มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์ ดีทรอยท์ 2014
ตอนกลางปีงูเล็ก มีข่าวใหญ่จากเมืองมะกันซึ่งทำให้ทีมงานของเราที่ "สื่อสากล" ต้องล้อมวงถกเถียงกันว่า THE NORTH AMERICAN INTERNATIONAL AUTO SHOW (NAIAS) หรือ งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ประจำปี 2014 ซึ่งกำหนดมีขึ้นระหว่างวันที่ 13-26 มกราคม ของปีม้าทอง จะมีขึ้นตามกำหนดเดิมหรือไม่ ? นั่นคือข่าว DETROIT BANKRUPTCY หรือข่าวการล้มละลายของเมืองดีทรอยท์ ซึ่งว่ากันว่าที่ต้องจนแต้มก็เพราะหนี้สินก้อนสูงถึง 18,000-20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือเท่ากับประมาณ 594,000-660,000 ล้านบาทไทยนั่นเทียว
ตามข่าวอยู่พักหนึ่งจึงทราบว่า การล้มละลายที่ว่านี้ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่องานแสดงรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาอย่างงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ เมืองจะล้มละลายก็ล้มไปแต่งานนี้ยังคงเดินหน้าต่อเพราะไม่เกี่ยวกัน งานนี้เมืองดีทรอยท์ไม่ได้เป็นผู้จัด แต่ผู้จัดงาน คือ เอกชน เทียบกันในบ้านเราก็คือ เกิดอะไรกับกอทอมอของคุณชายสุขุมพันธ์ก็จงเกิดไป (รวมทั้งน้ำท่วม) งานมหกรรมยานยนต์ MOTOR EXPO ก็ยังจัดได้
เรื่องราวของเมืองดีทรอยท์นี้นับว่าน่าสนใจมากและน่าจะเป็น CASE STUDY หรือ "กรณีศึกษา" ที่ดีสำหรับเมืองอื่นๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและในบ้านเรา เมืองดีทรอยท์ก่อตั้งเมื่อปี 1701 และเจริญเติบโตจนกลายเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐมิชิแกน (MICHIGAN) และได้รับการขนานนามว่าเป็น PARIS OF THE WEST ของสหรัฐอเมริกา ยิ่งกว่านั้นยังถือกันด้วยว่าเมืองนี้ คือ THE CRADLE OF THE U.S.AUTO INDUSTRY หรือ "จุดกำเนิดของอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐอเมริกา" บริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ คือ เจเนอรัล มอเตอร์ส คัมพานี (GENERAL MOTORS COMPANY) หรือ "จีเอม" ก็มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองนี้ เป็นอาคารใหญ่โตโอ่โถงอยู่ห่างไม่กี่ร้อยเมตรจากสถานที่จัดงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ที่คณะของเราเดินทางไปเยือนเป็นประจำทุกปีนับแต่ปี 2007
ไม่น่าเชื่อว่าเมืองที่เคยเจริญรุ่งเรืองและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกนี้จะประสบภาวะตกต่ำถึงขนาดผู้คนอพยพหลบหนีไปหากินที่เมืองอื่น จำนวนประชากรที่เคยสูงถึง 1.9 คน ในปี 1950 ลดเหลือเพียง 710,000 คนในปี 2010 และมีแนวโน้มว่ายังหดตัวอยู่เรื่อยๆ เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลายสภาพเป็นเมืองเน่า โรงแรมที่เราพักกันเป็นประจำทุกปีบอกไว้ในเวบไซท์ว่าตั้งอยู่ในย่านดาวน์ทาวน์ เดินทางไปครั้งแรกเมื่อปี 2007 เห็นสภาพแวดล้อมแล้วต้องเกาหัว ดาวน์ทาวน์ประเทศไหนกันที่มีทั้งตึกร้างและทุ่งโล่งๆ เดินไปโน่นมานี่ก็ไม่ค่อยเจอะเจอผู้เจอะเจอคน ขนาดเป็นช่วงที่มีงานใหญ่นะเนี่ย ช่วงหมดงานแล้วไม่ทราบว่าเมืองจะร้างผู้ร้างคนขนาดไหน ? เมื่อเห็นข่าวการล้มละลายจึงไม่รู้สึกตกอกตกใจสักเท่าไร
พ้นจากเรื่องการล้มละลายไม่กี่เดือน ตอนต้นปีม้าทองก็เจอข่าวใหม่ นั่นคือ ภัยธรรมชาติที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า POLAR VORTEX ที่ทำให้หลายรัฐในประเทศอันยิ่งใหญ่นี้เจอปัญหาอากาศหนาวและพายุหิมะ โดยเฉพาะรัฐในแถบมิดเวสต์ (MIDWEST) หรือ "ตะวันออกกลาง" ซึ่งมีรัฐมิชิแกนรวมอยู่ด้วย ข่าวบอกว่าบางเมืองอุณหภูมิอากาศลดต่ำกว่าอุณหภูมิบนดาวอังคารด้วยซ้ำ ! อ่านแล้วก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบนดาวอังคารน่ะหนาวขนาดไหน
คำถามก็คือ หนาวขนาดนี้มหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์จะจัดกันได้หรือเปล่า ? ถ้าจัดก็อาจจะเป็นงานแสดงยานยนต์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่รถในงานทุกคันเป็นรถที่วิ่งไม่ได้ เพราะเครื่องยนต์ขาดเชื้อเพลิง เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงในถังกลายสภาพจากเชื้อเพลิงเหลวเป็นเชื้อเพลิงแข็งไปหมดแล้ว ที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้างก็คือ เมื่อติดตามรายงานการพยากรณ์อากาศจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็พบว่า ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคมอุณหภูมิอากาศของดีทรอยท์ลดต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส แต่เมื่อเข้าสัปดาห์ที่สามซึ่งเป็นช่วงที่จัดงานอากาศจะอุ่นขึ้นมาก คือ จะต่ำกว่าขีด 0 ไม่กี่องศา ซึ่งก็ไม่หนาวกว่าที่เคยเจอะเจอกันมาแล้วในปีก่อนๆ สักเท่าไร
ที่สุดในตอนเช้ามืดของวันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม 2014 คณะของเราก็ได้เหยียบพื้นดินของเมืองดีทรอยท์ตามที่ตั้งใจไว้ การเดินทางทุกช่วงทุกตอนเป็นไปตามกำหนดการ และไม่มีปัญหาการเลื่อนหรือระงับเที่ยวบินเพราะภัยธรรมชาติอย่างที่เกรงกลัวกันก่อนการเดินทาง อากาศเหนือเมืองดีทรอยท์เป็นไปตามคำพยากรณ์ คือ ต่ำกว่าขีด 0 ไม่มาก และไม่มีหิมะตก แต่สองข้างถนนยังมีร่องรอยของความหนาวเหน็บระดับดาวอังคารหลงเหลืออยู่ มีทั้งคราบหิมะหนาเตอะ และหิมะที่กลายสภาพเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้ว
สถานที่จัดงานคือ โคโบ เซนเตอร์ (COBO CENTER) ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของ อัลเบิร์ท อี โคโบ (ALBERT E COBO) ที่ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีของเมืองดีทรอยท์ระหว่างปี 1950-1957 เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 1960 แต่เพิ่งเริ่มใช้เป็นที่จัดงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์เมื่อปี 1965 ส่วนชื่องาน NAIAS หรือ NORTH AMERICAN INTERNATION AUTO SHOW เพิ่งใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1989 ปี 2014 นี้จึงเป็นปีที่งาน NAIAS เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 25 ปี มีอะไรกันบ้างในการเฉลิมฉลองครั้งนี้ โปรดพลิกไปอ่านได้เลยครับใน 12 หน้าถัดจากนี้
CHEVROLET CORVETTE Z06
เชฟโรเลต์ ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกันเรียกความสนใจจากสื่อมวลชนได้อย่างล้นหลามด้วยรถแรง 2 แบบ แบบแรกในภาพเล็กซ้ายมือ คือ รถติดป้ายชื่อ เชฟโรเลต์ คอร์เวทท์ เซด 06 (CHEVROLET CORVETTE Z06) เป็นรถสปอร์ทสัญชาติอเมริกันพันธุ์แท้ที่พัฒนาต่อยอดจากรถ เชฟโรเลต์ คอร์เวทท์ สติงเรย์ (CHEVROLET CORVETTE STINGRAY) ซึ่งเปิดตัวในงานนี้เมื่อต้นปี 2013 หัวใจของรถแรงและเร็วโมเดลนี้ คือ เครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง OHV วี 8 สูบ 6,162 ซีซี ติดซูเพอร์ชาร์เจอร์ ซึ่งคาดหมายว่าจะให้กำลังสูงสุด 466 กิโลวัตต์/625 แรงม้า คือ สูงกว่าเครื่องยนต์ขนาดเดียวกันที่ติดตั้งในรถซึ่งเป็นที่มาถึง 127 กิโลวัตต์/165 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลัง เลือกได้ระหว่างเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ยังไม่มีการประกาศสนนราคาค่าตัว เนื่องจากกำหนดออกโชว์รูมของรถโมเดลนี้ คือ ต้นปี 2015
CHEVROLET CORVETTE C7.R
รถแรงอีกแบบหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกันนำออกอวดตัวในงานนี้คือรถติดป้ายชื่อ เชฟโรเลต์ คอร์เวทท์ ซี 7 ดอท อาร์ (CHEVROLET CORVETTE C7.R) เป็นรถแข่งที่ออกแบบ/พัฒนามาพร้อมๆ กับรถ เชฟโรเลต์ คอร์เวทท์ เซด 06 (CHEVROLET CORVETTE Z06) เพื่อใช้สำหรับการแข่งรถทางไกลอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า ENDURANCE RACING ซึ่งมีการแข่งขัน 24 HOURS OF LE MANS อันเลื่องชื่อรวมอยู่ด้วย รถแข่งรุ่นใหม่นี้ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง/หายใจอากาศธรรมดาขนาดความจุ 5.5 ลิตร ที่ไม่ระบุตัวเลขกำลังสูงสุดอย่างชัดเจน เพียงแต่บอกว่าไม่เกิน 500 แรงม้า ซึ่งเป็นขีดจำกัดของรถแข่งประเภทนี้ ในปี 2013 รถแข่งรุ่นเดิม คือ เชฟโรเลต์ คอร์เวทท์ ซี 6 ดอท อาร์ (CHEVROLET CORVETTE C6.R) ชนะการแข่งขันรวม 5 ครั้ง และคว้าทั้งตำแหน่งแชมพ์ผู้ผลิตและแชมพ์ผู้ขับ ความสำเร็จของรถรุ่นใหม่นี้จึงเป็นสิ่งที่น่าจะคาดหวังได้
CADILLAC ATS COUPE
ผู้ผลิตรถหรูซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ จีเอม ใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัว แคดิลแลค เอทีเอส คูเป (CADILLAC ATS COUPE) ที่เห็นในภาพบนซ้ายมือ นับเป็นรถเก๋งคูเปขนาดเล็กกะทัดรัดแบบแรกในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 1 ศตวรรษของค่ายนี้ และไม่ใช่รถที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่พัฒนาจากรถเก๋งซีดาน แคดิลแลค เอทีเอส (CADILLAC ATS) ซึ่งเพิ่งออกจำหน่ายเมื่อปีโมเดล 2013 ตัวถังยาว 4.665 ม. กว้าง 1.841 ม. และสูง 1.392 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน จะเริ่มออกโชว์รูมในฤดูร้อนของปีม้าพยศ โดยจะมีทั้งแบบขับล้อหลังแบบขับทุกล้อ และทั้ง 2 แบบจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี 203 กิโลวัตต์/272 แรงม้า ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเครื่องเบนซินฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 3,564 ซีซี 239 กิโลวัตต์/321 แรงม้า ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
CADILLAC ESCALADE
เปิดตัวในเมืองมะกันตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมของปีงูเล็ก แต่เพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงจริงเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คือ รถกิจกรรมกลางแจ้งพันธุ์แท้สุดหรูติดป้ายชื่อ แคดิลแลค เอสกาเลด (CADILLAC ESCALADE) เป็นรถรุ่นใหม่ (รุ่นที่ 4) ที่กำลังจะออกจำหน่ายในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2015 โดยมีตัวถังให้เลือกใช้รวม 2 ขนาดเหมือนรถรุ่นเดิม คือ ตัวถังขนาด 5.180x2.044x1.889 ม. กับตัวถังขนาด 5.698x2.044x1.880 ม. ทั้ง 2 ขนาดเป็นตัวถังซึ่งติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 3 แถว นั่งได้รวม 7 คน (2+2+3) หรือ 8 คน (2+3+3) และเป็นตัวถังที่มีโครงสร้างเหมือนรถกระบะ คือ โครงสร้างอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า BODY ON FRAME มีทั้งแบบขับล้อหลังและขับทุกล้อ แต่มีเครื่องยนต์เพียงขนาดเดียว คือ เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง OHV วี 8 สูบ 6,162 ซีซี 313 กิโลวัตต์/420 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ HYDRA-MATIC
CHRYSLER 200
ยักษ์เล็กของเมืองมะกันมีผลงานที่อวดตัวแบบ"ครั้งแรกในโลก"ที่งานนี้ชิ้นเดียว คือ ไครสเลอร์ 200 (CHRYSLER 200) ที่เห็นในภาพเล็กและภาพใหญ่ขวามือ เป็นรถรุ่นใหม่ซึ่งไตรมาส 2 ของปีม้าพยศนี้จะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองมะกันในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2015 เป็นรถเก๋งซีดานขนาดกลาง ในตัวถังยาว 4.885 ม. กว้าง 1.871 ม. สูง 1.491 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.270 ที่ออกแบบและพัฒนาโดยใช้พแลทฟอร์มที่ขอหยิบขอยืมจากรถร่วมเครือ คือ อัลฟา โรเมโอ จูลิเอตตา (ALFA ROMEO GIULIETTA) จะมีรถให้เลือก 4 โมเดล คือ CHRYSLER 200 LX-CHRYSLER 200 LIMITED-CHRYSLER 200S-CHRYSLER 200C และมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด คือเครื่องเบนซิน SOHC 4 สูบเรียง 2,360 ซีซี 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า กับเครื่องเบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3,605 ซีซี 216 กิโลวัตต์/295 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์มีแบบเดียว คือ เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
FORD MUSTANG FASTBACK/FORD MUSTANG CONVERTIBLE
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม 2013 ขณะที่ประชาชนชาวไทยเฉลิมฉลองวาระสำคัญ ยักษ์รองของเมืองมะกันก็ถือเป็นฤกษ์ดีในการนำรถสายเลือดอเมริกันพันธุ์แท้ติดป้ายชื่อ ฟอร์ด มัสแตง (FORD MUSTANG) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 6 ออกอวดตัวพร้อมๆ กันใน 6 เมืองของ 4 ทวีป คือ เมืองเดียร์บอร์น/นิวยอร์ค/ลอสแองเจลิสในสหรัฐอเมริกา เมืองบาร์เซโลนาในสเปน เมืองซิดนีย์ในออสเตรเลีย และเมืองเซี่ยงไฮ้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ต้องรอจนถึงงานนี้นี่แหละจึงเป็นโอกาสแรกที่ผู้คนทั่วไปได้มีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงจริงของรถรุ่นใหม่นี้ เป็นรถที่ออกแบบใหม่หมดตั้งแต่หัวจรดหาง ชิ้นส่วนตัวถังทุกชิ้นล้วนทำขึ้นใหม่ มีเพียงตัวยึดเพียง 2 ตัวเท่านั้นที่ตกทอดมาจากรถรุ่นเดิม จุดที่น่าสนใจเป็นพิเศษของรถรุ่นใหม่ซึ่งมีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ ตัวถังฟาสต์แบคขนาด 4.783x1.915x1.382 ม. กับตัวถังเปิดประทุนขนาด 4.783x1.915x1.394 ม. นี้ คือ เป็นรถที่ออกแบบ/พัฒนาตามโครงการ ONE FORD โดยตั้งใจให้เป็นรถแบบเดียวที่จำหน่ายในตลาดทั่วโลก จึงจะมีการผลิตทั้งรถพวงมาลัยซ้ายและรถพวงมาลัยขวา อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนฐานะจากรถที่เน้นเฉพาะตลาดอเมริกาเหนือเป็นรถที่ขายทั่วโลกดังที่ว่านี้ ไม่ได้ทำให้รถรุ่นที่ 6 สูญเสียเอกลักษณ์ของความเป็นรถ ฟอร์ด มัสแตง ที่อยู่ในสายผลิตต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 1964 แต่อย่างใด "WE DIDN'T DECIDE TO DO A GLOBAL MUSTANG" นายใหญ่ผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนารถรุ่นนี้กล่าว "WE DECIDED TO TAKE THE MUSTANG GLOBAL" จะเริ่มขายในเมืองมะกันก่อนสิ้นปีม้าพยศ โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 ขนาด คือ เครื่อง ECOBOOST DOHC 4 สูบเรียง 2,300 ซีซี 224 กิโลวัตต์/305 แรงม้า เครื่องเบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3,727 ซีซี 220 กิโลวัตต์/300 แรงม้า และเครื่องเบนซิน DOHC วี 8 สูบ 4,951 ซีซี 309 กิโลวัตต์/420 แรงม้า
FORD EDGE CONCEPT
ฟอร์ด เอดจ์ (FORD EDGE) เป็นชื่อของ MID-SIZE CROSSOVER SUV หรือ รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดกลาง ที่ยักษ์รองเมืองมะกันเริ่มบรรจุเข้าสู่สายการผลิตของโรงงานซึ่งตั้งอยู่ในแคนาดาเมื่อปีโมเดล 2007 ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแอนเจลิสครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนของปีงูเล็ก ยักษ์รองเจ้านี้เปิดเผยทิศทางของรถ ฟอร์ด เอดจ์ รุ่นใหม่ซึ่งอีกไม่นานก็คงจะออกตลาด โดยนำรถแนวคิดติดป้ายชื่อ ฟอร์ด เอดจ์ คอนเซพท์ (FORD EDGE CONCEPT) ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก และนำรถคันดังกล่าวออกฉายซ้ำอีกครั้งที่งานนี้ มีขนาดตัวถังใกล้เคียงกันมากกับรถที่จำหน่ายอยู่ในขณะนี้ แต่หน้าตาและรูปทรงองค์เอวเปลี่ยนไปจนน่าจะทำให้ผู้ที่ใช้รถแบบนี้อยู่แล้วอยากจะเปลี่ยนรถ ที่น่าสนใจไม่แพ้สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยตา คือเทคโนโลยีที่อัดแน่นอยู่ในรถแนวคิดคันนี้ ตัวอย่างเช่น ระบบช่วยจอดรถ และระบบช่วยหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวาง
FORD F-150
รถพิคอัพเพียงคันเดียวที่เลือกมาให้ชมกัน คือรถติดป้ายชื่อ ฟอร์ด เอฟ-150 (FORD F-150) รุ่นใหม่ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถพิคอัพขนาดใหญ่ที่ยักษ์รองเมืองมะกันโอ่อวดว่า บึกบึนทนทานและไฮเทคที่สุดเมื่อเทียบกับรถแบบเดียวกันทุกรุ่นที่เคยทำขาย มีกำหนดออกโชว์รูมในเมืองมะกันก่อนสิ้นปีม้าพยศ โดยมีตัวถังให้เลือกถึง 3 แบบ คือ ตัวถัง REGULAR (ยาว 5.316 และ 5.789 ม.) ตัวถัง SUPERCAB (ยาว 5.890 และ 6.363 ม.) และตัวถัง SUPERCREW (ยาว 5.890 และ 6.190 ม.) ส่วนเครื่องยนต์มีให้เลือกอย่างจุใจถึง 4 ขนาด คือ เครื่องเบนซิน ECOBOOST DOHC 4 สูบเรียง 2.7 ลิตร เครื่องเบนซิน ECOBOOST วี 6 สูบ 3.5 ลิตร เครื่องเบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3.5 ลิตร และเครื่องเบนซิน DOHC วี 8 สูบ 5.0 ลิตร มีทั้งแบบขับล้อหลัง (4x2) และแบบขับทุกล้อ (4x4) แต่มีระบบเกียร์แบบเดียว คือ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
LINCOLN MKC
ฉายซ้ำอีกครั้งในงานนี้ หลังจากเพิ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนของปีงูเล็ก คือ รถสายเลือดอเมริกันพันธุ์แท้ติดป้ายชื่อ ลินคอล์น มาร์คซี (LINCOLN MKC) ที่เห็นในภาพเล็กและภาพใหญ่ขวามือ เป็นรถเก๋งซีดานขนาดเล็กกะทัดรัด ในตัวถังยาว 4.552 ม. กว้าง 1.864 ม. และสูง 1.656 ม. ซึ่งไตรมาสที่ 2 ของปีม้าพยศนี้จะเริ่มการผลิตที่โรงงานซึ่งตั้งอยู่ในรัฐเคนทัคคีและออกจำหน่ายในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2015 จะมีทั้งแบบขับล้อหน้าและขับทุกล้อ แบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส PREMIERE-SELECT-RESERVE และมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด คือ เครื่อง เบนซิน ECOBOOST DOHC 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร 176 กิโลวัตต์/240 แรงม้า กับเครื่องเบนซิน ECOBOOST DOHC 4 สูบเรียง 2.3 ลิตร 210 กิโลวัตต์/285 แรงม้า ค่าตัว MSRP เริ่มต้นที่ 33,995 เหรียญสหรัฐ ฯ
MERCEDES-BENZ C-CLASS
เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ดาวสามแฉก" เรียกแขกเข้าบ้านชนิด "หัวกระไดไม่แห้ง" ด้วยไม้เด็ด คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ C-CLASS) รุ่นใหม่ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถรุ่นที่ 4 และเป็นรถที่ออกแบบใหม่หมดตั้งแต่หัวจรดหางทั้งภายนอกและภายใน ที่น่าสนใจไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ เป็นรถที่สร้างปรากฏใหม่ของรถระดับนี้ขึ้นหลายรายการ ตัวอย่าง คือ เครื่องยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 103 กรัม/กม. ระบบรองรับแบบ AIR SUSPENSION และค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ต่ำเพียง 0.24 เริ่มรับใบสั่งจองแล้วในเยอรมนี โดยมีรถให้เลือก 3 โมเดล คือ MERCEDES-BENZ C 180 (เบนซิน 1,595 ซีซี 115 กิโลวัตต์/156 แรงม้า) MERCEDES-BENZ C 200 (เบนซิน 1,991 ซีซี 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า) และ MERCEDES-BENZ C 220 BLUETEC (ดีเซล 2,143 ซีซี 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า)
MERCEDES-BENZ GLA 45 AMG
ปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เช่นกัน คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอ 45 เอเอมจี (MERCEDES-BENZ GLA 45 AMG) รถโมเดลหัวกะทิผลงานชิ้นใหม่เอี่ยมแกะกล่องของสำนัก AMG ผู้ดูแลเรื่องรถแรงของค่ายนี้ มีกำหนดออกจำหน่ายในเมืองแม่พร้อมกับรถ จีแอลเอ-คลาสส์ โมเดลอื่นๆ ในเดือนกรกฎาคมของปีม้าพยศ นอกจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทั้งภายนอกและภายในตัวถังแล้ว สิ่งสำคัญที่ทำรถโมเดลนี้พิเศษกว่ารถโมเดลอื่นๆ คือ เครื่องยนต์ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ฝากระโปรงหน้า เป็นเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,991 ซีซี 265 กิโลวัตต์/360 แรงม้า ตัวเลขที่ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ ที่ทรงพลังที่สุดในขณะนี้ ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังเป็นเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ สมรรถนะความเร็วตามข้อมูลของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.
BMW 2-SERIES COUPE
ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" นำผลงานใหม่ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ถึง 3 รายการ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-2 คูเป (BMW 2-SERIES) ในภาพบน เป็นรถเก๋งคูเปขนาด SUBCOMPACT หรือเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ที่กำลังจะเข้าสู่สายการผลิตแทนที่รถรถรุ่นเดิมซึ่งติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 คูเป (BMW 1-SERIES COUPE) ตัวถังทรงสามกล่อง ยาว 4.432 ม.กว้าง 1.774 ม.สูง 1.418 ม.ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คนและมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.29-0.33 มีรูปทรงองค์เอวที่ดูเผินๆ เหมือนเป็นรถซีดานมากกว่ารถคูเป ในเมืองมะกันรถขับล้อหลังอนุกรมนี้จะมีรถให้เลือกเพียง 2 โมเดล คือ BMW 228I COUPE ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 176 กิโลวัตต์/240 แรงม้า กับ BMW M235I COUPE ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 2,979 ซีซี 235 กิโลวัตต์/320 แรงม้า
BMW M3 SEDAN/BMW M4 COUPE
ในบรรดารถใหม่รวม 3 รุ่น ที่ค่ายบีเอมดับเบิลยูนำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ดังที่กล่าวไปแล้ว มีอยู่รวม 2 รุ่น ที่เป็นรถแรงรหัส M คือ คันสีฟ้าซึ่งติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู เอม 3 ซีดาน (BMW M3 SEDAN) กับคันสีเหลืองซึ่งติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู เอม 4 คูเป (BMW M4 COUPE) คันแรกซึ่งเป็นรถ 4 ประตู/4 ที่นั่ง ในตัวถังขนาด 4.671x1.877x1.424 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.34 เป็นรถรุ่นใหม่ที่ค่ายนี้บรรจุเข้าสู่สายการผลิตแทนที่รถชื่อเดียวกันรุ่นเดิมที่ผลิตในช่วงปี 2007-2011 ส่วนคันหลังซึ่งเป็นรถ 2 ประตู/4 ที่นั่ง ในตัวถังขนาด 4.671x1.870x1.383 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.34 เช่นกัน เป็นรถรุ่นใหม่และชื่อใหม่ซึ่งจะเป็นตัวตายตัวแทนของรถติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู เอม 3 คูเป (BMW M3 COUPE) รุ่นที่ 4 ที่เพิ่งถูกปลดจากสายการผลิตในเมืองเบียร์เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2013 หลังจากขายไปแล้วมากกว่า 40,000 คัน รถแรงรหัส M ทั้ง 2 รุ่นนี้ เป็นรถขับล้อหลังซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดียวกัน คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,979 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 317 กิโลวัตต์/431 แรงม้า ที่ 5,500-7,300 รตน. และแรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร/56.1 กก.-ม. ที่ 1,850-5,500 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิตก็เป็นตัวเลขเดียวกันทั้ง 2 รุ่น กล่าวคือ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.3 วินาที เมื่อเป็นเกียร์ธรรมดา และลดเหลือแค่ 4.1 วินาที เมื่อเป็นเกียร์อัตโนมัติ ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ที่น่าทึ่งมากสำหรับรถระดับนี้ก็คือ เมื่อติดตั้งเกียร์คลัทช์คู่ จะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ต่ำเพียง 8.3 ลิตร/100 กม. หรือ 12.0 กม./ลิตร กับมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 194 กรัม/กม.
PORSCHE 911 TARGA 4/PORSCHE 911 TARGA 4S
หนึ่งในบรรดารถใหม่หลายคันที่แต่งแต้มสีสันให้แก่มหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งนี้ได้อย่างดี คือ รถสปอร์ทสายพันธุ์เยอรมันติดป้ายชื่อ โพร์เช 911 ทาร์กา (PORSCHE 911 TARGA) ซึ่งใช้เวทีหมุนขนาดยักษ์ในงานนี้เป็นที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เป็นรถ โพร์เช 911 ในตัวถังเปิดประทุนซึ่งมีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า TARGA อันเป็นชื่อที่ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์จดทะเบียนสิทธิบัตรไว้แล้วตั้งแต่ปี 1966 ผู้ผลิตรายอื่นนำไปใช้ไม่ได้ ไม่ใช่รถใหม่ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่พัฒนาจากรถเปิดประทุน โพร์เช 911 คาร์เรรา กาบริโอเลต์ (PORSCHE 911 CARRERA CABRIOLET) รุ่นล่าสุดซึ่งเริ่มจำหน่ายในเมืองแม่เมื่อปลายปี 2012 เป็นรถขับทุกล้อ 2+2 ที่นั่ง ที่แยกโมเดลให้เลือกรวม 2 โมเดล คือ PORSCHE 911 TARGA 4 (คันสีฟ้า) กับ PORSCHE 911 TARGA 4S (คันสีเทาเข้ม) รายละเอียดมากกว่านี้ โปรดติดตามอ่านใน "ระเบียงรถใหม่" เดือนเมษายน 2557
AUDI ALLROAD SHOOTING BRAKE
งานนี้ค่าย "สี่ห่วง" ดูหงอยเหงาไปหน่อย เพราะมีผลงานที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เพียงชิ้นเดียว แถมเป็นรถแนวคิดไม่ใช่รถตลาด คือ เอาดี ออลล์โรด ชูทิง เบรค (AUDI ALLROAD SHOOTING BRAKE) ที่เห็นในภาพเล็กขวามือ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งแฮทช์แบคขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ซึ่งรายละเอียดในบางจุดจะได้พบได้เห็นกันอีกครั้งหนึ่งในรถสปอร์ท เอาดี ทีที (AUDI TT) รุ่นใหม่ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์เจนีวาตอนต้นเดือนมีนาคมปีนี้ เป็นรถขับทุกล้อแบบไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง 2.0 ลิตร 215 กิโลวัตต์/292 แรงม้าและมอเตอร์ไฟฟ้า 40 กิโลวัตต์/54 แรงม้าร่วมกันขับล้อคู่หน้า และใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 85 กิโลวัตต์/116 แรงม้าขับล้อคู่หลัง ได้กำลังสุทธิสูงสุด 300 กิโลวัตต์/408 แรงม้า และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เยี่ยมมาก คือ แค่ 1.9 ลิตร/100 กม. หรือ 52.6 กม./ลิตร
VOLKSWAGEN BEETLE DUNE
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเมืองเบียร์นำผลงานใหม่ออกอวดตัวในงานนี้สองสามชิ้น เลือกมาเพียงชิ้นเดียวที่เห็นว่าน่าสนใจที่สุดคือรถติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน บีเทิล ดูน (VOLKSWAGEN BEETLE DUNE) ซึ่งปรากฏตัวให้เห็นแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดที่ว่ากันว่าปรับตรงโน้นนิดเปลี่ยนตรงนี้หน่อย ก็จะกลายสภาพเป็นรถตลาดอย่างสมบูรณ์ ตัวถังยาว 4.290 ม. กว้าง 1.856 ม.และสูง 1.536 ม. ดัดแปลงจากรถรุ่นสามัญโดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดในบางจุดเพื่อให้มีรูปลักษณ์และสมรรถนะการขับขี่เหมือนเป็นรถ "ออฟโรด" รวมทั้งขยายช่วงล้อหน้า และล้อหลังให้กว้างขึ้น 29 มม. กับติดล้อขนาดโต 19 นิ้ว ภายในห้องโดยสารที่นั่งได้รวม 4 คน ติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารและบันเทิงไว้ครบครัน รวมทั้งจอสัมผัสขนาด 7.7 นิ้ว ส่วนเครื่องยนต์ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ฝากระโปรงหน้าก็เป็นเครื่องขนาดโตพิเศษ คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง 155 กิโลวัตต์/210 แรงม้า
MINI JOHN COOPER WORKS CONCEPT
มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ คอนเซพท์ (MINI JOHN COOPER WORKS CONCEPT) รถแนวคิดซึ่งเมื่อเห็นป้ายชื่อเห็นหน้าเห็นตาและศึกษารายละเอียดทางเทคนิคแล้ว ฟันธงได้เลยว่าไม่เกินครึ่งปีนับจากนี้จะเปลี่ยนฐานะเป็นรถตลาดอย่างสมบูรณ์ เป็นรถแนวคิดที่ดัดแปลงเพียงเล็กน้อยจากรถ มีนี (MINI) รุ่นล่าสุดซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนของปีงูเล็ก ตัวถังเคลือบสีเทา BRITISH HIGHWAYS GREY คาดด้วยแถบสีแดงและสีขาว ติดตั้งสปอยเลอร์หน้าปีกท้ายและกระทะล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรถแนวคิดคันนี้ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดด้านเครื่องยนต์กลไก แต่คาดหมายกันว่าน่าจะเป็นเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงซึ่งให้กำลังสูงสุดระดับ 162 กิโลวัตต์/220 แรงม้า เพียงพอที่จะทำให้รถแรงโมเดลนี้สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาต่ำกว่า 6.5 วินาที และความเร็วสูงสุดระดับ 240 กม./ชม.
VOLVO CONCEPT XC COUPE
ในงานนี้หากมีการจัดเรียงตำแหน่งรถที่น่าสนใจติดอันดับ "ทอพเทน" ก็เชื่อได้เลยว่าน่าจะมีชื่อ โวลโว คอนเซพท์ เอกซ์ซี คูเป (VOLVO CONCEPT XC COUPE) รวมอยู่ด้วยแน่นอน นับเป็นรถแนวคิดคันที่สองในจำนวนรถแนวคิดรวม 3 คันที่ค่ายนี้รังสรรค์ขึ้นในยุคที่มี โธมัส อินเกนลัธ (THOMAS INGENLATH) นักออกแบบชาวเยอรมันวัย 50 ปีเป็นนายใหญ่ด้านการออกแบบ คันแรกอวดตัวไปก่อนแล้วที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทเมื่อกลางเดือนกันยายนของปีงูเล็ก ส่วนคันสุดท้ายเป็นรถสปอร์ทซึ่งจะตามมาที่งานมหกรรมยานยนต์ปักกิ่งปลายเดือนเมษายนที่กำลังจะมาถึงนี้ ทุกคันเป็นรถที่ออกแบบและพัฒนาโดยใช้พแลทฟอร์มชุดเดียวกัน เป็นพแลทฟอร์มที่ค่ายนี้ตั้งชื่อว่า SPA PLATFORM และจะตั้งใจจะนำมาใช้อย่างจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรกในรถตลาด โวลโว เอกซ์ซี 90 (VOLVO XC90) รุ่นใหม่ ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสในเดือนตุลาคมของปีม้าพยศนี้
HONDA FCEV CONCEPT
ฮอนดา เอฟซีอีวี คอนเซพท์ (HONDA FCEV CONCEPT) คือรถแนวคิดที่ยักษ์รองของเมืองยุ่นนำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน เมื่อปรากฏตัวซ้ำสองที่งานนี้ความสนใจจากบรรดาสื่อมวลชนจึงค่อนข้างเบาบาง ทั้งๆที่เป็นรถแนวคิดซึ่งมีจุดสนใจอยู่มากมาย รวมทั้งระบบขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์แบบใดๆ เป็นพลังไฟฟ้าจาก FUEL CELL หรือเซลล์เชื้อเพลิงที่ก่อเกิดพลังงานจากปฏิกิริยาทางเคมีจากไฮโดรเจนและออกซิเจน อันเป็นที่มาของชื่อรถ FCEV ซึ่งย่อจาก FUEL CELL-ELECTRIC VEHICLE ยักษ์รองของเมืองยุ่นบอกเล่าเก้าสิบว่าเมื่อเติมไฮโดรเจนเต็มถังโดยใช้เวลาแค่ 3 วินาที รถแบบนี้จะวิ่งได้ไกลกว่า 480 กม. รวมทั้งยืนยันด้วยว่าในปี 2015 จะนำรถแบบใหม่ซึ่งขับเคลื่อนด้วยระบบพลังที่ว่านี้ออกจำหน่ายแน่นอน ทั้งในญี่ปุ่นและในสหรัฐอเมริกา
ACURA TLX PROTOTYPE
รถเพียงแบบเดียวในงานนี้ที่ปรากฏตัวพร้อมกับป้ายชื่อ PROTOTYPE หรือ "รถต้นแบบ" ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยหรือเปลี่ยนก็แต่เพียงเล็กน้อย รถคันนี้ก็จะเปลี่ยนฐานะเป็นรถตลาดอย่างสมบูรณ์ เป็นต้นแบบของ MID-SIZE LUXURY SEDAN หรือรถเก๋งซีดานขนาดกลางระดับหรู ที่กลางปีม้าพยศนี้ อคูรา ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในร่มเงาของยักษ์รอง ฮอนดา จะนำออกสู่โชว์รูมในเมืองมะกัน แทนที่รถรุ่นเดิม 2 อนุกรม คือ อคูรา ทีแอล (ACURA TL) และ อคูรา ทีเอสเอกซ์ (ACURA TSX) พร้อมกับป้ายชื่อใหม่ คือ อคูรา ทีแอลเอกซ์ (ACURA TLX) เป็นรถ 4 ประตู/5 ที่นั่ง ตัวถังยาว 4.830 ม. ซึ่งจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 2 ขนาด คือเครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 2.4 ลิตร ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ กับเครื่องเบนซิน SOHC วี 6 สูบ 3.5 ลิตร ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
SUBARU WRX STI
ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2013 ยักษ์เล็กของเมืองยุ่นนำรถเก๋งขนาดเล็กกะทัดรัดที่ออกแบบ/พัฒนาสำหรับคนรักรถที่พิสมัยรถแรงและการแข่งแรลลี คือ รถ ซูบารุ ดับเบิลยูอาร์เอกซ์ (SUBARU WRX) รุ่นใหม่ออกอวดโฉมแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เจ้าของโลโก "ดาวลูกไก่" เติมเต็ม ด้วยรถโมเดลหัวกะทิ คือ ซูบารุ ดับเบิลยูอาร์เอกซ์ เอสทีไอ (SUBARU WRX STI) รถหน้าตาดูธรรมด๊าธรรมดาแต่แรงและเร็วจนเส้นขนทนนอนอยู่ไม่ได้ ตัวถังยาว 4.595 ม. กว้าง 1.795 ม. และสูง 1.475 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คนของรถโมเดลนี้ ติดตั้งระบบขับทุกล้อด้วยพลังของเครื่องเทอร์โบเบนซิน DOHC 4 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) 2,457 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 224 กิโลวัตต์/305 แรงม้า และถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ที่แตกต่างจากรถรุ่นเดิมก็คือ รถรุ่นใหม่นี้จะมีแต่ตัวถังซีดานไม่มีตัวถังแฮทช์แบค
TOYOTA FT-1 CONCEPT
อีกคันหนึ่งที่ควรจะบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อรถน่าสนใจติดอันดับ "ทอพเทน" เช่นกัน คือ โตโยตา เอฟที-1 คอนเซพท์ (TOYOTA FT-1 CONCEPT) จุดโฟคัสสายตาในบูธของยักษ์ใหญ่เมืองยุ่น เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทคูเปวางเครื่องหน้า/ขับเคลื่อนล้อหลัง ที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากรถรุ่นคลาสสิคหลายรุ่นที่ค่ายนี้เคยทำขายในอดีตคือ โตโยตา 2000 จีที (TOYOTA 2000GT) โตโยตา เซลิคา (TOYOTA CELICA) และ โตโยตา ซูพรา (TOYOTA SUPRA) เป็นผลงานรังสรรค์ของศูนย์ออกแบบ TOYOTA'S CALTY DESIGN RESEARCH ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และเป็นต้นแบบของรถอนุกรมใหม่ที่แหล่งข่าวยืนยันว่า ภายในเวลาไม่เกิน 2 ปีจะออกโชว์รูม เนื่องจากเป็นรถที่ทำขึ้นเพื่อศึกษาเฉพาะด้านตัวถังและห้องโดยสาร จึงยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของเครื่องยนต์กลไก บอกเพียงเลาๆ ว่าไม่ใช้ระบบขับไฮบริด แต่จะติดตั้งเครื่องยนต์ "กำลังสูงมาก"
LEXUS RC F
ที่งานมหกรรมยานยนต์โตเกียวครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองยุ่นเรียกความสนใจจากผู้คนโดยนำรถอนุกรมใหม่ คือ เลกซัส อาร์ซี-ซีรีส์ (LEXUS RC-SERIES) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เกือบ 2 เดือนหลังจากนั้น คือ ที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ โตโยตา ก็สวมหมวกให้แก่รถคูเปสุดหรูอนุกรมนี้ โดยนำรถโมเดลหัวกะทิ คือ เลกซัส อาร์ซี เอฟ (LEXUS RC F) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน ตัวถังซึ่งยาว 4.705 ม.กว้าง 1.850 ม. และสูง 1.390 ม. ที่นั่งได้รวม 4 คน ของรถแรงโมเดลนี้ มีหน้าตาที่ต่างไปจากรถโมเดลอื่นเพียงเล็กน้อย และจุดที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ แผงกระจังหน้า ที่แตกต่างอย่างชัดเจน คือ เครื่องยนต์เบนซิน DOHC วี 8 สูบ 5.0 ลิตร ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ ที่ให้กำลังสูงกว่า 331 กิโลวัตต์/450 แรงม้า
NISSAN SPORT SEDAN CONCEPT
ยักษ์รองของเมืองยุ่นซึ่งมีหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในเมืองน้ำหอม เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ไม่เคยน้อยหน้าใครในเรื่องรถแนวคิด ที่งานนี้ก็มีรถแนวคิดที่นำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ รถติดป้ายชื่อ นิสสัน สปอร์ท ซีดาน คอนเซพท์ (NISSAN SPORT SEDAN CONCEPT) ที่เห็นในภาพบนซ้ายมือ เป็นรถแนวคิดที่ยักษ์รองเมืองยุ่นทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 80 ปีของการก่อตั้ง รวมทั้งเป็นการศึกษาแนวทางสำหรับรถเก๋งซีดานขนาดกลางรุ่นใหม่ที่อีกไม่นานจะนำออกสู่ตลาดในเมืองมะกันพร้อมกับป้ายชื่อ นิสสัน แมกซิมา (NISSAN MAXIMA) ตัวถังรูปทรงปราดเปรียว ยาว 4.870 ม. กว้าง 1.912 ม. และสูง 1.378 ม. ซึ่งติดตั้งระบบขับล้อหน้าด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงกว่า 300 แรงม้า มีรูปลักษณ์และรายละเอียดหลายอย่างที่ดูน่าสนใจ ตัวอย่าง คือหลังคาที่ดูราวกับลอยอยู่ในอากาศ สไตล์เดียวกับรถสปอร์ท นิสสัน จีที-อาร์ (NISSAN GT-R)
INFINITI Q50 EAU ROUGE
เพื่อไม่ให้น้อยหน้าต้นสังกัด ผู้ผลิตรถหรูซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์รอง นิสสัน และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในฮ่องกง จึงนำรถแนวคิดออกอวดตัวในงานนี้แบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ รถติดป้ายชื่อ อินฟินิที คิว 50 โอ รูจ (INFINITI Q50 EAU ROUGE) ที่เห็นในภาพบนขวามือ เป็นรถแนวคิดที่ทำขึ้นเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับรถหรูสมรรถนะสูง ตัวคาร์บอนไฟเบอร์ ยาว 4.805 ม. กว้าง 1.845 ม.และสูง 1.430 ม. ใช้ชิ้นส่วนที่ออกแบบขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด แต่หน้าตาและรูปทรงองค์เอวกลับแตกต่างเพียงเล็กน้อยจากรถตลาดที่เพิ่งออกโชว์รูมในเมืองมะกันเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาพร้อมกับป้ายชื่อ อินฟินิที คิว 50 (INFINITI Q50) ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ในส่วนของเครื่องยนต์กลไก แต่ประธานของค่ายนี้บอกกับผู้สื่อข่าวในงานว่า ถ้าตัดสินใจจะผลิตขาย ก็คาดหวังได้ว่ารถแบบนี้จะติดตั้งเครื่องยนต์รูปตัววี ที่ให้กำลังสูงสุดสูงกว่า 500 แรงม้า
HYUNDAI GENESIS
ในงานนี้มีรถสายพันธุ์โสมขาวที่น่าสนใจและสมควรนำมากล่าวถึงเพียง 2 คัน คันแรก คือ รถเก๋งซีดานขนาดใหญ่หรือ FULL-SIZE ติดป้ายชื่อ ฮันเด เจเนซิส (HYUNDAI GENESIS) ซึ่งอวดตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกที่งานนี้ เป็นรถรุ่นที่ 2 ที่กำลังจะออกตลาดแทนที่รถรุ่นแรกซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อปี 2008 ในตัวถังขนาดใกล้เคียงกัน คือ ยาว 4.990 ม. กว้าง 1.890 ม. สูง 1.480 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.26 ในสหรัฐอเมริกาจะมีทั้งแบบขับล้อหลังแบบขับทุกล้อ และมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 2 ขนาด คือ เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 3,778 ซีซี 229 กิโลวัตต์/311 แรงม้า กับเครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 5,038 ซีซี 309 กิโลวัตต์/420 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์มีแบบเดียว คือ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ วิจารณ์กันว่าจุดเด่นจุดสำคัญของรถรุ่นใหม่นี้ คือ ห้องโดยสารที่กว้างขวาง วัดปริมาตรได้ถึง 123 ลูกบาศก์ฟุต หรือ 3,482 ลิตร
KIA GT4 STINGER CONCEPT
รถสายพันธุ์โสมขาวอีกคันหนึ่งและเป็นคันสุดท้ายที่เลือกมาให้ชมกันในรายงานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ เกีย จีที 4 สติงเกอร์ คอนเซพท์ (KIA GT4 STINGER CONCEPT) ซึ่งก็เพิ่งอวดตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกที่งานนี้เช่นกัน เป็นผลงานรังสรรค์ของศูนย์ออกแบบ KDCA หรือ KIA DESIGN CENTER AMERICA ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และเป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทคูเป 2+2 ที่นั่ง ที่หน้าตาและรูปทรงองค์เอวดูดีในบางมุมมอง แต่ดูขัดตาพิกลในบางมุมมอง ตัวถังยาว 4.310 ม. กว้าง 1.890 ม. และสูง 1.250 ม. ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชือเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 232 กิโลวัตต์/315 แรงม้า และถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เป็นรถแนวคิดที่ไม่ได้เพียงทำขึ้นแค่เพื่ออวดฝีมือ แต่แหล่งข่าวยืนยันว่ายักษ์รองของเมืองโสมตั้งใจจะทำขายจริง และคาดกันว่ากำหนดออกตลาดไม่น่าจะเกินปี 2016
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดานิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ