500 ตัวใหม่ ไฟฟ้าล้วนๆ แบบยกแผงกับมอเตอร์ 118 แรงม้าเป็นอีกเดือนหนึ่งที่ “ระเบียงรถใหม่” บรรจุไว้แต่รถยนต์ที่วิ่งได้โดยไม่ต้องแวะปั๊มเพื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นรถสารพัดสัญชาติ คือ มีทั้งรถอิตาลี รถฝรั่งเศส รถเยอรมนีที่เจ้าของเป็นคนเยอรมัน รถเยอรมนีที่เจ้าของเป็นคนฝรั่งเศส และรถสวีเดนที่เจ้าของเป็นคนจีน ทั้งหมดล้วนเป็นรถขนาดเล็ก คันเล็กที่สุด คือ เฟียต 500 ลา ปรีมา (FIAT 500 LA PRIMA) มีตัวถังยาวกว่า 3 เมตรครึ่งนิดเดียว ส่วนคันใหญ่ที่สุด คือ โวลโว เอกซ์ซี 40 รีชาร์จ (VOLVO XC40 RECHARGE) ตัวถังก็ยังยาวไม่ถึง 4 เมตรครึ่ง ที่เหมือนกันก็คือ ทุกแบบทุกคันล้วนเป็นรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์แบบใดๆ เริ่มกันที่รถพลังไฟฟ้าจากเมืองมะกะโรนี ซึ่งเพิ่งอวดตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่เมืองมิลาน (MILAN) ในอิตาลี เมื่อวันพุธที่ 4 มีนาคม 2020 และเริ่มรับการสั่งจองผ่านระบบออนไลน์ (ONLINE) ในวันเดียวกัน โดยกำหนดค่าตัวเริ่มต้นไว้ที่ 37,900 ยูโร หรือประมาณ 1.33 ล้านบาทไทย ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกะโรนีเริ่มนำรถเก๋งขนาดมีนีติดป้ายชื่อ เฟียต 500 (FIAT 500) ออกสู่ตลาดเมื่อปี 1957 เป็นรถ 2 ประตู 4 ที่นั่ง ที่มีตัวถังยาวเพียง 2.97 ม. กว้าง 1.32 ม. และสูง 1.32 ม. เป็นรถวางเครื่องท้าย/ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซิน 2 สูบเรียง 479 ซีซี 16.5 แรงม้า ระบายความร้อนด้วยอากาศ รถรุ่นดัง-กล่าวอยู่ในสายการผลิตยาวนานเกือบ 2 ทศวรรษ (1957-1975) มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดต่างๆ มากมายหลายครั้งทั้งในส่วนของตัวถัง และเครื่องยนต์กลไก มียอดผลิตรวมแล้วเกือบ 4.0 ล้านคัน และถือเป็นเป้าหมายสำคัญของวงการรถยนต์เมืองมะกัน ทำนองเดียวกันกับรถ ฟอร์ด โมเดล ที (FORD MODEL T) ของเมืองมะกัน และรถ ซีตรอง 2 เซเว (CITROEN 2CV) ของเมืองน้ำหอม ผู้คนต้องรอคอยยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ คือ จนกระทั่งปี 2007 นั่นแหละรถรุ่นที่ 2 จึงปรากฏตัว ในรูปลักษณ์ของรถเก๋ง 3 ประตู แฮทช์แบค 4 ที่นั่ง และรถเก๋ง 2 ประตูเปิดประทุน 4 ที่นั่ง ยาว 3.546 ม. กว้าง 1.627 ม. และสูง 1.488 ม. ทั้ง 2 ตัวถังเป็นรถวางเครื่องหน้า/ขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด คือ เครื่องเบนซิน SOHC 4 สูบเรียง 1,242 ซีซี 51 กิโล-วัตต์/69 แรงม้า กับเครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,368 ซีซี 74 กิโล-วัตต์/100 แรงม้า รถรุ่นที่ 2 นี้ได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ “ยกหน้า” ไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2016 และกำลังจะถูกแทนที่ด้วยรถรุ่นใหม่ซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 อย่างไรก็ตาม แหล่ง-ข่าววงในระบุว่า แม้มีรถรุ่นใหม่แล้ว แต่รถรุ่นที่ 2 ซึ่งขณะนี้ไม่มีการผลิตในอิตาลีแต่มีในโปแลนด์ และ เมกซิโก จะยังคงอยู่ในสายการผลิตต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 2 ปี การปรากฏตัวของรถรุ่นที่ 3 ซึ่งในระยะแรกจะมีแต่ตัวถัง 2 ประตูเปิดประทุน 4 ที่นั่ง 3.630x1.690x1.530 ม. (โตขึ้นเล็กน้อยจากรถรุ่นเดิมในทุกมิติ) และมีชื่อโมเดลว่า เฟียต 500 ลา ปรีมา (FIAT 500 LA PRIMA) นี้ นับเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่อีกหน้าหนึ่งของผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่เมืองมะกะโรนี เพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่รถของค่ายนี้ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์แบบใดๆ แต่ใช้พลังไฟฟ้าล้วนๆ ในการขับเคลื่อน เป็นระบบขับซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 87 กิโลวัตต์/118 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับแบท-เตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 42 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งชาร์จไฟเต็มแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลถึง 320 กม. เมื่อวัดตามมาตรฐาน WLTP แบทเตอรีที่ว่านี้มีระบบชาร์จไฟแบบเร่งด่วนซึ่งทำให้การชาร์จไฟเพื่อให้รถวิ่งได้ไกล 50 กม. จะใช้เวลาเพียง 5 นาที และการชาร์จไฟร้อยละ 80 ก็ใช้เวลาเพียง 35 นาทีเท่านั้น ที่สมควรบอกกล่าวกันไว้ด้วยก็คือ รถพลังไฟฟ้าล้วนๆ แบบแรกของค่าย FCA (FIAT CHRYSLER AUTOMOBILES) นี้ มีโหมดการขับให้เลือก 3 แบบ คือ NORMAL-RANGE-SHERPA โดยที่ 2 โหมดแรกรถสามารถทำความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. แต่โหมดสุดท้ายซึ่งเน้นความประหยัด และตั้งชื่อตามชื่อของชนเผ่าผู้ประกอบอาชีพนำทางขึ้นยอดเขาหิมาลัยอันโด่งดัง ความเร็วสูงสุดจะลดเหลือเพียง 80 กม./ชม.