สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์
ยุคของการเปิดการค้าเสรีรถยนต์ในสมัย อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี
ถือเป็นยุคทองของธุรกิจรถยนต์ในประเทศไทย และ บริษัท เอส.อี.ซี. กรุ๊ป จำกัด
ก็ถือกำเนิดขึ้นในช่วงนั้น และเจริญเติบโตอย่างมั่นคงมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่หลายๆ
บริษัทที่เริ่มพร้อมกัน ต้องล้มหายตายจากไปตามกระแสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงที่ผ่านมา
ล่าสุดยังได้ก่อตั้ง บริษัท ซันยอง ประเทศไทย จำกัด เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ซังยง
ในประเทศไทย อีกด้วย "ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ กรรมการบริหาร บริษัท
เอส.อี.ซี. กรุ๊ป จำกัด
ฟอร์มูลา ่: เหตุใด เอส.อี.ซี. กรุ๊ป ฯ จึงไม่เริ่มด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายหรือดีเลอร์รถยนต์ ?
สมพงษ์ : การเป็นตัวแทนจำหน่ายหรือดีเลอร์ ในช่วงเริ่มต้นกิจการ คือยังไม่พร้อมในหลายด้าน
จึงมองว่าการนำเข้าอิสระเหมาะสมมากที่สุดในขณะนั้น นี่คือเหตุผลหลัก
และบริษัทก็ยังสามารถนำเข้าเฉพาะรุ่นที่ได้รับความนิยม และเป็นรุ่นที่มีความต้องการในตลาด
จึงคิดว่านั่นเป็นคาแรคเตอร์ที่ดีของบริษัท และที่ผ่านมารถทุกรุ่นที่นำเข้ามา
ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในตลาดอย่างมาก
ฟอร์มูลา : ถึงตอนนี้ คิดว่าบริษัทประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ในธุรกิจนี้ ?
สมพงษ์ : ตลอดระยะเวลา 12 ปี คิดว่าชื่อเสียงของบริษัทมีแต่ด้านดี จากยอดขาย
การขยายการบริการ ครอบคลุมทั้งกรุงเทพ ฯ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก
ในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาด้านการบริการหลังการขายให้มีหลายๆ รูปแบบ
เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุด
เรื่องแรก คือ การรองรับปริมาณของรถที่เพิ่มจำนวนขึ้น เรื่องที่สอง คือ เทคโนโลยี เช่น
การนำเครื่องมือพิเศษมาให้บริการแก่ลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการบริการพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
การบริการเร่งด่วน การรับประกันบริการ และการบริการขนาดใหญ่ เช่น การปรับเครื่องยนต์
หรือระบบต่างๆ สำหรับรถที่มีอายุหลายปี หรือรถที่ใช้งานมาก รวมทั้งการให้บริการด้านตัวถัง เช่น
ตัวถังบุบ ต่อไปไม่จำเป็นต้องทำสีใหม่ แต่จะมีบริการพิเศษ สามารถปรับตัวถังให้เรียบเหมือนเดิมได้
โดยไม่ต้องทำสีคงสภาพตัวถังเดิม และราคาถูกกว่าทำสีใหม่ ส่วนรถที่เกิดอุบัติเหตุหนัก
บริษัทจะมีการบริการที่รวดเร็ว และมีมาตรฐานใหม่เพิ่มขึ้น
ฟอร์มูลา : ปีหน้าบริษัทจะมีโครงการขยายโชว์รูมเพิ่มขึ้นอีกไหม ?
สมพงษ์ : ประมาณต้นปีจะมีการเปิดสาขาเพชรบุรีตัดใหม่
สาขานี้ต้องการจะให้เป็นต้นแบบการให้บริการ
และบริการหลังการขายทุกด้านให้ได้มาตรฐานดีและเร็วที่สุด
ฟอร์มูลา : สาขาอื่นจะมีการปรับด้วยหรือไม่ ?
สมพงษ์ : จะมีการปรับทุกสาขา แต่ว่าจะเริ่มที่สาขาเพชรบุรีตัดใหม่ให้เป็นต้นแบบก่อน
แล้วจึงดำเนินการปรับสาขาอื่นๆ ต่อไป
ฟอร์มูลา : ในปีหน้า (2547) บริษัทวางนโยบาย และแผนงานไว้อย่างไรบ้าง ?
สมพงษ์ : ปีหน้า จะมีการนำเข้ารถใหม่ตลอดทั้งปี แต่จะเน้นรถยนต์ที่มีความคุ้มค่าและทันสมัย
รวมถึงเน้นความรวดเร็ว ทั้งในเรื่องของรุ่น และการส่ง
ให้ได้ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า
รวมทั้งราคาจะอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ในตลาด
ในส่วนของการบริการจะมีการออก เซนจูรี คาร์ด สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถจากทางบริษัทเกิน 3 คันขึ้นไป
ซึ่งบัตรนี้จะเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่า ลูกค้าที่ซื้อรถจากทางบริษัทมากกว่า 3 คันขึ้นไป จะได้รับสิทธิพิเศษ
เช่น สามารถรับบริการที่ศูนย์บริการของบริษัทได้ทุกสาขาโดยไม่ต้องรอคิว รวมถึงบริการพิเศษอื่นๆ
อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมของบริษัทเพิ่มมากขึ้น เช่น การจัดโรดโชว์ การจัดแรลลี
รวมถึงเคมเปญในรูปแบบต่างๆ
ฟอร์มูลา : ปีหน้าบริษัทเตรียมงบประมาณในการลงทุนเพิ่มไว้เท่าไร ?
สมพงษ์ : ไม่มีการตั้งงบประมาณ เพราะส่วนใหญ่จะลงทุนที่โชว์รูมและศูนย์บริการ ที่เพชรบุรีตัดใหม่
ส่วนอื่นคงเป็นการปรับตัวตามสถานการณ์
ฟอร์มูลา : ยอดขายปีหน้าตั้งเป้าไว้อย่างไร ?
สมพงษ์ : น่าจะดีกว่าปีนี้ เนื่องจากบริษัทมีการเตรียมความพร้อมในหลายด้าน
ไม่ว่าจะเป็นโชว์รูมและศูนย์บริการ การบริการหลังการขายในรูปแบบต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น
ฟอร์มูลา : คุณวางเป้าหมายไว้อย่างไรบ้าง สำหรับการเข้ามาดำเนินธุรกิจนำเข้ารถยนต์อิสระ ?
สมพงษ์ : ต้องการเป็นผู้นำในทุกๆ ด้าน ซึ่งขณะนี้ด้านยอดขายของบริษัทนับว่าพึงพอใจแล้ว
ที่สามารถเป็นอันดับหนึ่งมาตลอดระยะเวลาการดำเนินการ
และต่อไปจะเน้นเรื่องการบริการหลังการขายทุกรูปแบบให้ได้มาตรฐานมากขึ้น
ฟอร์มูลา : รู้สึกอย่างไรกับตลาดรถยนต์ที่กลับมาเติบโตอีกรอบหนึ่ง และเริ่มมีบริษัทนำเข้ารถเพิ่มขึ้น ?
สมพงษ์ : เป็นปกติ ผมว่าดี ถ้าเราสังเกตดู จะพบว่าธุรกิจใดก็ตามที่ประสบความสำเร็จ
มียอดจำหน่ายดีก็จะเป็นแบบนี้ทุกธุรกิจ ซึ่งผมคิดว่า เอส.อี.ซี ฯ ควรจะภาคภูมิใจเป็นที่สุด
เพราะไม่เคยมีใครคิดว่า ตลาดนำเข้ารถยนต์จะเติบโตขนาดนี้ ซึ่งก็คงจะเกิดจากการบุกเบิกของเรา
แล้วก็มีบริษัทอื่นมาเปิดตาม
ซึ่งผมคิดว่าตรงนี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทได้วางรากฐานถูกต้องมาตั้งแต่เริ่มต้น
คู่แข่งคงจะได้แต่ตามในทุกๆด้านในขณะที่ เอส.อี.ซี. ฯ ก็คือผู้นำและจะพยายามเป็นผู้นำในทุกๆ
ด้านตลอดไป
ฟอร์มูลา : คุณคิดว่า ผู้นำเข้าที่เปิดดำเนินการเพียงระยะเวลาสั้นๆ แล้วปิดตัวเองไปเป็นเพราะอะไร ?
สมพงษ์ : ลูกค้าที่จะเลือกซื้อรถมาใช้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะรถมีราคาค่อนข้างสูง
จึงต้องเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ มาก อันดับแรก ต้องเชคว่าเป็นรถยนต์ที่นำเข้าโดยถูกต้อง อันดับสอง
เมื่อซื้อไปแล้วจะต้องจดทะเบียนได้ ผู้นำเข้าบางรายที่ไม่สุจริต อาจจะขายรถในราคาถูก
อาจจะเป็นรถที่ไม่ถูกกฎหมาย ทำให้ไม่สามารถจดทะเบียนได้ เกิดปัญหาตามมา
ที่สำคัญคือ บริการหลังการขาย ลูกค้าหลายคนที่ซื้อรถของบริษัท ฯ มาโดยตลอด
หรือลูกค้าที่ซื้อรถนำเข้าจากที่อื่น แล้วภายหลังมาใช้บริการของ เอส.อี.ซี. ฯ
จะพบว่าระบบบริการหลังการขายของเรา มีมาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็นด้านอะไหล่ เทคโนโลยี
และคุณภาพของงาน ที่อื่นอาจจะมีบริการหลังการขาย แต่มีความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน คือ
มีเพียงศูนย์บริการ ไม่พร้อมด้านอะไหล่ และเทคโนโลยี ทำให้ไม่สามารถให้บริการได้
หรือไม่ดีเท่าที่ควร เช่น อาจจะต้องทิ้งรถไว้นานมาก ฯลฯ
เพราะฉะนั้นความเชื่อมั่นของลูกค้าว่าถ้าซื้อรถกับบริษัทแล้วจะได้ การบริการหลังการขาย
การรับประกันคุณภาพมาตรฐานตามระบบสากล ที่นี่จึงเป็นจุดเด่นที่ไม่มีใครสามารถลบได้
และความพร้อมของ เอส.อี.ซี. ฯ ใน 12 ปี ที่ผ่านมา ก็เป็นเครื่องยืนยันได้
ฟอร์มูลา : บริษัทมีวิธีการเลือกรถนำเข้ามาจำหน่ายแต่ละรุ่น อย่างไร ?
สมพงษ์ : ก่อนอื่นต้องดูความเหมาะสมกับสภาพถนน และสภาพภูมิอากาศของเมืองไทย
เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ไม่ว่าคุณภาพรถจะเป็นอย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจากต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การบริการหลังการขาย การซัพพอร์ทด้านอะไหล่
รวมถึงการให้บริการกับลูกค้าในด้านต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก สุดท้ายคือ
ความเหมาะสมทางด้านราคาต้องเป็นรถที่มีความคุ้มค่า
ฟอร์มูลา : ปีนี้บริษัทคาดว่าจะขายรถได้ทั้งหมดจำนวนเท่าไร ?
สมพงษ์ : คาดว่าคงเพิ่มขึ้นอีก ประมาณ 100 คัน จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 1,200 คัน เมื่อต้นปี เป็น 1,300
คัน ทั้งนี้มีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ หรือธุรกิจอื่นๆ ซึ่งโตขึ้นมาก ทำให้ยอดขายของบริษัทเติบโตตามไปด้วย
นอกจากนี้ยังมีผลมาจากการจัดแคมเปญฉลองครบรอบ 12 ปี ของบริษัท ที่มีการแจกรางวัลรถสปอร์ท
โตโยตา เอม
อาร์-เอส รวมถึงการร่วมงานมหกรรมยานยนต์ในปลายปีนี้ บริษัทจะมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น
ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มลูกค้าได้อีกจำนวนหนึ่ง
ฟอร์มูลา : รถใหม่ที่จะแสดงในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 20 มีรุ่นใดบ้าง ?
สมพงษ์ : บราบัส จะมี บราบัส สมาร์ท และบราบัส กาบริโอเลต์ ส่วนรถญี่ปุ่นจะมีหลายรุ่น เช่น นิสสัน
แฟร์เลดี เซด คอนเวอร์ทิเบิล ซึ่งเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย และอีกหลายรุ่น
ฟอร์มูลา : คุณมองว่าธุรกิจรถยนต์ของเมืองไทยจะเป็นไปในรูปแบบใด ?
สมพงษ์ : ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะตัวสินค้าเอง และเมืองไทยก็ได้ชื่อว่าเป็นดีทรอยท์ เอเชีย
ฐานการผลิตเพื่อส่งออก
และบริษัทแม่หลายบริษัทเข้ามาลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพของตลาดรถยนต์ในเมืองไทย มีการแข่งขันสูง
แต่ดีสำหรับลูกค้าและผู้บริโภค
ฟอร์มูลา : บริษัทคิดว่าการแข่งขันของผู้นำเข้าอิสระจะยากขึ้นกว่าเดิมไหม ?
สมพงษ์ : สำหรับผม ไม่ยาก เพราะลูกค้าของทาง เอส.อี.ซี. ฯ เป็นกลุ่มลูกค้าที่เหนียวแน่น
ดูได้จากบัตรเซนจูรี คาร์ด ก็จะออกในปริมาณที่มาก เป็นลูกค้าที่ซื่อสัตย์
และอุดหนุนสินค้าของเรามาโดยตลอด ทาง บริษัทพยายามปรับตัวในทุกๆ ด้าน
ไม่ว่าจะเป็นทางด้านราคา การบริการต่างๆ ก็ตาม ซึ่งในส่วนของตลาด
ผมเชื่อมั่นในตัวลูกค้าและศักยภาพของทางบริษัทว่าจะแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว และในปริมาณที่ดีด้วย
ฟอร์มูลา : ทำไมคุณถึงเป็นตัวแทนจำหน่าย ซังยง ?
สมพงษ์ : เอส.อี.ซี. ฯ ถือว่าเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์นำเข้าอิสระ
และปัจจุบันมีความพร้อมในหลายด้าน
รวมถึงมองว่า ซังยง เป็นรถที่มีความเหมาะสมกับเมืองไทย เป็นรถสายเอเชีย
และต้องยอมรับว่าปัจจุบันเกาหลีมีการพัฒนาเทคโนโลยีก้าวทันญี่ปุ่น
มีการปรับปรุงคุณภาพเพิ่มมากขึ้น ราคาคุ้มค่าสำหรับผู้บริโภค มีความเหมาะสมกับการทำตลาด
ดังนั้น จึงได้ตั้ง บริษัท ซันยอง ประเทศไทย จำกัด ขึ้นมาเพื่อจัดจำหน่ายรถ ซังยง
โดยในช่วงแรกจะทำตลาด 2 รุ่น คือ เลกตัน อาร์เอกซ์ 320 รถกิจกรรมกลางแจ้ง(SUV) ระดับหรูหรา
แต่ราคาถูกกว่ารถระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นรถญี่ปุ่นหรือยุโรปกว่าเท่าตัว ส่วนอีกรุ่น คือ อาร์เอกซ์
290 ดีเซลเทอร์โบ ประหยัดน้ำมัน
และคิดว่าตรงกับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการเครื่องยนต์ดีเซลที่เงียบ การซ่อมบำรุงต่ำ
คาดว่ารถทั้ง 2 รุ่นจะสามารถครองใจลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ฟอร์มูลา : คุณวางนโยบายปีแรกของ ซังยง ไว้อย่างไร ?
สมพงษ์ : อันดับแรกคือแยกภาพอย่างชัดเจน ระหว่าง เอส.อี.ซี. ฯ กับ ซันยอง ฯ ว่าไม่เกี่ยวข้องกัน
เพียงแต่ผมจะบริหารทั้ง 2 บริษัท แต่แยกกันอย่างชัดเจน เนื่องจากตลาดของ เอส.อี.ซี. ฯ คือ
กลุ่มนิชมาร์เกท ส่วนตลาดของ ซังยง เป็น แมสส์โพรดัคท์ นโยบายของ ซันยอง ฯ มีการเปิดตัวรถใหม่
มีความพร้อมด้านโชว์รูมและศูนย์บริการที่บริษัทตั้งเป้าไว้ว่าในเขตกรุงเทพ ฯ เปิด 8 แห่ง
สำนักงานใหญ่จะอยู่ถนนพระราม 9 ที่เหลือจะอยู่ที่ถนนพหลโยธิน แจ้งวัฒนะ และลาดพร้าว
ซึ่งจะครอบคลุมพื่นที่ทั่วกรุงเทพ ฯ ส่วนต่างจังหวัดในช่วงแรกเปิดในจังหวัดหลักๆ ที่เป็นแหล่งชุมชน
มีเศรษฐกิจที่ดี
ฟอร์มูลา : ซังยง คุณตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณเท่าไร ?
สมพงษ์ : ปีหน้าตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 1,000 คัน
แต่อาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้นในกรณีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ที่จะมีอีก 2 รุ่น คือ รถ เอมพีวี และรถตู้
ฟอร์มูลา : คุณลงทุนในส่วนของ ซังยง ไปเท่าไร ?
สมพงษ์ : ส่วนของโชว์รูมและศูนย์บริการเป็นการลงทุนของดีเลอร์
ส่วนของบริษัทมีเพียงแค่สำนักงานใหญ่ และในส่วนของการสตอคอะไหล่ คาดว่าคงไม่ต่ำกว่า 50
ล้านบาท นอกจากนั้นจะเป็นในส่วนของสินค้าที่จะสั่งเข้ามาจำหน่าย คาดว่าคงไม่ต่ำกว่า 2,000
ล้านบาท
ฟอร์มูลา : บริษัทเซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่าย ซังยง กี่ปี ?
สมพงษ์ : เซ็นสัญญากับทางโรงงานครั้งละ 3 ปี
ฟอร์มูลา : จากประสบการณ์ และความสำเร็จ 12 ปีที่ผ่านมา คุณรู้สึกภาคภูมิใจเรื่องใดมากที่สุด ?
สมพงษ์ : ที่ภูมิใจที่สุด จริงๆ ไม่ได้เกิดจากยอดขาย
แต่มาจากการที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจบริษัทมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งก็ค่อยๆ เติบโตมาเรื่อย
และยังคงสนับสนุนมาจนถึงปัจจุบันนี้ การให้บริการครบทุกด้าน ได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า
ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนในรูปของยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น
ฟอร์มูลา : คุณอยากจะให้รัฐบาลช่วยเหลือด้านใดบ้างเกี่ยวกับธุรกิจรถยนต์ ?
สมพงษ์ : เกี่ยวกับนโยบายด้านภาษี ซึ่งความจริงแล้วเป็นเรื่องของรัฐบาลที่เป็นผู้กำหนด
ในฐานะนักธุรกิจต้องฟังนโยบายของรัฐบาล ซึ่งดีอยู่แล้ว
ตรงนี้ไม่น่าห่วงเพราะกำหนดออกมาแล้วก็ต้องใช้กันทั้งประเทศ แต่ขออย่างเดียวการกำหนดขอให้นิ่ง
ไม่ใช่เปลี่ยนผู้บริหารครั้งหนึ่งก็แก้ครั้งหนึ่ง จุดนี้เอกชนปรับตัวลำบาก
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ/พิธาน
ภาพโดย : ราชวัตร แสงจันทรา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51866