ชีวิตอิสระ
ส่องเขาพระวิหาร ชมวัดล้านขวด ดวดทุเรียนภูเขาไฟ
“เขาพระวิหาร” เป็นโบราณสถานสำคัญ และเคยเป็นข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาตั้งแต่ปี 2505 และในที่สุดเมื่อปี 2554 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้ตัดสินให้เขาพระวิหารตกเป็นสมบัติของกัมพูชา แม้ทางขึ้นหลักจะอยู่ฝั่งไทยก็ตาม “ชีวิตอิสระ” ฉบับนี้ขอย้อนรอยกลับไปอีกครั้ง ณ อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร พร้อมเที่ยวชมสวนทุเรียนภูเขาไฟ ของดีประจำจังหวัดศรีสะเกษ ที่กำลังขึ้นชื่ออยู่ขณะนี้
ลุยฝนมั่นใจ ไปกับ นิสสัน เอกซ์-ทเรล
อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ตั้งอยู่ในอีสานใต้ อ. กันทรลักษ์ จ. ศรีสะเกษ ห่างจากเมืองหลวงประมาณ 570 กม. การเดินทางจากกรุงเทพฯ สามารถเลือกเดินทางได้ 3 ทางหลักๆ คือ 1. (ตาพระยา) กรุงเทพฯ-สระแก้ว-บุรีรัมย์-ศรีสะเกษ 2. (มิตรภาพ) กรุงเทพฯ-สระบุรี-สีคิ้ว-ศรีสะเกษ และ 3. (วังน้ำเขียว) กรุงเทพฯ-ปราจีนบุรี-ปักธงชัย-ศรีสะเกษ แต่เส้นทางที่สะดวกและเร็วที่สุด คือ เส้นทางที่ 2 (มิตรภาพ) ซึ่งเราก็เลือกเส้นทางนี้
- ทางขึ้นอุทยานฯ เป็นทางลาดยางอย่างดี
เราออกเดินทางตามทางหลวงหมายเลข 2 แล้วเลี้ยวขวามุ่งหน้า อ. สีคิ้ว ทางหลวงหมายเลข 24 ผ่าน อ. หนองกี่ แล้วเลี้ยวขวาเข้า อ. กันทรลักษ์ หมายเลข 221 อีก 44 กม. ก็ถึงจุดหมาย รวมแล้วใช้เวลาไป 7 ชม. 30 นาที ช่วงที่เราไปเป็นฤดูฝน แถมพายุดีปเรสชันจากฟิลิปปินส์กำลังเข้าพอดี เราจึงเจอฝนตลอดทาง แต่ผมกลับรู้สึกสบายใจ เพราะเดินทางมากับ นิสสัน เอกซ์-ทเรล ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ไว้ใจได้ในสมรรถนะยามฝนตก เครื่องยนต์ที่มีให้ ขนาด 2.5 ลิตร 171 แรงม้า มีกำลังให้ใช้อย่างเหลือเฟือ แถมเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 จังหวะ ยังทำงานได้อย่างนุ่มนวล แต่ที่ชอบสุดต้องยกให้กับช่วงล่าง ที่เซทมาพอดี มีความนุ่มนวลแต่ยังมั่นคงในความเร็วสูง เหมาะสำหรับเดินทางไกลเป็นอย่างดี
ดื่มด่ำวิวสุดลูกหูลูกตา ของผามออีแดง
- น้ำตกห้วยวังใหญ่อยู่กลางป่า สวยที่สุดในแถบนี้
หลังจากพักแรมที่บ้านภูมิซรอล ซึ่งอยู่ทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เราออกเดินทางแต่เช้าเพื่อให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่ผามออีแดง หลังจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานเสร็จ ขับรถขึ้นเขาไปอีกประมาณ 8 กม. ก็ถึงลานจอดรถ เช้าวันนี้อากาศดีมาก มีเมฆลอยผ่านตัวไปเบาๆ ลมพัดเย็นสบาย แม้ฟ้าจะปิดและมีละอองฝนลง มาบ้าง แต่ก็ดีกว่าฝนตกเปียกเหมือนเมื่อวาน ผมกับช่างภาพไม่รอช้า รีบเดินไปเก็บภาพยังผามออีแดง แม้จะรู้ดีว่าไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นอย่างที่ตั้งใจ ตลอดทางเดินจากจุดจอดรถ เราจะเห็นเป็นหน้าผาสูงตลอดทาง เจ้าหน้าที่บอกว่า ตลอดทางเดินนี้ ด้านข้างจะเป็นหน้าผาที่เรียกว่า “ผามออีแดง” สามารถมองเห็นประเทศกัมพูชาได้อย่างชัดเจน เพราะมีความสูงถึง 556 ม. จากระดับน้ำทะเล ถ้าเรามองไปด้านล่างจะเห็นผืนป่าเตี้ยๆ ที่เรียกกันว่า “เขมรต่ำ” และเมื่อมองไปทิศตะวันออก จะเห็นแนวเทือกเขา “พนมดงรัก” จุดนี้เองที่เราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นอย่างสวยงาม แต่เสียดายที่ครั้งนี้เราไม่เห็น เพราะฟ้าปิด เมฆเยอะจากฝนที่ตกทั้งคืน
ภาพแกะสลักนูนต่ำ อายุกว่า 1,500 ปี
- ทางเดินไปยังภาพแกะสลักนูนต่ำ เป็นบันไดไม้อย่างดี
จากผามออีแดง นอกจากจะมองเห็นดินแดนกัมพูชาได้อย่างชัดเจนแล้ว ใต้หน้าผายังมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่าง “ภาพแกะสลักนูนต่ำ” ให้เราได้ศึกษากันอีกด้วย
- ตลอดทางเดินเป็นหน้าผาสูงที่เรียกว่า ผามออีแดง
ภาพแกะสลักนูนต่ำ ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาทางทิศใต้ของผามออีแดง ทางอุทยานฯ ได้สร้างทางเดินลงไปชมเป็นบันไดไม้อย่างดี คล้ายกับ ภูทอก จ. บึงกาฬ แต่ปลายสุดก่อนถึง “ภาพแกะสลักนูนต่ำ” ได้กั้นประตูเหล็กเอาไว้ แต่ก็ยังแง้มเอาไว้นิดหน่อย เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถนำกล้องถ่ายรูปลอดออกมาถ่ายได้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ไปสัมผัสของมีค่าเหล่านี้
- การชมภาพแกะสลักนูนต่ำ ต้องชมจากจุดนี้เท่านั้น ถึงจะมีประตูเหล็กกั้น แต่ก็ยังแง้มเอาไว้นิดหน่อย เพื่อให้นำกล้องลอดไปถ่ายได้
ภาพแกะสลักนูนต่ำเป็นภาพแกะสลักบนผนังผาหินทรายรูปบุคคล 3 คน สันนิษฐานกันว่าเป็นรูปของท้าวกุเวร หนึ่งในจตุมหาราชประจำทิศเหนือ หรือรูปบุคคลสูงศักดิ์ น่าจะสลักขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 (ก่อนสร้างปราสาทเขาพระวิหาร) ส่วนรูปคนที่ประทับบนนาค สันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นรูปเทพวรุณทรงนาค หรือบางทีอาจจะเป็นพระนารายณ์ทรงนาค ส่วนภาพสัตว์สองตัวที่ยังแกะไม่เสร็จ อาจเป็นพาหนะของเทพ
ชมวิวปราสาทเขาพระวิหาร ที่คนไทยได้แต่มอง
- ภาพเขาพระวิหาร เมื่อมองจากกล้องส่องทางไกล
- เขาพระวิหาร ต้องชมผ่านเลนส์อย่างเดียว
ถัดจากภาพแกะสลักนูนต่ำไปนิด เป็นที่ตั้งของ “เสาธงชาติประวัติศาสตร์” ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้อัญเชิญมาจากผาเป้ยตาดี ซึ่งอยู่ในที่ตั้งของปราสาทเขา พระวิหาร โดยขณะเคลื่อนย้ายไม่ลดธงลงมาจากยอดเสา ครั้งแรกย้ายมายังบริเวณสถูปคู่ ก่อนที่จะย้ายมายังผามออีแดง จนถึงปัจจุบัน จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นปราสาทเขาพระวิหารได้อย่างเต็มตา ถ้ามองด้วยตาเปล่า จะเห็นทางเดินขึ้นไปยังปราสาทเขาพระวิหารจากฝั่งไทยไกลๆ แต่ถ้าดูด้วยกล้องส่องทางไกลของทหารที่เตรียมไว้ จะสามารถเห็นได้ถึงตัวปราสาทเขาพระวิหารอย่างชัดเจน เจ้าหน้าที่บอกว่า ทางเดินที่เราเห็นนี้ แต่ก่อนสามารถเดินขึ้นไปเที่ยวยังปราสาทเขาพระวิหารได้ เพราะทางขึ้นอยู่ฝั่งไทย แต่เมื่อตกเป็นของกัมพูชาอย่างถาวรแล้ว ทางกัมพูชาได้ทำประตูเหล็กกั้นไว้ และไม่อนุญาตให้ใครข้ามผ่านทางนี้ได้อีกเลย ถ้าอยากไปต้องขับรถอ้อมกว่า 100 กม. เพื่อไปขึ้นยังฝั่งกัมพูชาเท่านั้น ถึงตรงนี้ ผมเองรู้สึกเสียดาย และหดหู่เป็นที่สุด ทำไมคนไทยถึงได้แค่มองเท่านั้น แค่ขอข้ามไปสัมผัสยังทำไม่ได้เลย
อลังการสถูปคู่ และปราสาทโดนตวล
- สถูปคู่ สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์
ถัดจากเนินเสาธง จะมีทางลงไปยังสถูปคู่เพียง 300 ม. สถูปคู่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยอดแหลมรูปดอกบัวตูม ศิลปบาปวน ประมาณศตวรรษที่ 11 มีความกว้าง 1.93 ม. สูง 4.2 ม. สร้างด้วยหินทรายสีแดง มีความเชื่อว่า สถูปคู่นี้น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ คล้ายศิวลึงค์คู่กับโยนี หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า “สถูปตา สถูปยาย” เพราะศิวลึงค์กับโยนี เป็นของคู่กันตามความเชื่อที่ว่า ทุกชีวิตล้วนเกิดมาจากศิวลึงค์ และโยนี จึงน่าจะหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง
- ปราสาทโดนตวล อารยธรรมยุคเดียวกับเขาพระวิหาร
หลังเที่ยวบนอุทยานฯ ครบแล้ว เราเดินทางด้วยรถยนต์ต่ออีกนิด เพื่อไปยังปราสาทโดนตวล ปราสาทแห่งนี้ดูเงียบๆ แต่มีมนต์ขลัง สร้างด้วยศิลาแลงหินทราย ประกอบไปด้วย ปราสาทประธาน อาคารโถงโคปุระ บรรณาลัย ฐานศิลาแลง และสระน้ำ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ตามจารึกที่ขอบประตู ตรงกับปี 1545 ซึ่งอยู่ในยุคเดียวกับการก่อสร้างปราสาทเขาพระวิหาร มีตำนานได้กล่าวถึงสตรีสูงศักดิ์ที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่มีลักษณะอาภัพ คือ หน้าอกใหญ่ ไปไหนมาไหนไม่สะดวก ต้องเอาสายสร้อยทองคำเป็นสาแหรกรองรับไว้ กิตติศัพท์เลื่องลือไปจนถึงกษัตริย์ขอม จึงให้เหล่าอมาตย์มารับนางไปเฝ้า แต่ขณะเดินทางได้พักที่ลานหินโดนตวล ขณะนั้น ตาเล็งซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันกับนางนมใหญ่ ได้เข้าไปตามนางนมใหญ่ให้กลับไป จึงเกิดการต่อสู้ขึ้น เหล่าอำมาตย์ที่สุดตาเล็งถูกฆ่า ทิ้งไว้ที่ป่า บริเวณที่สร้างปราสาทโดนตวลแห่งนี้
วัดล้านขวด ความงามแห่ง อ. ขุนหาญ
- วัดล้านขวด แม้แต่เมรุเผาศพยังสวยงาม
วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว หรือวัดล้านขวด เป็นวัดที่มีล้านขวดสมชื่อ เพราะอาคารต่างๆ ถูกตกแต่งด้วยขวดเหล้าขวดเบียร์ทุกชนิด เรียกว่าหันไปทางไหนก็เจอแต่ขวด ศาลาต่างๆ ที่เด่นสุดในวัด ก็คือ ศาลาฐานสโมสรมหาเจดีย์แก้ว ที่ตกแต่งด้วยขวดแก้วทั้งหลัง ดูวิจิตรงดงามทั้งภายในและภายนอก วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 2527 ขวดทั้งหมดที่นำมาสร้างมีจำนวนมากถึง 1,500,000 ขวด เริ่มตั้งแต่ทางเข้าวัด กำแพงซุ้ม ประตูโบสถ์ ศาลา หอระฆัง กุฏิ ห้องน้ำ ไม่เว้นแม้แต่เมรุเผาศพ ก็ยังถูกตกแต่งด้วยขวดเช่นกัน นอกจากความงดงามของสิ่งก่อสร้างจากขวดแล้ว ยังมีภาพพุทธประวัติที่นำฝาขวดมาปะติดปะต่อกันจนได้ภาพที่น่าชื่นชม ชวนให้นักท่องเที่ยวต้องเหลียวมอง ความงามจากขวดทั้งหมดเป็นความคิดของ ท่านพระครูวิเวกธรรมาจารย์ หรือหลวงปู่หลอด ที่ชาวบ้านเรียกกัน ท่านกล่าวว่าการใช้ขวดนอกจากจะประหยัดแล้ว ยังมีแง่คิดแฝงเป็นนัยว่า ขวดนั้นใส ยามเมื่อกระทบกับแสงแดดจะเปล่งประกาย ดุจแสงธรรมที่เจิดจรัส นั่นเอง
ชิมทุเรียนภูเขาไฟ ที่สวนลุงเสริม
- ชมและชิมทุเรียนหมอนทองภูเขาไฟได้ ที่สวนลุงเสริม
สมัยก่อน จ. ศรีสะเกษ เป็นจังหวัดทางอีสานล่างที่แห้งเล้ง หลายคนอพยพไปยังที่อุดมสมบูรณ์กว่าจนเกือบหมด จนภาครัฐเข้ามาฟื้นฟูในทุกมิติ ทุกวันนี้กลายเป็นเมืองหลวงทุเรียนแห่งแดนอีสานไปเสียแล้ว ในแต่ละฤดูกาลมีผลผลิตออกมาใกล้เคียงกับ จ. จันทบุรี แถมยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร คือ มาจากพื้นดินที่เคยเป็นภูเขาไฟเก่า ทำให้ทุเรียนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กรอบนอกนุ่มใน เปลือกบาง กลิ่นไม่ฉุน จนเลื่องลือไปไกลในชื่อ “ทุเรียนภูเขาไฟ ศรีสะเกษ” เราแวะมาเที่ยวสวนลุงเสริม เพราะชาวบ้านบอกว่ายังมีผลผลิตเหลืออยู่ ลุงเสริมเป็นหนึ่งในเกษตรกรตัวอย่าง ที่ใช้พื้นที่กว่า 20 ไร่ ปลูกเฉพาะทุเรียนได้อย่างเหมาะสม มีพันธุ์หมอนทองเป็นหลัก รองลงมา คือ ก้านยาว ชะนี พวงมณี เป็นต้น แถมยังเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีเกษตรอีกด้วย ใครผ่านไปผ่านมาก็สามารถเข้าไปชิมผลไม้สดๆ จากสวนของลุงเสริมได้เลย
น้ำตกห้วยวังใหญ่ สวยที่สุดในแถบนี้
- น้ำตกห้วยวังใหญ่อยู่กลางป่า สวยที่สุดในแถบนี้
เมื่อกินทุเรียนภูเขาไฟสมใจแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่น้ำตกห้วยวังใหญ่กันต่อ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ บอกว่า สวยที่สุดในแถบนี้ เป็นน้ำตกขนาดกลาง ถ้าถึงช่วงฤดูฝน จะมีความสวยงามมากเป็นพิเศษ ด้วยความที่สูงเพียง 5 เมตร กระแสน้ำที่ไหลมาจากชั้นบน เมื่อตกกระทบสู่พื้นน้ำด้านล่าง จึงมีความแรงไม่มาก นักท่องเที่ยวสามารถนั่งชมความงาม และเล่นน้ำได้ แต่ถ้ามาช่วงฤดูฝน จะ เล่นได้เฉพาะสถานที่ที่เจ้าหน้าที่กำหนดไว้ให้เท่านั้น น้ำตกห้วยวังใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก ต. ละลาย อ. กันทรลักษ์ จ. ศรีสะเกษ พื้นที่โดยรอบจึงมีแต่ต้นไม้ใหญ่ และพันธุ์ไม้หายากปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น
แผนที่เส้นทาง
ที่กิน + ที่นอน
ปัจจุบันนี้พื้นที่รอบๆ อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร มีความเจริญขึ้นมาก เรื่องอาหารการกินมีให้เลือกหลากหลาย ผมเลือกร้าน “ครัวผามอ” เนื่องจากแอบได้ยินมาว่าแม่ครัวทำอาหารอร่อย ผมสั่ง ผัดเผ็ดหมูป่า ต้มยำเป็ด เอ็นไก่ทอด และบรอคโคลีผัดหมูกรอบ รสชาติต้องบอกว่าดีทีเดียว ไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเลย ทุกอย่างสดใหม่มาก ถ้าผ่านมาลองมาชิมกันได้ ร้านนี้เปิดทุกวัน
ใครคิดจะพักในตัวเมืองศรีสะเกษ แล้วตื่นเช้าขับรถมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผามออีแดง ต้องบอกว่าคิดผิด เพราะใช้เวลากว่า 2 ชม. กับระยะทางเพียง 100 กม. เราแนะนำให้พักที่บ้าน ภูมิซรอลจะสะดวกที่สุด เนื่องจากอยู่ห่างจากทางขึ้นอุทยานฯ เพียง 2 กม. แถมปัจจุบันนี้ยังมีที่พักให้เลือกมากมาย รวมถึงร้านอาหารต่างๆ ด้วย ผมเลือก “บ้านไร่ไพศาล” เป็นที่พัก เนื่องจากเพิ่งเปิดใหม่ สวยงาม สะอาด และมีที่จอดรถ ทุกห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งแอร์ ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น ขาดแต่เพียงตู้เย็นเท่านั้น ในราคาเริ่มต้นเพียงคืนละ 400 บาท
ขอขอบคุณ
บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อพาหนะในการเดินทาง