาะไฟฟ้า เครื่องเล่นวิทยุที่ทันสมัย ระบบความปลอดภัยครบครัน ที่สำคัญมีช่องเสียบไฟ 220 V ด้วย ช่างเป็นรถที่ตอบโจทย์คนเดินทางได้ดีจริงๆ เราออกเดินทางจากเมืองตุนหวง เพื่อไปเมืองฮามี (HAMI) ซึ่งห่างออกไปราว 420 กม. เส้นทางส่วนมากจะเป็นทางตรง มีวิวสองข้างทางเป็นความแห้งแล้งของทะเลทราย ไม่นานนักก็ถึงเมืองฮามิ เมืองหน้าด่านของมณฑลซินเจียง ที่ขึ้นชื่อเรื่อง "แตงฮามี" ที่เขาว่ากันว่า "อร่อย"วันที่สาม ฮามี-ตูร์ฟาน ชลประทานใต้ทะเลทราย ไม่ใช่จีน ทำไม่ได้
คาราวานออกตั้งแต่ 8 โมง โดยมีปลายทางที่เมืองตูร์ฟาน (TURPAN) ระยะทาง 410 กม. ตูร์ฟาน เป็นเมืองโอเอซิสที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งบนเส้นทางสายไหม เป็นเมืองที่มี 3 ที่สุดในเขตซินเกียง ได้แก่ 1. ต่ำที่สุดในจีน ซึ่งต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 157 ม. 2. ร้อนและแห้งที่สุดในจีน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 35 องศาเซลเซียส (เคยร้อนถึง 49 องศาเซลเซียส) และ 3. ลมแรงที่สุดในจีน เราจึงเห็นกังหันลม ที่นำมาผลิตไฟฟ้ามากมายตลอดทาง ตูร์ฟาน เป็นเมืองผลไม้ที่มีชื่อเสียง ทั้งองุ่น ลูกท้อ เอพริคอท แตงฮามี โดยเฉพาะองุ่นเป็นผลไม้ที่ปลูกมากที่สุด ไกด์ท้องถิ่นพาเราไปซื้อลูกเกดคุณภาพดี ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเมืองนี้ พูดได้เลยว่า ลูกเกดที่ขายในจีน มาจากที่นี่แทบทั้งนั้น จากนั้นเดินทางต่อไปชมสวนองุ่น "ผู่เถ้าโกว" ซึ่งเป็นสวนองุ่นที่มีชื่อเสียงมากของเมืองนี้ หลังจากเยี่ยมชมสวนองุ่นแล้ว ไปต่อกันที่ความมหัศจรรย์ของ "บ่อน้ำคันเอ๋อจิง" (KAREZ PARADISE) หรือ คาเรซ เป็นระบบชลประทานที่ชาวเมืองตูร์ฟานในอดีตใช้ภูมิปัญญาคิดและสร้างขึ้นมา โดยได้ขุดอุโมงค์ใต้ดินส่งน้ำจากหิมะละลายบนยอดเขาเทียนซาน (ภูเขาสวรรค์) ไหลลงมาเพื่อหล่อเลี้ยงผู้คนภายในเมือง มีระยะทางรวมกว่า 5,000 กม. จนได้รับการจัดอันดับว่าเป็นการก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ในแผ่นดินจีน ด้านในมีทั้งนิทรรศการหุ่น เครื่องมือจำลองให้ดู และยังมีทางลงไปดูบ่อน้ำของจริงอีกด้วยวันที่สี่ ตูร์ฟาน-กู้เจ๋อ ความอลังการของภูเขาหินปูน กลางทะเลทราย
เมื่อคืนคาราวานนอนเอาแรงกันเป็นอย่างดี เพราะรู้ว่าวันนี้ต้องเดินทางไกลกว่า 920 กม. ตามแผน แต่เนื่องจากทีมงานของเราได้ปรับแผนใหม่ เพื่อให้การเดินทางสบายขึ้น เหลือเพียง 670 กม. จึงเป็นเรื่องดีเรื่องแรกในวันนี้ เราออกเดินทางจากเมืองตูร์ฟาน มุ่งหน้าสู่เมืองกู้เจ๋อ เส้นทางของวันนี้ยังคงอยู่ในภูมิประเทศแบบแห้งแล้ง ซึ่งเราเจอภูมิประเทศแบบนี้ตั้งแต่เข้าเขตตุนหวง จากที่ไม่คุ้นเคยก็เริ่มกลายเป็นความคุ้นชินขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางส่วนใหญ่เป็นที่ราบกึ่งทะเลทราย มีอยู่ช่วงหนึ่งเป็นเส้นทางภูเขาหินที่มีโค้งซ้าย/ขวาสลับไปมา ทิวทัศน์เป็นภูเขาหินปูน ที่ถูกทรายกลบทับบนหินอีกที ดูสวยงามและอลังการมาก จนคาราวานต้องจอดรถถ่ายภาพกันเป็นระยะ ซึ่งนับเป็นความโชคดีอย่างที่ 2 ที่เราได้เจอในวันนี้ คาราวานถึงเมืองกู้เจ๋อ เวลาทุ่มครึ่ง ทันทีที่เขาเขตเมือง เราพบเจอกับตำรวจมากมาย ที่ยืนถือปืนอยู่ตามแยกไฟแดง และมีรถตำรวจคอยลาดตระเวนตลอดเวลา พอถามไกด์ก็ถึงบางอ้อ ก็เพราะเมืองนี้เป็นเมืองสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของจีน จึงต้องมีการรักษาความปลอดภัยตลอดเวลา ไม่นานนักก็ถึงโรงแรม พักผ่อนตามอัธยาศัยวันที่ห้า กู้เจ๋อ-คัชการ์ ฟันฝ่าพายุทะเลทรายกับ ไฮลักซ์ รีโว
เช้านี้คาราวานออกจากเมืองกู้เจ๋อตั้งแต่ 9 โมงเช้า เพื่อตรงไปยังเมืองคัชการ์ เมืองที่ถือเป็นหัวใจหลักบนเส้นทางสายไหมในอดีต ด้วยระยะทาง 725 กม. หลังเคลื่อนตัวออกมาได้ไม่นาน ก็ต้องพบกับพายุทะเลทรายมากมาย เนื่องจากสภาพอากาศไม่สดใสเหมือนทุกวัน มีลมพัดแรงอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่มาพร้อมกับพายุ คือ บรรดาฝุ่น และเม็ดทรายที่พัดโหมกระหน่ำเข้าหารถ ตามแรงลมของพายุ จนรถของเรา รวมถึงรถคันอื่นอีกหลายคัน โดนเม็ดทรายกระแทกกระจกจนแตกเป็นแผลเล็กๆ ทันทีที่แจ้งเรื่องนี้ทีมงาน และทีมเซอร์วิศ ก็รีบเข้ามาดูแลทันที ด้วยการหยอดกาวสมานแผลไม่ให้ลามแตกออกไป ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ในช่วงบ่ายทีมคาราวานหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันกันที่เมืองอัคสุ (AKSU) เมืองใหญ่เมืองหนึ่งในภูมิภาคซินเกียง (ที่แผนเดิมเราจะมาพักค้างคืนกันที่เมืองนี้) หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็ออกเดินทางต่อ โดยเส้นทางในช่วงบ่ายยังคงเหมือนเดิม ไม่นานเราก็มาถึงเมืองคาชการ์ และเข้าพักในโรงแรมซึ่งอยู่ติดกับอนุสาวรีย์ท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุงวันที่หก ท่องเที่ยวชมเมืองคัชการ์ หยุดเที่ยวเมืองมุสลิม ที่เหมือนไม่ได้อยู่ในจีน
หลังจากเดินทางไกลมาหลายวัน วันนี้เป็นวันแรกที่คาราวานจะได้หยุดพักเที่ยวชมเมืองคัชการ์ (KASHGAR) เมืองที่ตั้งอยู่สุดพรมแดนทางตะวันตกของจีน บนแอ่งที่ราบทาริม (TARIM) บนขอบทะเลทรายตากลิมากันอันกว้างใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากทะเลทรายซาฮารา (SAHARA) เคยถูกยึดครอง ทั้งจากอังกฤษ รัสเซีย รวมถึงชนชาติอาหรับ และจีนในปัจจุบัน ที่นี่อาจเป็นเพียงแห่งเดียวในโลก ที่ผู้มาเยือนจะมีโอกาสได้เห็นชาวมุสลิมคีบตะเกียบและกินก๋วยเตี๋ยวกันอย่างเอร็ดอร่อย สถานที่แรกในวันนี้ คือ ตลาดค้าส่งหลักประจำเมือง (KASHGAR WESTERN & ASIAN BAZAAR FOR INTERNATIONAL TRADE) มีสินค้าแทบจะทุกประเภทตั้งแต่เครื่องเทศ เสื้อผ้าพื้นเมือง ผ้าพันคอ รองเท้า เครื่องหนัง ขนม ของเล่น ฯลฯ ทีมคาราวานหลายคนได้ของกันมากมาย เพราะของที่นี่ราคาถูกมาก ผู้คนก็น่ารักยิ้มแย้มจนฟันขาว ต่อด้วยเมืองเก่า โดยเมืองเก่าของคัชการ์นั้นมีอยู่ 2 ที่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ฝั่งหนึ่งเป็นเมืองเก่าที่ไม่ได้รับการบูรณะ ส่วนอีกฝั่งเป็นเมืองเก่าที่สร้างขึ้นมาภายหลัง และได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 5A (สถานที่ท่องเที่ยวในกลุ่มที่ดีที่สุดของจีน) จากนั้นไปเยี่ยมชมมัสยิดอิดกาห์ มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในจีน รองรับคนได้ถึงหนึ่งหมื่นคน คำว่า "อิดกาห์" เป็นภาษาฟาร์ซี หมายถึง สถานที่แห่งเทศกาล ทุกวันศุกร์ชาวมุสลิมเผ่าอุยกูร์จะมารวมตัวประกอบพิธีศาสนกิจกันที่นี่ โดยสถาปัตยกรรมของมัสยิดแห่งนี้เป็นสไตล์เอเชียกลางขนานแท้วันที่เจ็ด คัชการ์-ซารีทัช สวรรค์บนดิน ที่มีอยู่จริง
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของคาราวานในประเทศจีน หลังจากนี้จะเข้าสู่เอเชียกลาง โดยเริ่มต้นกันที่ประเทศ "คีร์กีซสถาน" เป้าหมายของเราอยู่ที่หมู่บ้านซารีทัช (SARY TASH) แม้ระยะทางเพียง 310 กม. จากคัชการ์ แต่คาราวานก็ต้องออกตั้งแต่ 7 โมงเช้า เพราะต้องผ่านด่านตรวจชายแดนถึง 3 ด่าน ซึ่งแต่ละด่านก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป อาจใช้เวลาพอสมควร หลังจากเคลื่อนขบวนออก เส้นทางยังเป็นที่ราบกึ่งทะเลทรายที่คุ้นเคย เราใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ก็ถึงด่านขาออกจากประเทศจีน ทุกคนต้องนำหนังสือเดินทางออกมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจ และประทับตรา พร้อมทั้งเอกสารข้ามแดนของรถทุกคัน หลังเสร็จจุดนี้ ก็มีจุดอีกจุดริมชายแดนจีน คาราวานผ่านด่านตรวจของประเทศคีร์กีซสถาน ที่เมืองอีร์เกชทัม (IRKESHTAM) ผ่านเขตที่เรียกว่า "NO MAN'S LAND" หรือดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ ระหว่าง 2 ประเทศ ไม่นานนักก็เข้าสู่ประเทศคีร์กีซสถานอย่างเป็นทางการ คีร์กีซสถาน เป็นประเทศที่แยกตัวหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย เมื่อปี 1991 เช่นเดียวกับ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน และเตอร์กเมนิสถาน โดยทั้ง 5 ประเทศนี้ เรียกรวมกันว่าเป็นเขตเอเชียกลาง คีร์กีซสถาน เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เมืองหลวง คือ "บิชเคก" ภูมิประเทศรายล้อมไปด้วยภูเขาสูงเกือบ 90 % ของพื้นที่ และปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งบนยอดเขาตลอดปี ดังนั้นใครที่รักภูเขาจะหลงรักคีร์กีซสถานอย่างแน่นอน หลังจากคาราวานเข้ามาในคีร์กีซสถานได้ไม่นาน ความงดงามของธรรมชาติก็เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว สร้างความตื่นตะลึงให้กับคาราวานทุกคน ซึ่งเมื่อคาราวานไต่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาแตะที่ความสูงกว่า 3,000 ม. เราก็ได้สัมผัสกับทิวทัศน์สองข้างทางที่เหมือนกับภาพวาด หรือรูปในวอลเพเพอร์ ช่างงดงามอะไรเช่นนี้ ที่พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางขุนเขาสีเขียวที่กว้างไกลสุดสายตา บนยอดเขามีหิมะปกคลุมเคียงคู่กับก้อนเมฆสีขาวปนดำ ถนน 2 เลนที่ตัดผ่านเขาเหล่านี้เหมือนกับว่ากำลังพาเราเข้าสู่แดนสวรรค์ ธรรมชาติดูแปลกตากว่าที่เคยได้พบมา ผ่านไปไม่นาน ทีมคาราวานก็มาถึงหมู่บ้านซารีทัช หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขาและธรรมชาติที่สวยงาม เราพักกันที่เกสต์เฮาส์ใจกลางหมู่บ้าน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศมาสัมผัสวิถีชีวิตคนพื้นที่อย่างแท้จริง ได้รับประทานอาหารท้องถิ่น นอนท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม และพูดคุยกับชาวคีร์กีส ซึ่งทุกคนใจดีและยิ้มแย้ม พร้อมต้อนรับคณะของเราเป็นอย่างดี ถือเป็นการจบวันด้วยความประทับใจอย่างไม่รู้ลืมวันที่แปด ซารีทัช-ออช เมืองที่มีแต่ความอบอุ่น
วันนี้เรามุ่งหน้าสู่เมืองออช (OSH) ระยะทาง 185 กม. ทำให้ในช่วงเช้าคาราวานพอมีเวลาได้ชมความงามและสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านซารีทัชกันมากขึ้น การดำเนินชีวิตของชาวบ้านเป็นไปอย่างเรียบง่าย ส่วนมากประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ ในยามเช้าเราจะได้เห็นภาพของการจูงฝูงแพะออกมาเดินเล่น และบรรดาฝูงม้าที่ยืนเล็มหญ้าในทุ่งหญ้า เป็นภาพที่ให้ความสดชื่นและประทับใจแก่ทีมคาราวานทุกคน 9 โมงเช้า คาราวานเริ่มเดินทางสู่เมืองออช เส้นทางยังคงเป็นถนน 2 เลนผ่านหุบเขาสวยตามธรรมชาติมากมาย ระหว่างทางเจอฝูงแกะโดยมีคนพื้นถิ่นขี่ลาไล่ต้อนมาบนถนน มีการจอดรถถ่ายภาพในบางช่วง ต้องยอมรับว่าประเทศนี้ วิวสวยจริงๆ จนกระทั่งเข้าสู่เขตเมืองออช เมืองออช เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 มีทั้งเขตซากเมืองเก่าและเมืองใหม่ เราเริ่มสำรวจที่แรกกันที่ตลาดหลักประจำเมือง ซึ่งเป็นตลาดท้องถิ่นขนานแท้ จำหน่ายสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งเสื้อผ้า หมวก รองเท้า ของเล่น ขนม และของฝาก ส่วนอีกฝั่งเป็นตลาดสดให้ได้เดินชมวิถีชาวเมืองออช ซึ่งจากที่ได้สัมผัสต้องบอกว่าเป็นอีกเมืองที่ผู้คนมีความเป็นมิตร และอัธยาศัยดีมาก ช่วงเย็นเราได้ไปชมวิวสวยๆ ของเมืองที่ SOLOMON'S THRONE ซึ่งเป็นเนินเขาใจกลางเมือง เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาจะได้เห็นวิวของเมืองออชแบบ 360 องศา ณ จุดนี้เหมือนเวลาหยุดลงชั่วขณะ สวยงามมากจริงๆ หลังจากเก็บภาพความประทับใจเต็มที่ เราก็รับประทานอาหารพักผ่อนตามอัถยาศัยวันที่เก้า ออช-ทัชเคนท์ อุซเบกิสถาน กับการข้ามแดนกว่า 9 ชม.
ภารกิจวันนี้คือต้องข้ามแดนเข้าประเทศอุซเบกิสถานให้ได้ก่อน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมืองทัชเคนท์ (TASHKENT) ด้วยระยะทาง 395 กม. ซึ่งขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของอุซเบกิสถานนั้นค่อนข้างยุ่งยาก สร้างความกังวลให้คาราวานพอสมควร กับระบบการตรวจที่เข้มงวดมาก และยังไม่ค่อยทันสมัย โดยขั้นตอนเริ่มตั้งแต่การแยกผู้โดยสารและคนขับรถออกจากกัน ให้ผู้โดยสารเดินผ่านเข้าไปก่อน พร้อมกับการโดนตรวจค้นที่ละเอียดมาก ทั้งโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โนทบุค และของส่วนตัวทุกอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้นำเอารูปภาพหรือสิ่งที่ไม่เหมาะสมเข้ามา มีการสอบถามอย่างละเอียดทีละคน คนละหลายรอบ ตั้งแต่ด่านแรก จุดประทับตราวีซา จนถึงขั้นพิธีการศุลกากร (CUSTOM CLEARANCE) ในส่วนของการตรวจรถก็มีขั้นตอนที่ยุ่งยากไม่น้อยไปกว่ากัน ต้องตรวจเอกสาร ระบบต่างๆ และสัมภาระทุกชิ้น และสุนัขทหารที่มาดมกลิ่นตรวจหาสิ่งต้องห้ามบนรถกันอีก 1 รอบ โดยกว่าจะผ่านมาได้ก็ 6 โมงเย็นพอดี ถือว่าตรวจเข้มมาก หลังจากขบวนเดินทางไปไม่นาน เราก็เจอกับด่านตรวจหนังสือเดินทางอีก 2 ด่าน โดยในด่านที่ 2 มีการตรวจที่ละเอียดมาก ขนาดที่ทุกคนต้องลงจากรถเพื่อไปเข้าแถวตรวจเป็นรายบุคคล จึงเสียเวลาไปอีกกว่าชั่วโมง เมื่อต้องผ่านการตรวจอันเข้มข้นมาถึง 4 ครั้งภายในวันเดียว ทีมคาราวานจึงรีบเดินทางต่อ สภาพถนนในช่วงนี้ค่อนข้างแคบ และมืดมาก ต้องอาศัยไฟหน้าของรถเท่านั้น นอกจากนี้ยังเจอรถท้องถิ่นที่ขับมาแทรกในขบวนคาราวานตลอดทาง ทำให้ทุกคันต้องขับกันอย่างระมัดระวัง จนถึงเมืองทัชเคนท์ในเวลาเกือบตี 4 ถือเป็นวันที่ค่อนข้างวุ่นวาย และเหนือการควบคุมของทีมคาราวาน แต่ก็ต้องชื่นชมทุกคนในการเดินทางครั้งนี้ ที่ให้ความร่วมมือเต็มที่ สู้ไม่ถอย แม้มีอุปสรรคเข้ามาเกือบตลอดทั้งวัน และถือเป็นการสิ้นสุดการขับรถของเรากลุ่ม 2 ณ เมืองนี้วันที่สิบ ชมเมืองทัชเคนท์-อินชอน-กรุงเทพฯ ทัชเคนท์ เมืองที่งดงามทั้งคน และสถานที่
คณะเราเดินทางมาถึงเมืองทัชเคนท์ เมืองหลวงของประเทศอุซเบกิสถาน เป็นที่เรียบร้อย ถือเป็นการสิ้นสุดภารกิจการเดินทางของกลุ่ม 2 (ตุนหวง-ทัชเคนท์) ระยะทางกว่า 3,200 กม. อุซเบกิสถาน เป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเอเชียกลางที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 และยังจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลถึง 2 ชั้น (DOUBLE-LANDLOCKED COUNTRIES) หมายถึง ประเทศที่ถูกล้อมรอบด้วยประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล หรือถูกปิดล้อมด้วยแผ่นดิน โดยประเทศที่อยู่ในกลุ่ม DOUBLE-LANDLOCKED COUNTRIES นั้นมีเพียง 2 ประเทศในโลก คือ อุซเบกิสถาน และลิคเตนชไตน์ ทัชเคนท์ ในอดีตเป็นเขตใจกลางเส้นทางสายไหมทางฝั่งเอเชียกลาง จึงทำให้บริเวณนี้เป็นจุดศูนย์รวมของวัฒนธรรม ทั้งเติร์ก เปอร์เซีย อุซเบก และทาจิก ปัจจุบันทัชเคนท์จัดว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง ที่มีจำนวนประชากรกว่า 2 ล้านคน เราไปต่อกันที่ KHAST IMAM COMPLEX ซึ่งประกอบด้วยมัสยิดสุสานบุคคลสำคัญในอดีด และโรงเรียนสอนศาสนา ตกแต่งด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมแบบเปอร์เซียอันวิจิตรตระการตา จากนั้นไปเยี่ยมชมอนุสาวรีย์ อมีร์ ติมูร์ (AMIR TIMUR) หรือทาเมอร์เลนข่าน วีรกษัตริย์ที่ชาวอุซเบกิสถานนับถือ และเป็นทายาทรุ่นหลานของเจงกิสข่าน กษัตริย์นักรบแห่งมองโกเลีย เดินสำรวจเมืองกันพอสมควร ก็ได้เวลาอันสมควรแล้วสำหรับคณะของเรากลุ่ม 2 ที่ต้องเดินทางสู่สนามบินเพื่อกลับประเทศไทย โดยเราต้องนั่งเครื่องจากทัชเคนท์ไปต่อเครื่องที่อินชอน สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อบินกลับประเทศไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ การเดินทางครั้งนี้นับเป็นการเดินทางที่นานที่สุด และตื่นเต้นที่สุดสำหรับผม หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่รัก "ชีวิตอิสระ" ด้วยนะครับขอขอบคุณ
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ให้เราร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ABOUT THE AUTHOR
วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
คำค้นหา