มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์เจนีวา 2024
ขาลงของงานแสดงรถยนต์ที่เคยยิ่งใหญ่ระดับโลก จุดเด่นอยู่ที่รถเมืองน้ำหอม และรถสายพันธุ์มังกร
มหกรรมยานยนต์เจนีวา หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า GENEVA INTERNATIOAL MOTOR SHOW เป็นงานแสดงรถยนต์รายการสำคัญของโลกซึ่งจัดต่อเนื่องกันมาทุกๆ ปี ตั้งแต่ปี 1905 แต่ต้องยุติไปในปี 2020 เนื่องจากเกิดปัญหาไวรัส COVID-19 ระบาดทั่วโลก หลังจากหยุดจัดงานไป 4 ปี และเลี่ยงไปจัดงานที่นครโดฮาของกาตาร์ 1 ครั้ง เมื่อปลายปี 2023 ในปี 2024 นี้ มหกรรมยานยนต์เจนีวาก็อุบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเมืองสำคัญระดับ “นานาชาติ” ของสวิทเซอร์แลนด์แดนนาฬิกา ทีมงานของ “สื่อสากล” เดินทางไปเยือนงานนี้มาแล้วมากกว่า 30 ครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ไป
มหกรรมยานยนต์เจนีวา 2024 มีขึ้นในช่วงเวลา 7 วัน คือ ระหว่างวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ จนถึงวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2024 สถานที่จัดงานเป็นที่เดิม คือ ศูนย์นิทรรศการ PALEXPO (ปาเลกซ์โป) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้สนามบิน งานชื่อเดิม สถานที่จัดงานเดิม ที่ไม่เหมือนเดิม คือ พื้นที่จัดงาน ซึ่งกล่าวโดยสรุปได้ว่าแคบกว่างาน MOTOR EXPO หรือมหกรรมยานยนต์ ที่จัดในประเทศไทย กับจำนวน และคุณภาพของรถยนต์ที่แสดงในงาน เพราะงานนี้มีรถยี่ห้อใหญ่ๆ อยู่ไม่กี่เจ้า เป็นรถฝรั่งเศสกับรถจีน นอกนั้นเป็นรถโบราณ และรถสำหรับตลาดเฉพาะ ซึ่งเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า NICHE MARKET บางยี่ห้อนั้นเหลือเชื่อจริงๆ เพราะอยู่ในวงการสื่อรถยนต์มายาวนานเกือบครึ่งศตวรรษ เพิ่งได้ยินชื่อเป็นครั้งแรก
หลังวันปิดงาน ผู้จัดงานระบุว่า งานนี้มีผู้ร่วมงานรวม 37 ราย มีผู้ชมงานประมาณ 168,000 คน มีผู้ลงทะเบียนในฐานะผู้สื่อข่าวประมาณ 2,000 คน มีรถแสดงในงานแค่ 157 คัน ซึ่งในจำนวนนี้ 13 แบบ เป็นรถซึ่งปรากฏตัวในลักษณะ WORLD PREMIERE หรือ “ครั้งแรกในโลก” และอีก 10 แบบ เป็นการปรากฏตัวในลักษณะ EUROPEAN PREMIERE หรือ “ครั้งแรกในยุโรป” ส่วนหนึ่งของรถที่ว่านี้ เรานำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังแล้วใน 12 หน้าต่อจากนี้ ที่ยืนยันได้ก็คือ มีโอกาสใกล้ศูนย์ที่จะได้เห็นรถเหล่านี้วิ่งอยู่ตามท้องถนน ในประเทศที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อเศรษฐี...ขอโทษ...เศรษฐา
RENAULT 5 E-TECH ELECTRIQUE
ยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอมใช้รถที่เคยโด่งดังในอดีต คือ RENAULT 5 (เรอโนลต์ 5) ที่เคยครองตำแหน่งรถขายดีที่สุดในฝรั่งเศส และมียอดผลิตสูงกว่า 5.5 ล้านคัน ในช่วงเวลา 14 ปี (1972-1986) เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นแนวทางในการออกแบบ/พัฒนารถ RENAULT 5 ยุคใหม่ซึ่งปรากฏตัว “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ พร้อมกับป้ายชื่อ RENAULT 5 E-TECH ELECTRIQUE (เรอโนลต์ 5 อี-เทค เอแลกตรีเกอ) เป็นรถขับล้อหน้าด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งมีขนาดตัวถัง 3.920x1.770x1.500 ม. ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งมีให้เลือก 3 ขนาด คือ 70 กิโลวัตต์/95 แรงม้า-90 กิโลวัตต์/120 แรงม้า และ 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ส่วนแบทเตอรี LITHIUM-ION (ลิเธียม-ไอออน) มี 2 ขนาดความจุ คือ 40 กับ 52 กิโลวัตต์ชั่วโมง รถโมเดลหัวกะทิซึ่งติดตั้งมอเตอร์ และแบทเตอรีขนาดใหญ่สุด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาไม่ถึง 8 วินาที ความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. และวิ่งได้ไกลถึง 400 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม
RENAULT SCENIC E-TECH ELECTRIQUE
เจ้าของตำแหน่ง CAR OF THE YEAR 2024 เปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2023 แต่ทีมงานของเราเพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเป็นครั้งแรกที่งานนี้ แตกต่างจากรถติดป้ายชื่อ RENAULT SCENIC (เรอโนลต์ เซนิก) 4 รุ่นแรก ที่อยู่ในสายการผลิตระหว่างปี 1996-2022 ในจุดสำคัญ 2 จุด คือ เปลี่ยนจาก COMPACT MPV หรือรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กกะทัดรัด เป็น COMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกะทัดรัด และเปลี่ยนระบบขับ จากขับด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ มีขนาดตัวถัง 4.470x1.864x1.571 ม. และมีรถให้เลือก 2 โมเดลหลัก โมเดลแรกใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรี 60 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเมื่อชาร์จไฟเต็มรถจะวิ่งได้ไกล 430 กม. (WLTP) ส่วนโมเดลหลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 160 กิโลวัตต์/218 แรงม้า กับแบทเตอรี 87 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งรถจะวิ่งได้ไกลถึง 625 กม. (WLTP) เมื่อชาร์จไฟเต็ม
DACIA SANDRIDER
DACIA (ดาเซีย) ผู้ผลิตรถยนต์ของโรมาเนีย ซึ่งปัจจุบันเป็นสมบัติของยักษ์ใหญ่ RENAULT (เรอโนลต์) ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากแก่งานนี้ โดยนำผลงานใหม่ออกแสดงแบบ “ครั้งแรกในโลก” ถึง 3 รายการ อันดับแรก คือ DACIA SANDRIDER (ดาเซีย แซนด์ไรเดอร์) ที่ปรากฏภาพทั้งในหน้าซ้าย และขวา เป็น PROTOTYPE (พโรโทไทพ์) หรือต้นแบบของรถตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ทีมแข่งรถ DACIA SANDRIDERS ของค่ายนี้จะใช้ในการแข่งรถ DAKAR RALLY และการแข่งแรลลีชิงแชมพ์โลก WORLD RALLY-RAID CHAMPIONSHIP ตัวถังซึ่งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์มีขนาด 4.140x2.290x1.810 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 3.000 ม. เป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อด้วยพลังของเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเบนซินฉีดตรง วี 6 สูบ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 265 กิโลวัตต์/360 แรงม้า ที่ 5,000 รตน. และส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ SEQUENTIAL 6 จังหวะ
DACIA SPRING
ปรากฏตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้เช่นกัน คือ DACIA SPRING (ดาเซีย สปริง) รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นรถตลาด หรือรถผลิตเพื่อจำหน่าย ซึ่งผู้ผลิตยืนยันว่าเป็น THE BEST VALUE FOR MONEY ALL-ELECTRIC CAR IN EUROPE หรือรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดในยุโรป รวมทั้งมีห้องเก็บของท้ายรถที่จุมากกว่ารถระดับเดียวกันทุกแบบทุกรุ่นอีกต่างหาก คือ จุถึง 308 ลิตร และเพิ่มเป็น 1,004 ลิตร เมื่อพับราบเบาะหลัง เป็น MINI CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดมีนี ซึ่งมีตัวถังยาวเพียง 3.70 ม. มีขุมพลังขับเคลื่อนด้วยล้อหน้าให้เลือก 2 แบบเหมือนรถรุ่นก่อน คือ แบบมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 48 กิโลวัตต์/65 แรงม้า กับแบบมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 33 กิโลวัตต์/45 กิโลวัตต์ ส่วนแบทเตอรี LITHIUM-ION มีขนาดความจุเดียว คือ 26.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP รถจะวิ่งได้ไกลกว่า 220 กม.
DACIA DUSTER
ผลงานใหม่อีกรายการหนึ่งที่ค่าย DACIA นำออกอวดตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ คือ DACIA DUSTER (ดาเซีย ดัสเตอร์) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 3 เป็น SUBCOMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ซึ่งมีขนาดตัวถัง 4.340x1.810x1.660 ม. เป็นตัวถังทรง 2 กล่องที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดตั้งแต่พื้นรถจรดหลังคา มีทั้งรถขับล้อหน้า ขับทุกล้อ และมีขุมพลังขับเคลื่อนให้เลือกรวม 3 แบบ คือ ด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซิน/LPG 3 สูบเรียง 1.0 ลิตร 74 กิโลวัตต์/100 แรงม้า ด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน 3 สูบเรียง 1.2 ลิตร พร้อมระบบ MILD HYBRID หรือไฮบริดแบบอ่อน ได้กำลังรวมสูงสุด 96 กิโลวัตต์/130 แรงม้า และด้วยพลังของระบบไฮบริดซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 1.6 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ได้กำลังรวมสูงสุด 103 กิโลวัตต์ 140 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์มี 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
DENZA N7
SHENZHEN BYD NEW ENERGY (เซิ่นเจิ้น บีวายดี นิว เอเนอร์จี) บริษัทรถยนต์ซึ่งก่อกำเนิดในเมืองมังกรเมื่อปี 2010 จากการร่วมทุนระหว่างผู้ผลิตรถ BYD (บีวายดี) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน กับผู้ผลิตรถ MERCEDES (เมร์เซเดส) ของเยอรมนี นำผลงานใหม่ออกแสดงในงานนี้หลายรุ่น หลายแบบ รถใหม่ที่สุด และน่าสนใจที่สุด คือ DENZA N7 (เดนซา เอน 7) ซึ่งปรากฏตัวแบบ “ครั้งแรกในยุโรป” ที่งานนี้ หลังจากเริ่มจำหน่ายในเมืองมังกรเมื่อเดือนกรกฎาคม ปีกระต่าย เป็น ELECTRIC MID-SIZE CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดกลาง ในตัวถังขนาด 4.860x1.935x1.602 ม. ที่ใช้ชิ้นส่วนหลายชิ้นร่วมกันกับรถร่วมเครือ คือ BYD SEAL (บีวายดี ซีล) ติดตั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งมีให้เลือก 2 ขนาด คือ 230 กิโลวัตต์/310 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง กับ 390 กิโลวัตต์/530 แรงม้า ขับเคลื่อนทุกล้อ ส่วนแบทเตอรีมีขนาดเดียว คือ 82.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง
BYD SEAL U DM-1
BYD ผู้ผลิตรถพลังไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของเมืองมังกรไฟก็ออกงานนี้เช่นกัน และรถที่น่าสนใจที่สุดในพื้นที่ของค่ายนี้ก็คือ รถติดป้ายชื่อ BYD SEAL U DM-1 (บีวายดี ซีล ยู ดีเอม-1) ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย เป็น MID-SIZE CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดกลาง และเป็นรถ PLUG-IN HYBRID (พลัก-อิน ไฮบริด) สัญชาติจีนแบบแรกที่เข้าไปจำหน่ายในทวีปยุโรป มีขนาดตัวถัง 4.775x1.890x1.670 ม. คือ กว้าง และสูงกว่ากันเล็กน้อย เมื่อเทียบกับตัวถังของรถเก๋งซีดานพลังไฟฟ้า BYD SEAL ที่กำลังขายดิบขายดีอยู่ในประเทศไทย ติดตั้งระบบขับไฮบริดซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินความจุ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรีขนาดความจุ 18.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลประมาณ 110 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม ไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 นี้จะเริ่มการจำหน่ายในตลาดยุโรป
MG CYBERSTER
อวดตัวมาแล้วหลายงาน ทั้งสมัยที่ยังเป็นเพียงรถแนวคิด และเมื่อกลายสภาพเป็นรถตลาด หรือรถผลิตเพื่อจำหน่ายสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังเรียกความสนใจจากผู้คนได้อย่างอึงคะนึง เมื่อรถติดป้ายชื่อ MG CYBERSTER (เอมจี ไซเบอร์สเตอร์) ไปอวดโฉมให้คนรักรถในยุโรปได้สัมผัสตัวจริงที่งานนี้ หลังจากเห็นแต่ภาพมานมนาน เป็นรถสปอร์ทเปิดประทุน 2 ประตู 2 ที่นั่ง ในตัวถังขนาด 4.535x1.913x1.329 ม. ซึ่งมีช่วงฐานล้อยาว 2.690 ม. ติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อน และประตูข้างที่เปิด/ปิดแบบขากรรไกร เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งให้กำลังสูงสุด 375 กิโลวัตต์/510 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุด 725 นิวตันเมตร/74.0 กก.-ม. ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีขนาดความจุ 77 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 3.2 วินาที และคาดว่าจะวิ่งได้ไกล 443 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP
MG3 HYBRID+
ผลงานเพียงชิ้นเดียวของค่าย MG (เอมจี) ซึ่งปรากฏตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ MG3 HYBRID+ (เอมจี 3 ไฮบริด พลัส) ซึ่งเคลือบตัวถังด้วยสีฟ้าสดใสอย่างที่เห็นในภาพ เป็นโมเดลหนึ่งของรถ MG3 รุ่นใหม่ (รุ่นที่ 3) ซึ่งจะมีให้เลือกทั้งรถเบนซิน รถไฮบริด และขณะนี้ยังไม่ได้เข้ามาขายในประเทศไทย รถโมเดลนี้มีขนาดตัวถัง 4.113x1.797x1.502 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 2.570 ม. ติดตั้งระบบขับล้อหน้าแบบไฮบริด ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 1.5 ลิตร 75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า 250 นิวตันเมตร/25.5 กก.-ม. ระบบเกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ และแบทเตอรี LITHIUM-ION ขนาดความจุ 1.83 กิโลวัตต์ชั่วโมง ได้กำลังรวมสูงสุด 143 กิโลวัตต์/194 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน เวลา 8.0 วินาที และมี CURB WEIGHT หรือน้ำหนักรถพร้อมขับ 1,285 กก.
MG9 EV/MG S9 EV
ทีมงานของเรามีโอกาสสัมผัสตัวจริงเป็นครั้งแรกที่งานนี้เช่นกัน คือ รถพลังไฟฟ้าล้วนๆ MG9 EV (เอมจี 9 อีวี) กับ MG S9 EV (เอมจี เอส 9 อีวี) คันแรก (สีขาว) เป็น FULL-SIZE SEDAN หรือรถเก๋งซีดานขนาดโตเต็มพิกัด ในตัวถังขนาด 5.000x1.953x1.494 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 3.000 ม. ติดตั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 400 กิโลวัตต์/544 แรงม้า และใช้แบทเตอรีขนาดความจุ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งคาดหมายว่าเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 505 กม. ส่วนคันหลัง (สีเทา) เป็น MIDSIZE FASTBACK SEDAN หรือรถเก๋งซีดานท้ายลาดขนาดกลาง ในตัวถังขนาด 4.900x1.925x1.655 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 2.950 ม. ติดตั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 250 กิโลวัตต์/400 แรงม้า และใช้แบทเตอรีขนาดความจุ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP คาดหมายว่ารถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 536 กม.
IM L6
IM MOTORS (ไอเอม มอเตอร์ส) บริษัทผู้ผลิตรถพลังไฟฟ้าสัญชาติจีน ซึ่งเพิ่งก่อตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2020 โดยมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 3 ราย คือ SAIC MOTOR (54 %) ZIANGJIANG HI-TECH (18 %) และ ALIBABA GROUP (18 %) นำผลงานออกแสดงในงานนี้ครบทุกแบบ แต่มีอยู่เพียงแบบเดียวเท่านั้นที่เป็นการปรากฏตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” คือ IM L6 (ไอเอม แอล 6) ที่เห็นในภาพใหญ่ และภาพเล็กซ้ายมือ เป็น MID-SIZE SEDAN หรือรถเก๋งซีดานขนาดกลาง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการจำหน่ายในทวีปยุโรป และอเมริกาใต้ ในปี 2025 มีขนาดตัวถัง 4.931x1.960x1.474 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 2.950 ม. มีทั้งรถขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งมีกำลังสูงสุด 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า หรือ 379 กิโลวัตต์/515 แรงม้า และรถขับเคลื่อนทุกล้อ ซึ่งเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 200 กิโลวัตต์/272 แรงม้า ให้แก่ล้อคู่หน้า ส่วนแบทเตอรี TERNARY LITHIUM (NCM) ที่ใช้ จะมี 2 ขนาดความจุ คือ 90 หรือ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง
IM LS6
รถตลาด หรือรถผลิตเพื่อจำหน่ายอีกแบบหนึ่งที่ IM MOTORS ซึ่งเริ่มจำหน่ายรถแบบแรกในจีนเมื่อปี 2022 นำออกแสดงในงานนี้ คือ IM LS6 (ไอเอม แอลเอส 6) ในภาพเล็กขวามือ เป็น MID-SIZE CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดกลาง ซึ่งเปิดตัวในเมืองมังกรเมื่อเดือนสิงหาคม 2023 และเริ่มการจำหน่ายไม่นานหลังจากนั้น รถที่กำลังจะส่งไปจำหน่ายในยุโรปมีขนาดตัวถัง 4.904x1.988x1.669 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 2.950 ม. ติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ให้กำลังรวม 579 กิโลวัตต์/787 แรงม้า และแรงบิดรวม 800 นิวตันเมตร/81.6 กก.-ม. ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรี TERNARY LITHIUM (NCM) ขนาดความจุ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 3.48 วินาที ส่วนระยะเดินทาง คาดหมายว่าเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP รถน่าจะวิ่งได้ไกลถึง 560 กม.
IM L7
รถติดป้ายชื่อ IM L7 (ไอเอม แอล 7) ในภาพซ้ายมือ เปิดตัวในเมืองมังกรเมื่อวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2024 คือ เพียง 2 วัน ก่อนการปรากฏตัวในงานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งนี้ เป็นรถเก๋งซีดานขนาดโตเต็มพิกัด และเป็นรถธงในสายการผลิตของค่ายนี้ มีขนาดตัวถัง 5.108x1.960x1.485 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 3.100 ม. เป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ให้กำลังรวมสูงสุด 425 กิโลวัตต์/578 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุด 725 นิวตันเมตร/74.0 กก.-ม. ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรี TERNARY LITHIUM (NCM) ขนาดความจุ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.87 วินาที และคาดหมายว่าจะวิ่งได้ไกล 500 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP ในสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีทั้งรถขับเคลื่อนล้อหลัง และรถขับเคลื่อนทุกล้อ ค่าตัวของรถแบบนี้เริ่มต้นที่ 299,000 หยวน หรือประมาณ 1.56 ล้านบาทไทย
IM LS7
ผลงานชิ้นสุดท้ายของ IM MOTORS ที่พบได้ในงานนี้ ซึ่งในรอบปี 2023 สามารถขายรถในเมืองมังกรไฟได้เพียง 38,253 คัน คือ IM LS7 (ไอเอม แอลเอส 7) ที่เห็นในภาพขวามือ เป็น PURE ELECTRIC LUXURY LARGE CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดใหญ่ ที่เริ่มจำหน่ายในเมืองมังกรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2023 มีขนาดตัวถัง 5.056x2.002x1.731 ม. มีช่วงฐานล้อยาว 3.060 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.268 ติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ให้กำลังรวมสูงสุด 425 กิโลวัตต์/578 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุด 725 นิวตันเมตร/74.0 กก.-ม. ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรี TERNARY LITHIUM (NCM) ขนาดความจุ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งคาดหมายว่าเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP จะวิ่งได้ไกลถึง 530 กม. (เกือบลืมบอก IM ย่อมาจาก INTELLIGENT MOBILITY หรือการเคลื่อนที่อย่างชาญฉลาด)
TOTEM GTA MODIFICATA
TOTEM GTA MODIFICATA (โตเตม จีตีอา โมดิฟีกาตา) หนึ่งในบรรดารถใหม่รวม 13 แบบ ซึ่งปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ เป็นผลงานของ TOTEM AUTOMOBILI (โตเตม ออโตโมบิลี) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายย่อยของอิตาลี ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ในเมือง VENICE (เวนิศ) พัฒนาจากรถ ALFA ROMEO GTAM (อัลฟา โรเมโอ จีตีอาเอม) ที่เคยโด่งดังในอดีต โดยจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 5 คัน ตัวถังทรง 3 กล่อง ซึ่งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์มวลเบา วัดขนาดความยาวได้ 4.340 ม. ความกว้าง 1.780 ม. และมีน้ำหนักตัว 1,095 กก. ติดตั้งระบบขับล้อหลังด้วยพลังของเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเบนซิน วี 6 สูบ 2.8 ลิตร ซึ่งให้กำลังสูงสุด 595 กิโลวัตต์/810 แรงม้า และส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ SEQUENTIAL 6 จังหวะ เป็นรถที่แรง และเร็ว ทั้งตีนต้น/ตีนปลาย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 2.6 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด คือ สูงกว่า 300 กม./ชม.
KIMERA EVO38
KIMERA EVO38 (กีเมรา เอโว 38) ผลงานใหม่ของ KIMERA AUTOMOBILI (กีเมรา ออโตโมบิลี) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายย่อยซึ่งมีที่ทำการอยู่ในเมือง CUNEO (กูเนโอ) ในภาคเหนือของอิตาลี เป็นรถอีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัว “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ เป็นรถเร็ว รถแรง ที่จะจำกัดจำนวนไว้เพียง 38 คันตามชื่อรถ ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง GROUP B ของค่าย LANCIA (ลันชา) ที่คว้าตำแหน่งแชมพ์โลกรถแข่งแรลลีในปี 1983 พัฒนาต่อกิ่งต่อยอดจากรถรุ่นก่อนหน้านี้ คือ KIMERA EVO37 (กีเมรา เอโว 37) ซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อปี 2022 โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดหลายจุด รวมทั้งเปลี่ยนระบบขับเคลื่อน จากขับล้อหลังเป็นขับทุกล้อ และปรับแต่งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 2.1 ลิตร ติดซูเพอร์ชาร์เจอร์ และเทอร์โบชาร์เจอร์ จนกำลังสูงสุดพุ่งทะยานขึ้นเป็น 447 กิโลวัตต์/608 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า/คู่หลัง ยังคงเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเช่นเดิม
LUCID GRAVITY
LUCID MOTORS (ลูซิด มอเตอร์ส) บริษัทผู้ผลิตรถพลังไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2007 มีสำนักงานใหญ่อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และมีฐานการผลิตอยู่ในรัฐแอริโซนา นำผลงานใหม่ๆ ออกอวดตัวแบบ “ครั้งแรกในยุโรป” หลายรายการ ผลงานล่าสุด และใหม่สุด คือ LUCID GRAVITY (ลูซิด กราวิที) ที่เห็นใน 3 ภาพบน เป็น ELECTRIC FULL-SIZE SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดโตเต็มพิกัด ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งจะเริ่มการจำหน่ายตอนปลายปี 2024 นี้ พร้อมกับป้ายค่าตัวซึ่งจะเริ่มต้นที่ระดับ 80,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3.0 ล้านบาทไทย จะมีทั้งรถขับเคลื่อนล้อหลัง และรถขับเคลื่อนทุกล้อ ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ซึ่งให้กำลังรวม 4 ระดับ คือ 358 กิโลวัตต์/480 แรงม้า-463 กิโลวัตต์/620 แรงม้า-784 กิโลวัตต์/1,050 แรงม้า และ 784 กิโลวัตต์/1,234 แรงม้า จะมีอุปกรณ์พิเศษให้เลือกใช้มากมาย รวมทั้งระบบรองรับด้วยลม และระบบบังคับเลี้ยวด้วยล้อหลังควบคู่กับล้อหน้า
LUCID AIR PURE
รถใหม่อีกแบบหนึ่งซึ่ง LUCID MOTORS (ลูซิด มอเตอร์ส) ของสหรัฐอเมริกา นำออกอวดตัวแบบ “ครั้งแรกในยุโรป” ที่งานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ LUCID AIR PURE (ลูซิด แอร์ เพียวร์) ที่เห็นในภาพซ้ายมือ เป็นโมเดลเริ่มต้นของรถเก๋งซีดานพลังไฟฟ้า LUCID AIR (ลูซิด แอร์) ที่เปิดตัวมานมนาน คือ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2016 แต่เพิ่งเริ่มการจำหน่ายเมื่อปี 2021 พร้อมกับเสียงวิจารณ์จากสื่อมวลชนในเมืองมะกันว่า ไม่น้อยหน้ารถ TESLA MODEL S (เทสลา โมเดล เอส) แม้แต่น้อย เป็น EXECUTIVE CAR หรือรถสำหรับนักบริหาร ในตัวถังขนาด 4.976x2.195x1.407 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่เยี่ยมยอดมาก คือ แค่ 0.197 ติดตั้งระบบขับเคลื่อนล้อหลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 321 กิโลวัตต์/430 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ในเวลา 4.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม. และจะวิ่งได้ไกลถึง 660 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน EPA ของสหรัฐอเมริกา
LUCID AIR SAPPHIRE
รถใหม่แบบที่ 3 ของ LUCID MOTORS (ลูซิด มอเตอร์ส) ก็เป็นรถที่อวดตัวแบบ “ครั้งแรกในยุโรป” เช่นกัน คือ LUCID AIR SAPPHIRE (ลูซิด แอร์ แซฟไฟร์) ที่เห็นในภาพขวามือ เป็น TOP MODEL หรือโมเดลหัวกะทิของรถ LUCID AIR (ลูซิด แอร์) ที่เริ่มจำหน่ายในเมืองมะกันเมื่อปลายปี 2021 ดังที่กล่าวไปแล้ว รถโมเดลนี้ค่าตัวในเมืองมะกันแพงมาก คือ เริ่มต้นที่ระดับ 249,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 9.5 ล้านบาทไทย มีขนาดตัวถังเท่ากันในทุกมิติกับรถโมเดลเริ่มต้น คือ 4.976x2.195x1.407 ม. แต่เปลี่ยนระบบขับ จากขับล้อหลังเป็นขับทุกล้อ เป็นระบบที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าถึง 3 ชุด โดยชุดหนึ่งขับล้อคู่หน้า อีก 2 ชุดขับล้อคู่หลัง ให้กำลังรวมสูงสุด 920 กิโลวัตต์/1,234 แรงม้า จัดเป็นรถที่แรง และเร็วแบบสุดๆ อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 1.89 วินาที แถมเป็นรถแรงที่วิ่งได้ไกล เพราะเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน EPA ของสหรัฐอเมริกา รถจะวิ่งได้ไกลถึง 690 กม.
FOXTRON MODEL B
เป็นรถใหม่อีกแบบหนึ่งที่เพิ่งได้ยินชื่อ และได้สัมผัสตัวจริงเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คือ FOXTRON MODEL B (ฟอกซ์ทรอน โมเดล บี) ที่สำนักออกแบบเลื่องชื่อของเมืองมะกะโรนี คือ PININFARINA (ปินินฟารีนา) รังสรรค์ให้แก่ FOXTRON VEHICLE TECHNOLOGIES (ฟอกซ์ทรอน เวฮิเคิล เทคโนโลยี) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์นั่ง และรถโดยสารพลังไฟฟ้าของไต้หวัน เป็น ELECTRIC SUB-COMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่จะมีการผลิตทั้งในเมืองแม่ และสหรัฐอเมริกา ตัวถังทรง 2 กล่องขนาด 4.320x1.865x1.530 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.26 มีจุดเด่นสะดุดตาอยู่หลายจุด โดยเฉพาะ D-PILLARS หรือเสาค้ำยันหลังคาคู่ท้ายสุด ซึ่งมีรูปลักษณ์ไม่เหมือนรถคันใดในโลก จะมีทั้งรถขับเคลื่อนล้อหลัง รถขับเคลื่อนทุกล้อ และจะวิ่งได้ไกลกว่า 500 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน NEDC
ERREERRE FUORISERIE GIULIA 1962 REBORN
เป็นรถใหม่อีกแบบหนึ่งที่ทีมงานของเราเพิ่งได้ยินชื่อพร้อมได้สัมผัสตัวจริงเป็นครั้งแรก คือ รถชื่อเรียกยาก ERREERRE FUORISERIE GIULIA 1962 REBORN (แอร์เรแอร์เร ฟูโอริเซรี จูลีอา 1962 รีบอร์น) เป็นอีกคันหนึ่งซึ่งปรากฏตัวแบบ “ครั้งแรกในยุโรป” ที่งานนี้ เป็นผลงานของ ERREERRE FUORISERIE (แอร์เรแอร์เร ฟูโอริเซรี) ผู้ผลิตรถยนต์รายย่อยของเมืองมะกะโรนีที่มีถิ่นฐานอยู่ในเมือง TURIN (ตูริน) ไม่ใช่รถที่ทำขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่เป็นผลลัพธ์ของการนำรถที่เคยโด่งดังในอดีต คือ ALFA ROMEO GIULIA QUADRIFOGLIO (อัลฟา โรเมโอ จูลีอา กวาดริโฟกลีโอ) รุ่นปี 1962 มาทำใหม่ ตัวถังทรง 3 กล่อง ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์มวลเบา ไม่ใช่ตัวถังเหล็กกล้าเหมือนเดิม ติดตั้งเครื่องยนต์ไบ-เทอร์โบเบนซิน วี 6 สูบ 90 องศา 2,891 ซีซี ซึ่งให้กำลังสูงถึง 416 กิโลวัตต์/562 แรงม้า และส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ZF เป็นรถที่จะจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 33 คันเท่านั้น
LAMBORGHINI V12 VISION GT
เปิดตัวเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ยังทำให้ผู้ชมงานบางคนออกอาการกระดี๊กระด๊าได้เมื่อ LAMBORGHINI V12 VISION GT (ลัมโบร์กินี วี 12 วิชัน จีที) ปรากฏตัวในงานนี้ เป็นรถสปอร์ทที่นั่งเดียวที่ค่าย “กระทิงดุ” รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการรำลึกถึง FERDINAND PIECH (เฟร์ดินันด์ พีค) คนดังของวงการรถยนต์เมืองเบียร์ผู้ล่วงลับไปแล้ว จำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 63 คัน และตั้งราคาค่าตัวไว้สูงลิบถึง 3.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 145 ล้านบาทไทย เป็นรถแรง และเร็ว สมกับคำเรียก “ไฮเพอร์คาร์” เพราะติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อ ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี 12 สูบ ความจุ 6.5 ลิตร ทำงานร่วมกันกับระบบ MILD HYBRID หรือไฮบริดแบบอ่อน ได้กำลังรวมสูงสุดที่สูงกว่า 800 แรงม้า ที่น่าสนใจมากก็คือ แม้เป็นรถที่ทั้งแรง และเร็ว แต่รถสปอร์ทที่นั่งเดี่ยวแบบนี้กลับมีน้ำหนักตัวเพียง 819 กก. เท่านั้นเอง ซึ่งนับว่าเบามากเมื่อเทียบกับรถสปอร์ทแบบอื่นๆ ของค่ายนี้