เอโว ใหม่ เอาใจคนชอบซูเพอร์คาร์ขับเคลื่อนล้อหลังผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของค่าย “กระทิงดุ” ที่นำมารวบรวมไว้ในเดือนแห่งการชุมนุมรถสปอร์ท ระดับ “ซูเพอร์คาร์” นี้ คือ รถสปอร์ท ขับเคลื่อนล้อหลังติดป้ายชื่อ ลัมโบร์กินี อูรากัน เอโว เรียร์-วีลดไรฟ (LAMBORGHINI HURACAN EVO REAR-WHEEL DRIVE หรือ LAMBORGHINI HURACAN EVO RWD) ซึ่งเพิ่งเปิดตัวผ่านสื่อต่างๆ เมื่อต้นเดือนมกราคมของปีหนูทองร้องไล่ลุงนี่เอง เจ้าของเครื่องหมายการค้า “กระทิงดุ” ซึ่งเริ่มกิจการในเมืองมะกะโรนีเมื่อปี 1963 นำรถสปอร์ท ลัมโบร์กินี อูรากัน (LAMBORGHINI HURACAN) ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนแบบ WORLD PREMIERE หรือ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 84 เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2014 พร้อมประกาศว่า เป็นรถที่จะบรรจุเข้าสู่สายการผลิตแทนที่รถรุ่นเดิมซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด (LAMBORGHINI GALLARDO) และบอกด้วยว่าชื่อ HURACAN เป็นภาษาสเปน ตรงกับ HURRICANE ในภาษาอังกฤษ หรือที่เรียกกันว่าพายุ เฮอร์ริเคนในภาษาไทยนั่นเอง ในช่วงเวลาเกือบ 6 ปีที่ผ่านมานี้ ค่าย “กระทิงดุ” ปรับปรุง และเพิ่มเติมโมเดลใหม่ๆ ให้แก่รถแบบนี้แล้วหลายครั้ง ทั้งรถคูเป และรถเปิดประทุนซึ่งติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อน ล่าสุด คือ ในช่วงเวลาก่อนสิ้นปีหมูทองท้องแห้ง รถสปอร์ท กระทิงดุอนุกรมนี้ มีรถให้เลือกรวม 2 โมเดล คือ ลัมโบร์กินี อูรากัน เอโว (LAMBORGHINI HURACAN EVO) ซึ่งเป็นรถคูเปขับเคลื่อนทุกล้อ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินฉีดตรง DOHC วี 10 สูบ 90 องศา 5,204 ซีซี 470 กิโลวัตต์/640 แรงม้า ติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ และติดป้ายค่าตัวยังไม่รวมภาษี 184,034 ยูโร กับ ลัมโบร์กินี อูรากัน เอโว สไปเดอร์ (LAMBORGHINI HURACAN EVO SPYDER) ซึ่งเป็นรถเปิดประทุนขับเคลื่อนทุกล้อ ติดตั้งเครื่องยนต์ และระบบเกียร์ชุดเดียวกันกับรถคูเป แต่ติดป้ายค่าตัวสูงกว่ากันนิดหน่อย คือ 186,450 ยูโร หรือแพงขึ้นเพียง 2,416 ยูโร (ประมาณ 85,000 บาทไทย) เท่านั้นเอง ส่วน ลัมโบร์กินี อูรากัน เอโว เรียร์วีลดไรฟ (LAMBORGHINI HURACAN EVO RWD) ที่กำลังอวดโฉมอยู่นี้ เป็นรถคูเปโมเดลล่าสุด เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นเดือนมกราคม 2020 ดังที่กล่าวข้างต้น รถโมเดลใหม่นี้เป็นผลลัพธ์จากการนำรถคูเปโมเดลเดิม คือ ลัมโบร์กินี อูรากัน เอโว (LAMBORGHINI HURACAN EVO) มาปรับเปลี่ยนรายละเอียดในจุดสำคัญ 2 จุด คือ เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากขับทุกล้อ (ALL-WHEEL DRIVE) เป็นขับล้อหลัง (REAR-WHEEL DRIVE) กับปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อลดกำลังสูงสุดลงเล็กน้อย ทั้ง 2 จุดเป็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อขนาดตัวถัง คือ ยังคงเป็นตัวถัง 2 ประตู 2 ที่นั่ง ซึ่งยาว 4.520 ม. กว้าง 1.933 ม. และสูง 1.165 ม. เท่าเดิมทุกประการ รถโมเดลใหม่นี้ติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดิม คือ เครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 10 สูบ 90 องศา ความจุ 5,204 ซีซี แต่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดในบางจุด จนกำลังสูงสุดลดจาก 470 กิโลวัตต์/640 แรงม้า เป็น 449 กิโลวัตต์/610 แรงม้า คือ ลดลง 21 กิโลวัตต์/30 แรงม้า หรือเท่ากับลดลงเพียงร้อยละ 4.7 ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังยังคงเป็นเกียร์อัต-โนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะเหมือนเดิม ที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน คือ ตัวเลขความเร็ว กล่าวคือ เวลาที่ใช้ในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพิ่มจาก 2.9 เป็น 3.3 วินาที คือ ช้าลง 0.4 วินาที เวลาที่ใช้ในการทำ 0-200 กม./ชม. เพิ่มจาก 9.0 เป็น 9.3 วินาที คือ ช้าลง 0.3 วินาที ความเร็วสูงสุดก็ลดลงเล็กน้อย คือ จากที่ระบุว่าสูงกว่า 325 กม./ชม. ในรถขับทุกล้อ ก็ตัดคำว่าสูงกว่าออกไป ที่ดีขึ้นนิดหน่อยก็คือ อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งลดจาก 332 เป็น 330 กรัม/กม. จะเริ่มการส่งมอบรถในฤดูใบไม้ผลิปี 2020 ค่าตัวยังไม่รวมภาษีที่กำหนดไว้สำหรับรถที่ขายในยุโรป เริ่มต้นที่ 159,443 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 5.58 ล้านบาทไทย