รอบรู้เรื่องรถ
หยุดยาวสงกรานต์ เชครถให้พร้อมก่อนเดินทางไกล
วันเวลาผ่านไปเหมือนติดปีก ผมตั้งใจว่าจะลงเรื่องนี้ให้ทันเทศกาลตรุษจีน แต่เพิ่งมาทราบเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า มาถึงเร็วเป็นพิเศษสำหรับปีนี้ครับ จึงขอให้เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านในช่วงเทศกาล “ตรุษไทย” แทน ซึ่งก็คือ เทศกาลสงกรานต์นั่นเองครับ วันหยุดราชการอย่างเป็นทางการดั้งเดิมนั้น คือ วันที่ 13 เมษายน มีการแถมชั่วคราวเพื่อหวังผลทางการเมืองให้อีก 2 วัน คือ วันที่ 14 และ 15 เป็นการ “แถมชั่วคราว” ที่ไม่มีวันจะทำให้หวนคืนกลับมาดังเดิมได้ ผมเองไม่ขัดข้องครับ เพราะผู้ใช้แรงงานจะต้องใช้เวลาเดินทางไป/กลับ นานพอสมควร แต่ไม่เห็นด้วยกับการ “แถม” ถ้าปีไหนเกิดมีวันที่ 15 ตรงกับวันพุธ หรือวันพฤหัสฯ ก็จะมีเสียงเรียกร้อง ให้เพิ่มวันพฤหัสกับวันศุกร์ หรือวันศุกร์ เป็นวันหยุดอย่างเป็นทางการเข้าไปอีก ถ้าวันที่ 13 ตรงกับวันจันทร์ ก็จะได้หยุดกัน 5 วัน ยังไม่พออีกหรือครับ และถ้าบังเอิญวันที่ 13 ตรงกับวันอังคาร แน่นอนว่าต้องแจกฟรีวันจันทร์ที่ 12 อยู่แล้ว ซึ่งผมเห็นด้วย แต่ไม่ควรยอมให้ใช้กฎหมู่ มาเรียกร้องให้วันศุกร์เป็นวันหยุดอีกด้วย เอาไปทำอะไรกันครับตั้ง 9 วัน ถ้าอยู่บ้านญาติก็นานจน “เซ็ง” หรือเบื่อหน้ากันแล้ว
ส่วนพวกที่ไปเที่ยวไกลนี่ หนักหนาพอสมควรครับ ทั้งค่าที่พัก และค่าอาหารในแต่ละวันที่เพิ่มขึ้นมา ถ้าไม่กลัวจน ก็ขอให้เห็นใจนายจ้าง เจ้าของกิจการเขาบ้างครับ รายรับที่หายไปถึง 7 วัน(จากเสาร์ถึงเสาร์) แทนที่จะเป็นแค่ 3 วัน ไม่น้อยเลยนะครับ โชคดีที่ไม่มีปัญหาให้ต้องถกกันในปีนี้ เพราะวันที่ 13 ตรงกับวันพฤหัสฯ ลูกจ้างก็ยังได้แถมวันจันทร์ เป็นการชดเชยวันเสาร์ที่ 15 ซึ่งเป็นวันหยุดปกติอีกอยู่ดี (เป็นวิธีคิดแบบเด็กน้อย ที่กลัวว่าจะขาดทุน หรือเสียเปรียบนายจ้าง) ก็ขอให้เที่ยว และพักผ่อนอย่างสนุก และปลอดภัยกันทุกคนนะครับ และถ้าจะมีอะไรมาทำให้ผู้ที่ท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ส่วนตัวต้องหมดความสนุก ก็คงจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุ หรือไม่ก็เพราะรถเกิดมีปัญหากลางทางขึ้นมา อย่างแรกก็พอรู้ๆ กันอยู่นะครับ ว่าถ้าหลีกเลี่ยงความมึนเมา และความประมาทได้ ก็มีโอกาสรอดสูง ตอนนี้ผมจึงขอแนะนำเฉพาะวิธีป้องกันไม่ให้เกิดกรณีหลังเท่านั้น
สำหรับผู้ที่เดินทางไกลด้วยรถยนต์ ต้องมีความพร้อมทั้งผู้ขับ และรถ สำหรับผู้ขับไม่ควรตรากตรำ โดยเฉพาะอดนอนก่อนเดินทาง ไม่อยู่ภายใต้ฤทธิ์ยารักษาโรคบางอย่างที่แพทย์ไม่แนะนำให้ขับรถ ส่วนรถก็ต้องมีสภาพพร้อมต่อการถูกใช้ในการเดินทางไกล บางคนอาจจะแย้งว่าปกติก็ขับไปทำงาน และกลับบ้านวันละ 100 กว่ากิโลเมตรอยู่แล้ว การไปเที่ยวยังจังหวัดที่ไกลไม่กี่ 100 กิโลเมตร ก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก เหมือนการขับในวันทำงานแค่สัปดาห์เดียวเอง แต่ความจริงแล้วมันต่างกันพอสมควรครับ เพราะเวลาอันมีค่าของเราในโอกาสเช่นนี้ ไม่ควรสูญไปกับการยืนข้างทางเป็นชั่วโมง เพราะรอรถยก หรือทีมช่างที่จะมาซ่อม หรือแม้ไปเสียในจังหวัดที่เป็นจุดหมายปลายทางแล้วก็ตาม ก็ยังสูญเสียเวลาพักผ่อน เวลาสนุกสนานไปอย่างน่าเสียดายมาก และไม่ใช่เดือดร้อนเฉพาะตัวเรา แต่ต้องเป็นทุกข์กันทั้งครอบครัว เพราะฉะนั้นกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าแก้ทีหลังครับ ด้วยการส่งรถเข้าตรวจความพร้อมก่อนเดินทางไกล
สำหรับผู้ที่ปฏิบัติเช่นนี้มี 2 กลุ่มครับ คือ กลุ่มที่โชคดี กับกลุ่มที่โชคร้าย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่โชคดี ก็คือ ผู้ที่ส่งรถเข้าตรวจความพร้อมในการเดินทางไกล ได้เสียเงิน และขับรถออกมาด้วยความมั่นใจ ว่ารถของเราอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แล้วไปเที่ยวจนกลับถึงบ้านโดยไม่มีปัญหาตลอดทาง
ส่วนผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่โชคร้าย ก็คือ พวกที่ปฏิบัติเหมือนกับกลุ่มแรกทุกอย่าง แต่รถก็ยังมีปัญหากลางทาง ที่ผมใช้คำว่าโชคดี และโชคร้าย ก็เพราะว่าช่างไทยไม่ได้ตรวจความพร้อมของรถด้วยวิธีที่ถูกต้อง ส่วนที่มีโอกาสทำให้รถของเราเสียกลางทางมีไม่มากครับ ถ้ารถของเราถูกบำรุงรักษาอย่างถูกต้องมาตลอด ที่พบบ่อย คือ ท่อน้ำฉีกขาด สายพานขาด ปั๊มน้ำรั่ว แบริง (ลูกปืน) ของปั๊มน้ำ หรือของอัลเทอร์เนเตอร์ชำรุด
วิธีตรวจของช่างที่ผมพบเป็นส่วนใหญ่ ก็คือ ใช้สายตามองว่า มีน้ำรั่วที่ท่อน้ำหรือไม่ มันไม่มีอยู่แล้วครับ เพราะถ้ามันแตกก่อนถูกตรวจ เจ้าของรถเขาคงขับมาไม่ถึง วิธีมองว่าท่อน้ำยังเป็นปกติ แล้วบอกว่าใช้ต่อได้ ผ่านการตรวจแล้ว แบบนี้เจ้าของรถเขาก็ทำเองได้ การตรวจสภาพสายพานของช่างไทยเกือบทุกคน ก็คือ มองดูว่ามันแตกร้าวหรือยัง แต่มองเฉพาะส่วนที่มองเห็นเท่านั้น ถ้าบังเอิญเครื่องยนต์หยุดหมุนตอนดับเครื่อง แล้วรอยร้าวที่เกือบจะขาด มันไปจมอยู่ในร่องของพูลเลย์ ก็จะไม่มีการหมุนเครื่องยนต์ตรวจให้ครบทั้งเส้น
ส่วนวิธีตรวจท่อน้ำของเครื่องยนต์ ที่ช่างควรปฏิบัติ คือ เอามือบีบดูว่าเนื้อยางแข็งกรอบหรือยัง มีรอยปริให้เห็นตอนบีบหรือไม่ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ชอบตรวจสภาพรถก่อนเดินทางไกล ก็จะเห็นเลยนะครับ ว่าทำเองก็ได้ ยางปัดน้ำฝนต้องอยู่ในสภาพดี ปัดน้ำจากกระจกได้เกลี้ยง ถึงช่วงนี้จะไม่ใช่ฤดูฝนก็ตาม
สำหรับไฟส่องสว่างของพวกรถรุ่นใหม่ล่าสุดนั้น ไม่ต้องห่วงครับ เพราะมีความทนทานไว้ใจได้ ส่วนรถที่มีอายุมากพอสมควรนั้น ตรวจยาก เพราะต้องถอดหลอดไฟออกมา ถอดได้แล้วก็ต้องมีประสบการณ์เพียงพอ ที่จะดูไส้หลอด และเปลือกแก้วของหลอด ว่าผ่านการใช้งานมานานแค่ไหน และจะเหลืออายุใช้งานอยู่อีกเท่าใด ทางที่ดี คือ จด หรือจำกำหนดเวลาที่เริ่มใช้หลอดไฟไว้ ถ้าใช้งานกลางคืนหนักเป็นประจำ สักปีครึ่ง หรือ 2 ปีก็เปลี่ยนใหม่ได้แล้ว โดยไม่ต้องรอให้ไส้หลอดขาด ถ้าใช้น้อยก็เพิ่มระยะเวลาที่ว่านี้เข้าไป อย่าไปเสี่ยงใช้ต่อเพื่อให้ “คุ้ม” ครับ เพราะเวลามันดับตอนอยู่บนถนนต่างจังหวัดที่ไม่มีไฟส่องสว่าง เราจะเข้าใจทันที ว่าเสียเงินเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ตั้งแต่ก่อนเสีย คุ้มกว่ามาก แล้วยังได้ไฟที่สว่างกว่าด้วย เพราะความสว่างมันลดลงตามอายุการใช้งาน แต่ถ้าเป็นโคมไฟแบบซีนอนของรถรุ่นที่ค่อนข้างใหม่ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องสนใจอายุใช้งานครับ ใช้ไปจนกว่าจะเกิดปัญหาให้เราเห็น อย่าลืมตรวจลมยางของล้ออะไหล่ด้วย ที่เป็นปัญหาประจำของผู้ใช้รถชาวไทย คือ พอเปลี่ยนเอาล้ออะไหล่ใส่ แล้วเอาแม่แรงลง จึงรู้ว่าไม่ได้เติมลมล้ออะไหล่มาเกือบปีแล้ว ถ้าไม่มีความจำเป็น ผมขอแนะนำให้เดินทางไกลเฉพาะในเวลากลางวันเท่านั้นครับ ให้ถึงที่หมายก่อนค่ำไว้เสมอ จะปลอดภัยกว่ามาก
สุดท้ายนี้ อย่าเอาชีวิตไปทิ้งกลางทาง หรือไปพรากชีวิตของผู้บริสุทธิ์อื่นเขา เพียงเพราะความมึนเมาขณะขับรถ จากการดื่มแอลกอฮอล หรือใช้สารเสพติดเลย รอให้ถึงที่หมายก่อนครับ ถ้ารู้ตัวว่าจะฝืนใจไม่ไหว ก็ต้องหาใครทำหน้าที่ขับรถได้ดีพอ มาแทนเราให้ได้ก่อนเดินทาง
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : อินเตอร์เนท
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2566
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/438924