สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอมดับเบิลยู กรุพ ประเทศไทย
บีเอมดับเบิลยู วางเป้าหมาย 3 ปี สร้างบแรนด์ให้ลูกค้า เพื่อความมั่นใจในบแรนด์ เชื่อมั่นในเทคโนโลยีรวมทั้งมุ่งสร้างองค์กรให้แข็งแกร่ง และเดินไปในทิศทางเดียวกัน “ฟอร์มูลา” สัมภาษณ์พิเศษ คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอมดับเบิลยู กรุพ ประเทศไทยฟอร์มูลา : ประวัติการทำงานของคุณก่อนจะมาทำงานในไทย ? วิดมานน์ : ผมเริ่มต้นทำงานที่ เอไอจี สวิทเซอร์แลนด์ โดยเริ่มต้นทำงานร่วมกันกับ บีเอมดับเบิลยู กรุพ ตั้งแต่ปี 2544 และได้ดูแลบริหารงานในหลายภูมิภาคของ บีเอมดับเบิลยู กรุพ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศเยอรมนี ญี่ปุ่น ออสเตรีย กรีก เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย รวมทั้งเคยเข้ามาบริหารงานด้านการเงินในประเทศไทย กับ บีเอมดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิศ ประเทศไทย ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2546 ระยะเวลา 1 ปี และในปี 2554 ระยะเวลา 3 ปี ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งในประเทศไทย ได้ทำงานอยู่ที่ บีเอมดับเบิลยู กรุพ ไฟแนนเชียล เซอร์วิศ ประเทศออสเตรเลีย ในฐานะกรรมการผู้จัดการ และประธานบริหาร ตั้งแต่ปี 2559 หลังจากที่เคยดูแล และบริหารการเงิน ในฐานะประธานกรรมการบริหาร บีเอมดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิศ ประเทศเกาหลีใต้ สำหรับประเทศไทย ผมดูแลการบริหารธุรกิจทั้งหมดของ บีเอมดับเบิลยู กรุพ ประเทศไทย ซึ่งรวมถึง บีเอมดับเบิลยู มีนี และบีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด ฟอร์มูลา : คุณจะนำประสบการณ์มาปรับใช้กับประเทศไทยอย่างไร ? วิดมานน์ : วัฒนธรรมของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ผู้บริโภคก็แตกต่างกัน แต่ละแห่งจะมีบทเรียนที่น่าสนใจและแตกต่างกันออกไป แต่สามารถนำบทเรียนนั้นมาปรับใช้ได้ สำหรับประเทศไทย มี 2 เรื่องหลัก คือ การบริการหลังการขาย และการสร้างมูลค่าเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ตัวอย่างเช่น BSI PACKAGE ที่เพิ่มระยะการบริการจาก 5 ปี 100,000 กม. เป็น 6 ปี 120,000 กม. และล่าสุดเป็น 10 ปี 100,000 กม. นอกจากนี้ ในต่างประเทศเน้นการทำงานเป็นทีมมากๆ ดังนั้น จึงพยายามปรับ และวางแผนให้ประเทศไทยมีการทำงานไปในทิศทางเดียวกันแบบ ONE TEAM ฟอร์มูลา : วางนโยบาย และทิศทางของ บีเอมดับเบิลยู กรุพ ประเทศไทยไว้อย่างไร ? วิดมานน์ : นโยบายของประเทศไทยจะก้าวไปในทิศทางเดียวกับบริษัทแม่ที่วางไว้ ทั้งในระยะกลาง และยาว โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากวิสัยทัศน์ของ บีเอมดับเบิลยู ภายในปี 2568 จะมีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 25 รุ่น ครอบคลุมทั้งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และพลัก-อิน ไฮบริด มีทั้งรถที่นำเข้ามาจำหน่าย และผลิตในประเทศ พร้อมจะพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา บีเอมดับเบิลยู เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ดังนั้นเราจะเป็นผู้ริเริ่มเทคโนโลยีใหม่ออกสู่ตลาด ตัวอย่างเช่น ระบบ IDRIVE ใน บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 7 ตั้งแต่ ปี 2000 ซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเป็นระบบสแตนดาร์ดในอุตสาหกรรมยานยนต์ ถ้าพูดถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 ถือเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรกที่ตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปัจจุบันก็ยังทำตลาดอยู่ ระบบ PARKING ASSISTANT PLUS เพื่อช่วยนำรถเข้าไปจอดได้อัตโนมัติอย่างรวดเร็ว และปลอดภัย โดยความพิเศษของระบบนี้ คือ คนขับไม่จำเป็นต้องควบคุมเบรค และเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง ด้านบริการ บีเอมดับเบิลยู ก็มีบริการที่หลากหลาย และเทคโนโลยีที่โดดเด่น เช่น ระบบ CHARGE NOW การให้บริการชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ปัจจุบัน มีบริการแล้วในประเทศไทย DRIVE NOW จองการเช่ารถผ่านมือถือด้วยระบบแอพพลิเคชัน ที่สามารถจองการใช้รถเป็นนาที สำหรับประเทศไทย ได้นำระบบ BMW CONNECTED DRIVE บริการ และแอพพลิเคชันที่ทำให้เข้าถึงข้อมูล ระบบความบันเทิง และผู้ช่วยได้อย่างครบวงจรจากภายในรถ โดยฟีเจอร์พื้นฐานได้แก่ BMW TELESERVICES ให้บริการนัดหมายการเข้าศูนย์บริการอัตโนมัติ, BATTERY GUARD ที่ตรวจสอบแบทเตอรี และแจ้งเตือนผู้ขับหากพลังงานลดลงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน, INTELLIGENT EMERGENCY CALL ที่คนขับสามารถกดโทรหาศูนย์บริการฉุกเฉินด้วยปุ่มเดียว รวมถึงการส่งพิกัดของรถไปให้ศูนย์บริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุ โดยได้พัฒนาระบบเป็นภาษาไทย เพราะ บีเอมดับเบิลยู ต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าคนไทย และต้องการใกล้ชิดลูกค้ามากยิ่งขึ้น อีกส่วนหนึ่ง คือ ทิศทางรองรับการเติบโตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ บีเอมดับเบิลยู กรุพ แมนูแฟคเจอริง ประเทศไทย ร่วมกับ DRAXLMAIER GROUP เตรียมพร้อมสำหรับแผนประกอบแบทเตอรีแรงดันสูง HIGH-VOLTAGE BATTERY (HVB) โดยโรงงานประกอบแบทเตอรีของ บีเอมดับเบิลยู จะประกอบโมดูลแบทเตอรี ที่ถือว่าเป็นเจ้าเดียวในประเทศไทยที่ใช้เทคโนโลยีนี้ เพราะโรงงานส่วนใหญ่จะประกอบแบทเตอรีแพค แต่ของ บีเอมดับเบิลยู จะมีเทคโนโลยีที่แตกต่าง นอกจากนี้ ยังยกระดับเทคโนโลยีในสายการผลิตด้วยนวัตกรรมล้ำยุคอย่าง ADDITIVE MANUFACTURING หรือการพิมพ์แบบ 3 มิติ 3D PRINTING เพิ่มทางเลือกในการผลิต ปรับตกแต่งรถยนต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ฟอร์มูลา : บีเอมดับเบิลยู วางแผนจะลงทุนเพิ่มอีกหรือไม่ ? วิดมานน์ : ในปีที่แล้ว บีเอมดับเบิลยู ใช้งบลงทุนในประเทศไทย 818 ล้านบาท ถ้านับตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบันลงทุนไปแล้ว 5.47 พันล้านบาท โดยมีซัพพลายเออร์ที่ร่วมลงทุนกับ บีเอมดับเบิลยู หลายแห่ง เช่น เซดเอฟ ผลิตช่วงล่าง เพาเวอร์ทเรน ประกอบเครื่องยนต์ เป็นต้น โดยการลงทุนล่าสุด คือ โรงงานประกอบแบทเตอรี ซึ่งที่ผ่านมา บีเอมดับเบิลยู มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ฟอร์มูลา : บีเอมดับเบิลยู แมนูแฟคเจอริง ประกอบรถกี่รุ่น และมีแผนที่จะเพิ่มอีกหรือไม่ ? วิดมานน์ : ปัจจุบัน โรงงาน บีเอมดับเบิลยู กรุพ แมนูแฟคเจอริง ประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจให้ดำเนินการประกอบรถยนต์ บีเอมดับเบิลยู และมอเตอร์ไซค์ บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด ถึง 12 รุ่น เช่น บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3 กรัน ตูริสโม, ซีรีส์ 5, ซีรีส์ 7, เอกซ์ 1, เอกซ์ 3, เอกซ์ 5, บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอฟ 850 จีเอส เป็นต้น เป็นการตอกย้ำศักยภาพในภาคการผลิตที่แข็งแกร่งของประเทศไทย และสะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดรถยนต์พรีเมียมในระดับภูมิภาค เพราะโรงงานในประเทศไทยจะรองรับตลาดในประเทศ และส่งออก โดยโรงงานแห่งนี้จะผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ดีเซล เบนซิน และพลัก-อิน ไฮบริด ปีที่แล้วเรามียอดส่งออก ทั้งรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์รวมกว่า 5,900 คัน ต่ำกว่าปี 2560 ที่มียอดส่งออก 12,000 คัน ทั้งนี้เนื่องจากปีที่แล้ว ได้มีการปรับเปลี่ยนไลน์การผลิต บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 5 แต่ปีนี้คาดว่า ยอดส่งออกจะขยายเพิ่มขึ้นหลายเท่าถ้าเทียบกับปี 2561 ฟอร์มูลา : บีเอมดับเบิลยู ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ? วิดมานน์ : บีเอมดับเบิลยู มีเป้าหมายปรับฐานทะยานสู่ที่ 1 ใน 3 ปีข้างหน้า โดยเทียบยอดขายปี 2560 ทะลุ 10,000 คัน ส่วนปี 2561 บีเอมดับเบิลยู มียอดขาย 12,036 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 20 % สูงสุดในเครือข่าย บีเอมดับเบิลยู ทั่วโลกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ส่วน มีนี ก็ยังคงเติบโตต่อเนื่อง มียอดขาย 1,051 คัน เพิ่มขึ้น 4 % เทียบกับปี 2560 และบีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด มียอดขาย 2,154 คัน เพิ่มขึ้น 8 % และถ้าในกลุ่มของ พลัก-อิน ไฮบริด เติบโต 122 % บีเอมเบิลยู เพอร์ฟอร์มานศ์ หรือ เอม เติบโต 105 % เป้าหมายเป็นที่ 1 ภายใน 3 ปี บีเอมดับเบิลยู เตรียมพร้อมรุกตลาดเต็มที่ เน้นทั้งด้านการขาย การตลาด บริการหลังการขาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยเริ่มต้นที่การสานต่อความสำเร็จตลอดปี 2562 ด้วยทัพรถยนต์พรีเมียมในหลากหลายเซกเมนท์ และนวัตกรรมแห่งอนาคตที่ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างรอบด้าน ทั้งประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ สายการผลิตที่เปี่ยมประสิทธิภาพ และบริการแบบครบวงจร พร้อมสร้างประโยชน์ คุณค่าอันยั่งยืนให้แก่สังคม ผ่านกิจกรรม และโครงการที่หลากหลาย เราได้ขยายช่องทาง และรูปแบบการเข้ารับบริการ จากเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยให้หลากหลาย และตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว บีเอมดับเบิลยู สตูดิโอ ที่นำบริการระดับพรีเมียมเข้ามาใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้นในห้างสรรพสินค้า หรือการเปิด เออร์เบิน สโตร์ แห่งใหม่ ซึ่งเป็นโชว์รูมเต็มรูปแบบผสมผสานด้วยเทคโนโลยีล้ำยุค และพื้นที่รับรองลูกค้าสุดหรู ขณะที่แนวคิด บีเอมดับเบิลยู เซอร์วิศ เอาท์เลท เน้นขยายศักยภาพด้านบริการหลังการขายให้ครบเครื่อง และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เช่น ลูกค้าสามารถใช้บริการ ONLINE BOOKING เพื่อนัดหมายบริการล่วงหน้าผ่านทางเวบไซท์ www.bmw.co.th พร้อมการบริการ FASTLANE ที่ใช้เวลาในการตรวจซ่อมบำรุงรถยนต์จากช่างผู้ชำนาญการเพียง 90 นาที การให้บริการที่หลากหลายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ครอบคลุมตัวแทนจำหน่ายทั้ง บีเอมดับเบิลยู มีนี และ บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดยปัจจุบัน มีศูนย์ บีเอมดับเบิลยู ระบบ 3 เอส 23 แห่ง บีเอมดับเบิลยู สตูดิโอ 8 แห่ง ส่วนบริการอย่างเดียว 2 แห่ง มีนี 3 เอส 11 แห่ง สตูดิโอ 2 บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด 3 เอส 14 แห่ง สตูดิโอ 1 แห่ง ฟอร์มูลา : ทิศทางยานยนต์อนาคตจะเป็นอย่างไร ? วิดมานน์ : แน่นอนว่าทิศทางของยานยนต์ในอนาคตจะเป็นพลังงานไฟฟ้า แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทันที สำหรับแนวทางของ บีเอมดับเบิลยู เทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์สันดาป พลัก-อิน ไฮ-บริด หรือพลังงานไฟฟ้า จะสามารถทำในพแลทฟอร์มของรถแบบเดียวกัน และปรับการผลิตได้ทั้งหมดแล้วแต่ความต้องการของแต่ละตลาด อย่างไรก็ตาม ระบบไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง ต้องเติบโตควบคู่ไปกับอินฟาสตรัคเจอร์ นอกจากนี้ ยังจะต้องซัพพอร์ททั้งตลาดใน และต่างประเทศ รวมถึงยังต้องมีสิ่งเอื้อประโยชน์ในภูมิภาคอาเซียนมากกว่านี้ สิ่งที่น่าภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่ง คือ บีเอมดับเบิลยู กรุพ ประเทศไทย ได้รับเลือกให้เป็นบริษัทรถยนต์อันดับ 1 ในการสำรวจ THAILAND’S MOST ADMIRED COMPANY 2018 โดยนิตยสารบแรนด์เอจ ด้วยคะแนนที่ยอดเยี่ยมในด้านนวัตกรรม ภาพลักษณ์บแรนด์ ความสำเร็จทางธุรกิจ และความรับผิดชอบต่อสังคม
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2562
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/281880