เดือนนี้ “ระเบียงรถใหม่” จะว่ากันด้วยเรื่องของรถไฮบริดล้วนๆ เป็นรถไฮบริดอย่างที่คนรักรถในบ้านคงคุ้นเคยกันดี เพราะเข้ามาขายในบ้านเรานมนานแล้ว แต่ยอดขายไม่ค่อยฟูเฟื่องสักเท่าไร รถ 100 คันที่วิ่งอยู่ตามท้องถนนจะหาสักคันที่เป็นรถไฮบริดก็ยังหาได้ยาก สาเหตุน่าจะมีอยู่หลายข้อด้วยกันรถไฮบริดที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปในขณะนี้ ทั้งที่เห็นในบ้านเราและที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก หากจะแบ่งประเภทตามองค์ประกอบของการทำงาน ก็น่าจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ รถไฮบริดที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันกับเครื่องยนต์เบนซิน และรถไฮบริดที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันกับเครื่องยนต์ดีเซล ประเภทแรกนั้นมีอยู่มากที่คนรักรถในบ้านเราน่าจะรู้จักกันดีก็คือ โตโยตา ปรีอุส (TOYOTA PRIUS) โตโยตา แคมรี (TOYOTA CAMRY) ฮอนดา แอคคอร์ด (HONDA ACCORD) ส่วนประเภทหลังนั้นค่อนข้างหายาก เพราะในโลกนี้มีอยู่ไม่กี่รุ่นไม่กี่แบบ ตัวอย่าง คือ เอาดี คิว 7 อี-ทรอน กวัตตโร (AUDI Q7 E-TRON QUATTRO) เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด (RANGE ROVER HYBRID) และ เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ท ไฮบริด (RANGE ROVER SPORT HYBRID) ซึ่งล้วนเป็นรถสายพันธุ์ยุโรป หากไม่แบ่งตามองค์ประกอบการทำงาน แต่แบ่งตามลักษณะการใช้งาน ก็น่าจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ เช่นกัน คือ รถไฮบริดชนิดไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการชาร์จไฟแบทเตอรี เพราะระบบชาร์จไฟที่ติดตั้งอยู่แล้วในตัวรถ ทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ ผู้ขับไม่ต้องทำอะไร กับรถไฮบริดชนิดที่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรี ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า PLUG-IN HYBRID และทีมงานของ “สื่อสากล” พอใจเรียกเป็นภาษาไทยแบบบรรยายความว่า “ระบบไฮบริดชนิดที่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ” ตัวอย่างของรถประเภทแรก คือ รถไฮบริดทั้ง 6 แบบที่กล่าวข้างต้น ส่วนตัวอย่างของประเภทหลัง คือ โพร์เช พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด (PORSCHE PANAMERA S E-HYBRID) กับ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 350 อี (MERCEDES-BENZ E 350 E) ที่สามารถหาซื้อได้ในบ้านเรา รถไฮบริดที่นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังในเดือนนี้ มีทั้งรถไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรี มีทั้งรถไฮบริดชนิดไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยเรื่องการชาร์จไฟแบทเตอรี และทั้งหมดล้วนเป็นรถไฮบริดชนิดที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า เริ่มกันที่ผลงานของค่าย “ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว” รถเก๋งระดับหรูขนาดกลาง ติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-5 (BMW 5-SERIES) รุ่นปัจจุบัน เป็นรถรุ่นที่ 7 ตัวถังซีดานปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ในสหรัฐอเมริกา เมื่อกลางเดือนมกราคม 2017 ส่วนตัวถังตรวจการณ์ตามมาไม่นานหลังจากนั้นคือ ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาในสวิทเซอร์แลนด์ตอนต้นเดือนมีนาคมในปีเดียวกัน รถซีรีส์-5 ในตัวถังทั้ง 2 แบบนี้ เริ่มการจำหน่ายในเมืองแม่ คือ เยอรมนีไปเรียบร้อยแล้ว ขณะก้มหน้าก้มตากดปลายนิ้วลงบนแป้นพลาสติครูปสี่เหลี่ยมของคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นช่วงต้นเดือนกรกฎาคมของปีไก่อู สู้ไม่ถอยอยู่นี้ ในเยอรมนี บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-5 ตัวถังซีดาน มีรถให้เลือกใช้รวม 16 โมเดล แยกเป็นรถเบนซิน 6 โมเดล คือ BMW 520I-BMW 530I-BMW 530I XDRIVE-BMW 540I-BMW 540I XDRIVE-BMW M550I XDRIVE เป็นรถดีเซล 9 โมเดล คือ BMW 520D (เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ)-BMW 520D (เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ)-BMW 520D XDRIVE-BMW 520D ED EDITION-BMW 525D-BMW 530D-BMW 530D XDRIVE-BMW 540D XDRIVE-BMW M550D XDRIVE และเป็นรถไฮบริด 1 โมเดล คือ BMW 530E IPERFORMANCE ซึ่งเป็นรถเปิด “ระเบียงรถใหม่” ในเดือนนี้ รถไฮบริด บีเอมดับเบิลยู 530 อี ไอเพอร์ฟอร์มานศ์ (BMW 530E IPERFORMANCE) ในตัวถังยาว 4.936 ม. กว้าง 1.868 ม. และสูง 1.483 ม. ซึ่งออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.26 ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดที่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรี ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า (SYNCHRONOUS ELECTRIC MOTOR) ขนาด 83 กิโลวัตต์/113 แรงม้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 351 โวลท์ 9.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งติดตั้งอยู่ใต้เบาะเก้าอี้ที่นั่งแถวหลัง ได้กำลังสุทธิสูงสุด 185 กิโลวัตต์/252 แรงม้า และส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ STEPTRONIC สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของค่าย “ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว” อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เยี่ยมยอดมาก คือ แค่ 1.9 ลิตร/100 กม. หรือ 52.6 กม./ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 44 กรัม/กม. กรณีวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ และชาร์จไฟแบทเตอรีเต็มหม้อ (เสียเวลา 2.9 ชม. เมื่อใช้ไฟบ้าน 230 โวลท์ 16 แอมพ์) รถจะวิ่งได้ไกล 50 กม. แต่ความเร็วสูงสุดจะลดลงเป็น 140 กม./ชม. ค่าตัวในเยอรมนีซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 ไว้เรียบร้อยแล้ว เริ่มต้นที่ระดับ 53,600 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 2.14 ล้านบาทไทย คือ ใกล้เคียงกันมากกับค่าตัว 53,400 ยูโร ของรถ BMW 530I XDRIVE ซึ่งเป็นรถขับทุกล้อด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี 185 กิโลวัตต์/252 แรงม้า และส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ STEPTRONIC เช่นกัน