ปิด "ระเบียงรถใหม่" ในเดือนแห่งการชุมนุมรถตัวถังยาว ด้วยรถเก๋งซีดานระดับ "พรีเมียม" สายพันธุ์ยุ่นที่ผู้ใช้รถในเมืองมะกันน่าจะคุ้นเคยกันดี แต่คนรักรถหลายคนในเมืองปลาดิบเมื่อได้ยินชื่ออาจส่ายหน้าเลกซัส (LEXUS) ผู้ผลิตรถหรูของเมืองยุ่นซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ โตโยตา (TOYOTA) เริ่มนำรถ เลกซัส อีเอส-ซีรีส์ (LEXUS ES-SERIES) ออกสู่ตลาดในทวีปอเมริกาเหนือเมื่อปี 1989 อันเป็นปีก่อตั้งกิจการ และเปลี่ยนรุ่นรถอนุกรมนี้ไปแล้วรวม 6 ครั้ง ในปี 1991, 1996, 2001, 2006, 2012 และ 2018 รถ 5 รุ่นแรกใช้ชิ้นส่วนหลายชิ้นรวมทั้งพแลทฟอร์มร่วมกันกับรถ โตโยตา แคมรี (TOYOTA CAMRY) ส่วนรุ่นที่ 6 เปลี่ยนมาใช้ชิ้นส่วนของรถ โตโยตา อวาลอน (TOYOTA AVALON) ซึ่งเป็นรถสำหรับตลาดอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ รถรุ่นปัจจุบันซึ่งเป็นรุ่นที่ 7 เพิ่งอวดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ปักกิ่ง เมื่อเดือนเมษายน 2018 เป็นรถเก๋งซีดานขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ตัวถังยาว 4.976 ม. กว้าง 1.864 ม. สูง 1.445 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.26-029 เป็นรถที่มีการผลิตทั้งที่เมืองมิยาวากะ ในจังหวัดฟูกูโอกะ (MIYAWAKA, FUKUOKA) ของญี่ปุ่น และที่เมืองจอร์จทาวน์ ในรัฐเคนทัคคี (GEORGETOWN, KENTUCKY)) ของสหรัฐอเมริกา ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลัก รถรุ่นใหม่นี้เริ่มการจำหน่ายเมื่อเดือนสิงหาคม 2018 และมีรถให้เลือก 2 โมเดล คือ LEXUS ES 350 กับ LEXUS ES 300H โดยที่รถโมเดลแรกติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 3,456 ซีซี 225 กิโลวัตต์/302 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ 2GR-FKS) ส่วนโมเดลหลังเป็นรถไฮบริดชนิดไม่ต้องมีการเสียบปลั๊ก ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินฉีดตรงทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสุทธิสูงสุด 158 กิโลวัตต์/215 แรงม้า ไม่เคยมีรถหรูอนุกรมนี้จำหน่ายในญี่ปุ่นมาก่อนเลย จนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ 24 ตุลาคม 2018 นี่เองจึงมีการออกข่าวเผยแพร่ในเมืองปลาดิบว่า เริ่มมีการจำหน่ายรถ เลกซัส อีเอส-ซีรีส์ (LEXUS ES-SERIES) แล้วทั่วเกาะญี่ปุ่น พร้อมกับให้รายละเอียดว่ามีรถโมเดลเดียว คือ LEXUS ES 300H แต่แตกลูกเป็น 3 โมเดลย่อย คือ LEXUS ES 300H ค่าตัว 5.800 ล้านเยน หรือประมาณ 1.740 ล้านบาทไทย LEXUS ES 300H F SPORT ค่าตัว 6.290 ล้านเยน หรือประมาณ 1.887 ล้านบาทไทย และ LEXUS ES 300H VERSION L ค่าตัว 6,980 ล้านเยน หรือเท่ากับประมาณ 2.094 ล้านบาทไทย ทั้งหมดเป็น MSRP หรือราคาขายปลีกที่ผู้ผลิตแนะนำซึ่งรวมภาษีการบริโภคร้อยละ 8 ไว้เรียบร้อยแล้ว รถทุกโมเดลย่อยที่กล่าวข้างต้น ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดไม่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 2,487 ซีซี 131 กิโลวัตต์/178 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ A25A-FXS) ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า AC SYNCHRONOUS MOTOR 88 กิโลวัตต์/120 แรงม้า แบทเตอรีนิคเคิล-เมทัล ไฮดไรด์ (NICKEL-METAL HYDRIDE) และใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง (เกียร์ CVT) ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า เป็นรถไฮบริดที่ค่อนข้างประหยัดเชื้อเพลิง มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 23.4 กม./ลิตร เมื่อวัดตามมาตรฐาน JC08 ของญี่ปุ่น และ 20.6 กม./ลิตร เมื่อใช้มาตรฐานใหม่ WLTC ส่วนอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์วัดได้ 99 กรัม/กม. เมื่อใช้มาตรฐาน JC08 และเพิ่มเป็น 113 กรัม/กม. เมื่อวัดตามมาตรฐาน WLTC