เล่าให้ฟังไปก่อนแล้วในหน้าเปิดระเบียงด้วยรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-2 คูเป/ซีรีส์-2 กาบริโอเลต์ (BMW 2-SERIES COUPE/2-SERIES CABRIOLET) ว่ายอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์เริ่มนำรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 (BMW 1-SERIES) ออกจำหน่ายในตลาดเมื่อปี 2004 และเปลี่ยนรุ่นไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2011ขอเล่าสู่กันฟังเป็นการเพิ่มเติมว่า รถ ซีรีส์-1 รุ่นแรกในตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค มีรหัสโรงงานว่า E81 ส่วนตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค มีรหัส E87 ทั้ง 2 ตัวถังมีขนาดโตเท่ากันในทุกมิติ คือ 4.239x1.748x1.421 ม. ส่วนตัวถังคูเปและตัวถังกาบริโอเลต์ มีรหัส E82 และ E88 ตามลำดับ ส่วนรถรุ่นที่ 2 ซึ่งเริ่มการจำหน่ายเมื่อปลายปี 2011 ลดจำนวนตัวถังจาก 4 เป็น 2 แบบ คือ ตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค ซึ่งมีรหัสโรงงาน F21 กับตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค ซึ่งมีรหัสโรงงาน F20 ตัวถังทั้ง 2 แบบนี้มีขนาดโตเท่ากันในทุกมิติ และโตกว่ารถรุ่นแรกเล็กน้อยในทุกมิติ คือ มีขนาด 4.329x1.765x1.411-1.421 ม. (ยาวขึ้น 9.0 ซม. และกว้างขึ้น 1.7 ซม.) ส่วนตัวถังอีก 2 แบบ คือ ตัวถังคูเป และตัวถังกาบริโอเลต์ เปลี่ยนไปติดป้ายชื่อใหม่ดังที่เล่าให้ฟังไปแล้ว ที่กำลังอวดรูปทรงองค์เอวอยู่นี้อย่าเพิ่งทึกทักว่าเป็นรถรุ่นใหม่ ที่สมควรนับนิ้วได้ว่าเป็นรถรุ่นที่ 3 เป็นรถรุ่นใหม่ก็จริง แต่ไม่ใช่รถรุ่นใหม่แท้อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า ALL-NEW หากเป็นรถรุ่นที่ 2 ที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยทำไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อต้นปี 2015 เป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อขนาดตัวถังทั้งความยาวและความกว้าง แต่ความสูงเปลี่ยนไปนิดหน่อย เป็นการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันกับรถคูเป และกาบริโอเลต์ ที่กล่าวไปแล้ว นั่นคือ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่รู้จักรถแบบนี้จริงๆ หรือเคยใช้มาก่อนแล้ว ก็เป็นเรื่องยากถึงยากมากที่จะฟันธงได้ว่า คันไหน คือ รถรุ่นเดิม ? คันไหน คือ รถที่เพิ่งผ่านการ "ยกหน้า" ? การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในลักษณะ "ยกหน้า" ที่กล่าวนี้ เกือบทั้งหมดล้วนเป็นการกระทำกับตัวถังทั้งภายในและภายนอก ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเครื่องยนต์กลไก ซึ่งมีทั้งเครื่อง 3 สูบเรียง เครื่อง 4 สูบเรียง และเครื่อง 6 สูบเรียง ตัวอย่างเช่น กรอบฝากระจังหน้ารูปไตซึ่งเคลือบสีดำ ดวงโคมไฟหน้าแอลอีดีที่ออกแบบขึ้นใหม่ ท่อไอเสียเคลือบสีดำ เพิ่มสีตัวถังให้เลือกอีก 2 สี คือ สีส้ม SUNSET ORANGE กับสีฟ้า SEASIDE BLUE เพิ่มกระทะล้อลายใหม่ให้เลือกอีก 5 แบบ และแผงหน้าปัดอุปกรณ์ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด พร้อมเพิ่มอุปกรณ์หลายชิ้นที่ไม่เคยมีในรถรุ่นก่อน ในเมืองเบียร์ รถที่เริ่มการจำหน่ายไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา (หลังจากรถรุ่นเดิมทำยอดขายในตลาดทั่วโลกไปแล้วประมาณ 1 ล้านคัน นับแต่ปี 2011) ทั้งตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค และตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค มีรถให้เลือกรวม 12 โมเดล แยกเป็นรถเบนซิน 6 โมเดล คือ 116I-118I-120I-125I-M140I-M140I XDRIVE และเป็นรถดีเซล 6 โมเดล คือ 116D-118D-118D XDRIVE-120D-120D XDRIVE-125D ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง หรือทั้งคู่หน้าและคู่หลังแล้วแต่กรณี มี 2 แบบ คือ เลือกได้ระหว่างเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ STEPTRONIC โมเดลเริ่มต้น คือ BMW 116I ซึ่งค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มของรถ 3 ประตูแฮทช์แบค เริ่มต้นที่ 24,700 ยูโร หรือประมาณ 0.988 ล้านบาทไทย และของรถ 5 ประตูแฮทช์แบค เริ่มต้นที่ 25,450 ยูโร หรือประมาณ 1.018 ล้านบาทไทย ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 3 สูบเรียง 1,499 ซีซี 80 กิโลวัตต์/109 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 10.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 195 กม./ชม. ส่วนโมเดลหัวกะทิ คือ BMW M140I XDRIVE ซึ่งค่าตัวรวมภาษีเริ่มต้นที่ 48,650 และ 49,400 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1.946 และ 1.976 ล้านบาทไทย ตามลำดับ ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,998 ซีซี 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 4.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.