การบ้านรัฐบาลใหม่: คิดใหม่เรื่องรถไฟฟ้า

ถ้ารัฐบาลใหม่บังเอิญไม่ใช่คนที่ “ทำแล้ว-ทำอยู่” ผมก็ขอฝากการบ้านเรื่อง นโยบายสนับสนุนรถไฟฟ้า ให้ท่านลองพิจารณาใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะประเด็นที่กำหนดให้ยกเลิกขายรถเครื่องยนต์สันดาป ภายในปี 2035 ผมแน่ใจว่า รัฐบาลใหม่จะต้องสนับสนุนรถไฟฟ้าต่อไป เพราะคนเก่าเขาทำไว้แล้ว แต่ท่านไม่จำเป็นต้องทำต่อจากเขาเสียทุกเรื่อง อย่างการยกเลิกรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งเป็นมาตรการที่เราไปเลียนแบบฝั่งยุโรปมา ปรากฏว่า ตอนนี้ต้นแบบของเราได้ประกาศเลื่อนการยกเลิกออกไปโดยไม่มีกำหนดแล้ว สาเหตุเพราะ PORSCHE (โพร์เช) คิดค้นน้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ E-FUEL เป็นผลสำเร็จ ซึ่งสามารถนำไปใช้กับเครื่องสันดาปได้เหมือนน้ำมันฟอสซิล แต่ดีกว่าตรงที่เกือบไม่ก่อให้เกิดมลพิษเลย ดังนั้น สำหรับประเทศไทย ซึ่งตามก้นเขามาแต่แรก ก็ไม่ผิดอะไรที่จะประกาศเลื่อนตามเขา เหมือนเสียบสายออกซิเจนต่อชีวิตให้อุตสาหกรรมประกอบรถสันดาป ซึ่งกำลังถูก “การุณยฆาต” ทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วยติดเตียงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ยังฟิทปั๋ง หารายได้เข้าประเทศจากการส่งออกได้เป็นกอบเป็นกำ แถมอีกไม่นาน ข้ออ้างเรื่องรถสันดาปเป็นตัวการก่อมลพิษก็จะตกไป เมื่อมีการใช้ E-FUEL อย่างแพร่หลาย ถึงตอนนั้น การคงอุตสาหกรรมประกอบรถสันดาปภายในไว้ จะมีแต่ข้อดีล้วนๆ ที่แน่ๆ คือ ไม่เกิดปัญหาคนตกงาน ซึ่งคาดว่าจะมีถึง 3 แสนคน ถ้าเรายกเลิกการประกอบรถสันดาป นอกจากนี้ การลงทุนของผู้ผลิตก็ไม่สูญเปล่า หนำซ้ำเราอาจกลายเป็นผู้ประกอบรถสันดาปส่งออกรายใหญ่ของโลกเพราะมีอีกหลายประเทศยังไม่พร้อมจะใช้รถไฟฟ้า ส่วนอุตสาหกรรมประกอบรถไฟฟ้าควรปล่อยให้ค่อยๆ เติบโตตามกลไกตลาด แค่คอยสนับสนุนตามกำลัง และหันไปเน้นการสร้างสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องให้รองรับได้เพียงพอกับจำนวนการใช้ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมด้วยว่า ไฟฟ้ายังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของพลังงานทดแทน โดยเฉพาะในวิสัยทัศน์ของผู้ผลิตรถญี่ปุ่นที่มองว่า รถไฟฟ้าไม่ได้ทำให้โลกสะอาดทั้งใบ เพราะโรงไฟฟ้ายังสร้างมลพิษอย่างต่อเนื่อง จึงพยายามค้นหาพลังงานที่บริสุทธิ์กว่าอย่าง ไฮโดรเจน และเซลล์เชื้อเพลิง รวมถึงพลังงานจากแหล่งอื่นๆ ถ้ารัฐบาลใหม่ไม่ใช่คนที่ “ทำแล้ว-ทำอยู่” และไม่รู้จะทำอย่างไรกับอุตสาหกรรมยานยนต์ คำแนะนำง่ายๆ ของผม คือ ปล่อยให้มันขับเคลื่อนอิสระโดยผู้ประกอบการ และกลไกตลาด ส่วนท่านทำหน้าที่แค่อำนวยความสะดวก และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้ประเทศก็เพียงพอแล้ว