ผมเห็นรัฐบาลพยายามออกมาตรการต่างๆเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM2.5 แล้วก็เหนื่อยแทนไม่ได้เหนื่อยแทนท่านนะครับ แต่เหนื่อยแทนคนใช้รถ ที่ต้องกลายเป็นกระโถนรองขี้ที่ท่านโยนมา เอาละ ผมเห็นด้วยว่า เราต้องกำจัดรถควันดำ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่ท่านประกาศออกมา แต่มันควรจะทำมานานแล้ว และต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะรถโดยสาร รถบรรทุก ฯลฯ ที่สำคัญ มันเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะป้องกันไม่ให้มีรถควันดำวิ่งเพ่นพ่าน ไม่ใช่วานประชาชนถ่ายรูป หรือจดเลขทะเบียนไปแจ้ง อย่างที่ประกาศบนทางด่วนว่า ใครเห็นรถควันดำช่วยโทรบอกด้วย อย่างไรก็ตาม การเน้นแต่เรื่องรถควันดำ เป็นการแก้ปัญหา PM2.5 ที่ไม่ถูกจุด เพราะรถสมัยใหม่ ไม่ว่าจะดีเซล หรือเบนซิน ผู้ผลิตเขาพัฒนาประสิทธิภาพการกำจัดมลพิษไปไกลกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้วมาก เดี๋ยวนี้มันสะอาดขึ้นเยอะ ซึ่งถ้าท่านไม่เข้าใจจุดนี้ หรือตามไม่ทันเทคโนโลยี ก็จะพยายามคิดค้นมาตรการจำกัดรถบนท้องถนน เช่น ห้ามใช้รถทะเบียนเลขคู่เลขคี่ ฯลฯ อย่างที่เห็น เราต้องมาพูดกันให้ชัดๆ ว่า PM2.5 มันมาจากไหนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเท่าที่ฟังนักวิชาการที่น่าเชื่อถือ และเป็นกลาง เขายืนยันเหมือนกันหมดครับว่า สาเหตุหลักของฝุ่นจิ๋วในบ้านเรามาจากการเผาในที่โล่ง โดยเฉพาะการเผาไร่อ้อย และข้าวโพด ผมมีบ้านอยู่ที่เขาใหญ่ครับ เห็นชาวบ้านเผาไร่ เผาป่า เผาหญ้าเป็นประจำ ส่งควันขาวเต็มท้องฟ้า และควันเหล่านี้ไม่รู้จะไปไหน ก็ลอยมากรุงเทพฯ สรุปแล้ว ฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ที่กำลังสร้างความเดือดร้อนให้เรา (ก่อนไวรัสโคโรนา จากอู่ฮั่นจะมาแย่งซีนไป) ส่วนใหญ่ คือ ควันพิษที่เกิดจากการเผาหญ้า เผาอ้อย ซึ่งป้องกันยาก และหาตัวคนทำลำบาก แถมอาจกระทบกับเกษตรกรที่รัฐส่งเสริมให้เขาปลูกอ้อย ข้าวโพด แทนทำนาข้าว รัฐท่านก็เลยหันมาตั้งข้อหากับพวกเราคนใช้รถยนต์นี่แหละ เพราะมันง่ายดี ย้ำอีกทีว่า จับไปเถอะรถควันดำ แต่รถใหม่ๆ ที่ต้องเสียภาษีแพงๆ ทุกวันนี้เขาพัฒนาจนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้วครับ อย่ามาโยนขี้ให้พวกเราเลย