มาตรวัดตลาดรถ
โรงเรียนเลิก
[table]
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์
เดือนกรกฎาคม ปี '48 กับ '47
ตลาดรวม ,เพิ่ม ,12.0 %
รถยนต์นั่ง ,ลด ,6.2 %
กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ ,เพิ่ม ,19.3 %
รถอเนกประสงค์ (MPV) ,ลด ,22.7 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) ,เพิ่ม ,109.5 %
[/table]
เรียบร้อยโรงเรียนสุริยะไปแล้ว โครงการอีโคคาร์ หรือ เอศคาร์ ลากยาวกันมา 5-6 ปีและก็ถูกโยนทิ้งตะกร้าแบบไม่ไยดี ด้วยวลีที่ว่า
"ให้ความต้องการของตลาดเป็นเครื่องตัดสิน"
คือ ค่ายไหนสนใจจะประกอบรถเล็ก ก็อย่าคาดหวังความได้เปรียบทางภาษีต้องดูความต้องการของตลาด ความต้องการของลูกค้ากันเอาเอง
ฝันสลายกันไปหลายเจ้านะครับ แถบอนุสาวรีย์ชัย แถบศรีอยุธยา ส่วนทางสำโรงโน่นไม่สนใจมาตั้งนานแล้ว อ้อ ฟากทางรังสิต ก็ทำเป็นไม่สนใจ เพียงแต่ว่าแค่เหลือบดูเท่านั้นเอง
ก่อนถึงเรื่องตัวเลขที่ยังเพิ่มขึ้นดูหรูหรา ไม่สนใจใยดีค่าน้ำมัน ทั้งเบนซินและดีเซลเลยมาคุยเรื่องนี้ดีกว่า
เรื่องที่น่าสนใจแม้ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เพียงแค่จังหวัดที่ติดต่อกันอีก 1 จังหวัด ที่ยังคงอยู่กันอย่างสงบสุข กำลังมีโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่อำเภอปากบารา จังหวัดสตูลเพื่อพัฒนาท่าเรือน้ำลึกบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางทะเลของภาคใต้ที่เชื่อมโยงกับการขนส่งระหว่างภูมิภาคต่างๆ ของโลก
ข้อได้เปรียบประการสำคัญที่สุดคือ จังหวัดสตูลอยู่ติดทะเลอันดามัน มีอาณาเขตติดต่อกับมาเลเซีย และมหาสมุทรอินเดีย ที่สามารถพัฒนาให้เป็นท่าเรือน้ำลึกได้ ซึ่งจะเป็นศูนย์เชื่อมต่อการขนส่งสินค้าทางเรือที่สำคัญไปยังเกาะลังกาวี ท่าเรือปีนัง ท่าเรือของกลุ่มประเทศในชมพูทวีป หรือท่าเรือในตะวันออกกลางและยุโรปได้
โดยที่ท่าเรือที่ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศของไทยในปัจจุบัน อันนี้ต้องคิดถึงรูปร่างขวานทองของไทยก่อน คือ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือสงขลา ตั้งอยู่ทางด้านฝั่งอ่าวไทย ซึ่งการขนส่งสินค้าไปยังยุโรป ตะวันออกกลาง จะต้องขนส่งสินค้าไปเปลี่ยนถ่ายสินค้าลงเรือใหญ่ที่สิงคโปร์ ส่วนการขนส่งสินค้าไปสหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่นสามารถใช้ท่าเรือแหลมฉบังได้
ในส่วนของสินค้ายางพารา ซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตยางพาราเป็นอันดับ 1 ของโลก ปี 2546 สามารถส่งออกได้ถึง 3.1 ล้านตัน แต่ปริมาณการส่งออกของไทยกว่าร้อยละ 50 ไปส่งออกที่มาเลเซียเพื่อส่วนหนึ่งนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าก่อนการส่งออกอีกครั้ง และส่วนที่เหลือเป็นการผ่านแดนเพื่อการส่งออกไปยังประเทศอื่น
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องการประหยัดเวลา และต้นทุนในการขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออกเมื่อเปรียบเทียบกับทั้งแหลมฉบัง สงขลา หรือปีนัง ค่าใช้จ่ายเปรียบเทียบของท่าเรือน้ำลึกปากบางราจะมีต้นทุนต่ำสุด รวมทั้งเปรียบเทียบระยะทางของสายการเดินเรือหลัก ที่จะมารับสินค้าที่สตูลใช้เวลาประมาณ 6 ชม. สั้นกว่าการเดินเรือสินค้าไป/กลับระหว่างแหลมฉบังและสิงคโปร์ที่ต้องใช้เวลาถึง 169 ชม.
ส่วนการขนส่งสินค้าออกไปยังประเทศแถบยุโรป ตะวันออกกลาง โดยส่งผ่านชายแดนทางบกไปลงเรือที่มาเลเซียและสิงคโปร์ เนื่องจากต้นทุน ระยะทาง ความสะดวกในการขนถ่าย ไม่ต้องเปลี่ยนการขนถ่ายบ่อย และค่าขนส่งจากกรุงเทพฯ และจากภาคใต้ไปยังท่าเรือในมาเลเซียและสิงคโปร์จะใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูงกว่าออกโดยผ่านท่าเรือปากบาราด้วยเช่นกัน
แต่ความสำคัญของการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกนี้ จะอยู่ที่ว่าแม้มีเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดน แต่จังหวัดที่อยู่ข้างเคียง มีการลงทุน มีการก่อสร้าง เงินสะพัดหมุนเวียนงานนี้ต้องยกป้ายวงกลมให้กับรัฐบาล ที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้โดยทางอ้อม
กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ได้รับงบประมาณวงเงิน 38.40 ล้านบาท เป็นค่าสำรวจออกแบบรายละเอียด ซึ่งได้คัดเลือกวิศวกรที่ปรึกษาแล้วเสร็จไปแล้ว และกำลังดำเนินการ
เชียร์รัฐบาลหนนี้ ต้องเชียร์อีกด้วยว่า สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเศรษฐกิจ แม้จะมีความวุ่นวายมากหลาย แต่ตลาดรถยนต์ก็ยังคงเพิ่ม เพียงเดือนกรกฎาคม เดือนเดียว เพิ่ม 12.0 % ด้วยยอดขาย 50,872 คัน ในขณะที่ยอดรวมเจ็ดเดือน ยังคงเพิ่ม 15.3 % ตัวเลขรวม 396,769 คัน
ตำแหน่งแชมพ์ประจำเดือน เจ้าเก่า โตโยตา ขายได้ 20,283 คัน เพิ่มมากถึง 41.1 % ส่วนแบ่ง 39.9 % อันดับสอง อีซูซุ ขายได้ 13,279 คัน เพิ่มนิดเดียว 4.3 % ส่วนแบ่ง 26.1 % อันดับสาม ฮอนดาขายลดลง 14.6 % ได้แค่ 4,213 คัน ส่วนแบ่ง 8.3 % อันดับสี่ มิตซูบิชิ ติดเทอร์โบได้ 4,048 คัน เพิ่มเยอะ 42.1 % ส่วนแบ่ง 8.0 % และอันดับห้า เชฟโรเลต์ ขายดิบขายดี 2,456 คัน เพิ่ม 39.5 %
ส่วนแบ่ง 4.8 %
ยอดรวม 7 เดือนห้าอันดับแรก โตโยตา 160,449 คัน อีซูซุ 101,121 คัน ฮอนดา 28,684 คัน มิตซูบิชิ 25,693 คัน และ นิสสัน 24,792 คัน
แตกเป็นประเภทรถยนต์นั่ง ขายได้น้อยลง ลดลง 6.2 % ขายได้เพียง 12,260 คัน และยอดรวมก็ยังคงน้อยลง 9.5 % ด้วยยอด 93,807 คัน
ตำแหน่งแชมพ์เจ้าเก่า โตโยตา ขาย 5,717 คัน ลดลง 12.4 % ส่วนแบ่ง 46.6 % ที่สอง ฮอนดา ศรัทธายังไม่กลับ ลดลง 8.7 % ขาย 4,090 คัน ส่วนแบ่ง 33.4 % ที่สามแคมเปญเยอะ เชฟโรเลต์ ขาย 529 คัน เพิ่ม 110.8 % ส่วนแบ่ง 4.3 % ที่สี่เยอะเหมือนกัน มิตซูบิชิ ขาย 483 คัน เพิ่ม 59.9 % ส่วนแบ่ง 3.9 % และที่ห้ามีรถส่งมอบ มาซดา ส่งมอบได้ 415 คัน เพิ่มเยอะ 295.2 % ส่วนแบ่ง 3.4 %
รายงานผู้เสียภาษียอดเยี่ยม โพร์เช ขายได้ 8 คัน และ แจกวาร์ ขายได้ 4 คัน
แยกเป็นประเภทรถกระบะหนึ่งตัน ยอดรวมตั้งแต่ต้นปี 222,232 คัน เพิ่ม 22.1 % แต่เฉพาะเดือนนี้เพิ่ม 19.3 % ขายได้ 29,245 คัน ตำแหน่งแชมพ์ยังคงได้แก่ อีซูซุ 11,957 คัน เพิ่ม 7.8 % ส่วนแบ่ง 40.9 % ที่สอง โตโยตา ขายได้ 8,382 คัน เพิ่ม 66.8 % ส่วนแบ่ง 28.7 % ที่สาม มิตซูบิชิ ขาย 3,224 คัน เพิ่ม 48.3 % แต่ส่วนแบ่งอยู่ที่ 11.0 %
รถเพื่อการพาณิชย์ ขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2.7 % ขายทั้งตลาดได้ 2,765 คัน แต่รวมเจ็ดเดือนยังเพิ่มอยู่ 22.1 % ขาย 21,930 คัน โดยมี โตโยตา ขายมากสุด 929 คัน เพิ่ม 55.6 % ส่วนแบ่ง 33.5 % ที่สอง อีซูซุ 836 คัน ลดลง 11.1 % ส่วนแบ่ง 30.2 % และที่สาม ฮีโน ขาย 464 คัน ลดลงเหมือนกัน 35.2 % ส่วนแบ่ง 16.8 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่รวมรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยรวม เพิ่มถึง 109.5 % ขาย 3,438 คัน โดยตำแหน่งแชมพ์ คือ โตโยตา ขายคนเดียว 2,739 คัน เพิ่มขึ้นถึง 2,533.7 % ส่วนแบ่ง 79.7 % ที่สองอีซูซุ ขาย 328 คัน เพิ่มขึ้นมากถึง 16,300.0 % ส่วนแบ่ง 9.5 % และที่สาม มาซดา ขาย 95 คันลด 5.9 %
รถอเนกประสงค์อื่นๆ ขายลดลง 22.7 % ได้ 1,233 คัน มี โตโยตา ขายมากสุด 898 คัน
นั่นคือความเป็นไปในสภาวะที่น้ำท่วมภาคเหนือ สูงเมตรกว่า แถมกระจายไปในหลายจังหวัดฟากอีสานก็ปริ่มด้วยน้ำโขง แต่ตลาดรถยนต์ก็ยังอยู่ยงคงกระพัน ไม่หวั่นหวาดทั้งนั้นรถป้ายแดงยังวิ่งกันเกลื่อน เพราะความจำเป็น และเพราะภาคเศรษฐกิจยังขยายตัวไปได้
นี่เดือนหน้าตัวเลขก็จะไปโลดกันอีกแน่นอน เพราะเทพเจ้าแห่งโพไซดอน บังเกิดมาสร้างอารยธรรมใหม่อ้อ อันที่เป็นเทพเจ้าในนิยายปรัมปรานะครับ ไม่ใช่อันที่เป็นตึกอยู่แถวรัชดาภิเษก
เห็นคุยว่าจองกันเป็นหมื่น แต่ยังไม่รู้จะส่งมอบได้ถึงครึ่งหรือเปล่านะครับ
ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ